“หากแม่นางไม่รังเกียจ กลางวันกินข้าวที่บ้านข้า จะได้ไม่ต้องเร่งกลับเข้าเมืองให้ทันอาหารกลางวัน ก็แค่อาหารบ้านๆ เกรงแม่นางจะไม่ชิน” พอออกจากประตูบ้านตระกูลฮัว ป้าเหลาก็เชื้อเชิญตามมารยาท
นางยังคิดว่านางฮัวจะรั้งซูสุ่ยเลี่ยนกับเขากินอาหารกลางวันค่อยกลับ อย่างไรก็เจรจาการค้าก้อนโตเช่นนี้ ผู้ใดจะรู้ว่านางฮัวไม่รู้จักมีมารยาทสักนิด ตนเองกลับเอาแต่ไปคุยจุกจิกเรื่องย้ายบ้านกับลูกสะใภ้ที่ท่าทางขี้งกไม่น้อยอย่างไม่สนใจคนอื่นไม่หยุด ไม่ได้คิดจะรั้งพวกเขาให้อยู่กินอาหารกลางวันสักนิด ในใจก็แอบโมโหแทนซูสุ่ยเลี่ยนอยู่บ้าง
“ไม่แล้ว ป้าเหลา พวกเรากลับไปกินที่โรงเตี๊ยมในเมืองดีกว่า ห้องพักที่นั่นยังไม่ได้คิดเงิน จะว่าไป ตอนบ่ายพวกเรายังต้องไปเตรียมข้าวของเครื่องใช้ชีวิตประจำวันทั่วไปอีก น้ำใจป้าเหลาพวกเราขอรับไว้ด้วยใจ เงินก้อนเล็กๆ พวกนี้มีค่าไม่กี่อีแปะ ป้าเหลาโปรดรับไว้ วันนี้ดีที่ท่านช่วยเป็นธุระให้พวกเรา มิเช่นนั้นพวกเราไม่แน่ว่ายังหัวหมุนไร้ทิศทางเหมือนแมลงวันหัวขาด ไม่รู้ว่าจะต้องหาไปถึงเมื่อไร” ซูสุ่ยเลี่ยนพูดไปก็ขอบคุณไป พลางควักเศษก้อนเงินออกมาจากแขนเสื้อ ยิ้มยัดใส่มือป้าเหลา นี่เป็นก้อนเงินเศษที่นางตั้งใจใส่ไว้ในแขนเสื้อเพื่อเอาไว้ใช้
เดิมมีสิบก้อนเล็กๆ ที่ไม่ใหญ่มาก เม็ดเล็กสุดสองเม็ดให้คนขับรถเม็ดหนึ่ง อีกเม็ดคืนวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดซื้อโคมดอกบัวกับขนมมีชื่อเมืองฝานลั่วไป สามเม็ดใหญ่จ่ายเป็นเงินประกันเข้าพักโรงเตี๊ยมไปวันนั้น ที่เหลือราวหกเม็ดมีน้ำหนักไม่เท่าไร ดังนั้นซูสุ่ยเลี่ยนจึงไม่ได้เก็บเข้าห่อเงิน หากทิ้งไว้ในแขนเสื้อ เตรียมไว้ใช้จ่ายยามจำเป็น
“ไม่ๆ แม่นาง อะไรกัน ได้ช่วยพวกเจ้าก็เพราะบังเอิญ อันนี้ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก หากรับไว้ ข้าคงละอายใจแน่ๆ กลับไปตาแก่ที่บ้านคงชักสีหน้าใส่อีก” ป้าเหลาสีหน้าประดักประเดิดไม่กล้ารับการขอบคุณของซูสุ่ยเลี่ยน แค่พามาแค่นี้ก็รับเงินอีกฝ่าย หากแพร่ออกไป ใช่ว่าจะเป็นที่หัวเราะเยาะของคนอื่นว่านางละโมบหรอกหรือ เมืองฝานฮัวจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก หากผู้คนมากมายในเมืองพากันแอบวิพากษ์วิจารณ์นางขึ้นมา นางคงรับไม่ได้ พูดกันตรงๆ นางเหลายังไม่ได้หน้าหนาเท่ากับนางฮัวที่จะไม่สนใจวาจาผู้อื่น สนใจแต่ครอบครัวตนเอง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ รอให้ข้ากลับเข้าเมืองก่อนจะซื้อของกินของใช้มาฝากป้าเหลาแล้วกัน” ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นนางดึงดันไม่ยอมรับไว้ หรืออาจไม่กล้ารับไว้ เช่นนี้ก็ไม่ฝืนใจนาง เก็บก้อนเงินเล็กๆ เข้าแขนเสื้อ ยิ้มบางกล่าว
“แม่นางช่างเกรงใจจริง” ป้าเหลาหน้าแดง ตอบกลับเก้อๆ ประโยคหนึ่ง ในใจกลับดีใจมากที่ซูสุ่ยเลี่ยนรู้จักมารยาท คิดจะไปซื้อของกินของใช้ในเมืองมาให้แทน ในใจป้าเหลาก็เริ่มคิดของใช้ที่บ้านที่ขาดไป คิดว่าหากนางมอบเครื่องจานชามกระเบื้องให้สักหน่อยก็คงดี หรือไม่ได้ก็เป็นผ้าเช็ดหน้าสักสองสามผืนหรือพวกกะละมังล้างหน้าก็ดี
พอคิดเช่นนี้ สามคนสองหมาป่าก็เดินมาถึงบริเวณสระน้ำประตูเมืองฝานฮัว
“ป้าเหลาไม่ต้องส่งแล้ว วันนี้รบกวนป้ามามากแล้ว” ซูสุ่ยเลี่ยนดึงป้าเหลามาพูดจากสองสามคำ จากนั้นก็อำลากัน นางกับหลินซือเย่าและลูกหมาป่าสองตัวก็ออกจากเมืองฝานฮัว เร่งไปเมืองฝานลั่ว
ตลอดทางก็เป็นหลินซือเย่าอุ้มนางใช้วิชาตัวเบาไม่กี่ทีก็กลับมาถึงโรงเตี๊ยมอย่างรวดเร็ว
เร่งมาทันอาหารชุดสุดท้าย กินกันง่ายๆ แล้วก็กลับห้องพักตนเองไปพักผ่อนสักครู่ ช่วงบ่ายหน้าร้อนจัด ไปเดินเล่นตามท้องถนนก็ไม่น่าสนใจ ไม่สู้รอตอนเย็นพระอาทิตย์ตกดินอากาศเย็นสบายสักหน่อยค่อยออกไปเดินสักรอบน่าจะดีกว่า
……
“ที่แท้ เงินทองผ่านมือไปง่ายเพียงนี้” ซูสุ่ยเลี่ยนแอบลูบคลำแขนเสื้อที่ว่างเปล่า ก่อนจะหันกลับไปมองหลินซือเย่าที่ถือของใช้ห่อเล็กห่อใหญ่ในมืออย่างรู้สึกขอโทษ ทอดถอนใจกล่าวว่า “เดิมคิดจะซื้อชุดสองสักชุดให้พวกเราสองคนไว้ผลัดเปลี่ยน คิดไม่ถึงของพวกนี้ก็ใช้เศษก้อนเงินไปถึงหกเม็ด”
หลินซือเย่าได้ยินก็แย้มยกมุมปาก ในใจก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา นางบอกว่าจะซื้อเสื้อผ้าให้เขาด้วย ตั้งแต่จำความได้ นอกจากประมุขหอแล้ว ก็ไม่เคยมีใครสนใจการดำรงชีวิตของเขาสักคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะเลือกซื้อเสื้อผ้าให้เขา
“เหนื่อยไหม? ข้าถือให้สองชิ้นนะ” ซูสุ่ยเลี่ยนรู้สึกว่าของมากมายพวกนี้ให้หลินซือเย่าถือคนเดียว ตนเองเดินมือเปล่าก็รู้สึกเขินอยู่บ้าง
“ไม่ต้อง” หลินซือเย่าย่อมไม่ยินยอม แต่ว่าก็อดตำหนิตนเองไม่ได้ยามเห็นสีหน้าของนางหลังจากถูกตนปฏิเสธทื่อๆ จึงเสริมความอีกประโยคหนึ่งอย่างที่ตนเองก็คิดว่าแปลกอยู่เหมือนกัน “ช่วยข้าพับแขนเสื้อหน่อย”
“อ้อ ได้” ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นเขาสั่งให้นางช่วย ก็รีบสลัดรอยสลดในแววตาที่ผุดขึ้นมาหลังจากตนเองแอบนึกว่าตนเองช่างไร้ประโยชน์ เข้าไปช่วยเขาพับแขนเสื้อชุดตัวนอกขึ้น แขนเสื้อยาวทำให้ถือของหนักไม่สะดวก นางช่วยเข้าม้วนขึ้นไปถึงข้อศอกจะได้รู้สึกเย็นสบายขึ้น ไม่ต้องร้อนอบอ้าว
หลินซือเย่าก้มลงก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากกายนาง จึงพยายามระงับความปรารถนาน่าประหลาดที่ผุดขึ้นมาในใจ รอจนนางพับแขนเสื้อเสร็จ กำลังคิดจะถอยออก ก็ได้ยินเสียงหวานทักดังมาจากด้านหลัง “คุณชาย ท่านยังจำข้าได้ไหม”
ซูสุ่ยเลี่ยนมองสตรีหน้าตางดงามแต่งกายประณีตตรงหน้าอย่างพิเคราะห์ครู่หนึ่ง นางเข้ามาทักหลินซือเย่าที่มีสีหน้าเย็นเยียบอย่างดีใจ ได้ยินนางบอกว่า “ข้าชื่อลู่หว่านเอ๋อร์ ตระกูลลู่ที่ถนนทางเหนือ คืนวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดโยนพวงบุปผาให้คุณชาย คิดไม่ถึงว่าคุณชายมีธุระจากไปก่อน ข้า…วันนี้ข้ายากจะออกจากบ้านมาได้สักครา โชคดีได้มาพบคุณชาย ไม่ทราบว่าขอเชิญคุณชายไปร่วมทานอาหารที่หอซิ่งฮัวสักมื้อได้ไหม”
ลู่หว่านเอ๋อร์ใช้น้ำเสียงที่เพียงพอจะยั่วยวนผู้คนให้หลงใหลของนางพยายามเอ่ยเชิญหลินซือเย่า
ชายผู้นี้นางเห็นเข้าก็ต้องตาทันที ตอนนั้นเดินอยู่บนขาไม้สูง มองไกลๆ ก็เห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาไม่ธรรมดาท่ามกลางฝูงชน ในใจก็เต้นรัวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน จากนั้นพอโยนพวงบุปผาไปไม่สำเร็จก็รู้สึกเศร้าใจไปหลายวัน แม้รอบกายนางจะห้อมล้อมไปด้วยคุณชายร่ำรวยมีตระกูล แต่ลู่หว่านเอ๋อร์กลับไม่อาจระงับใจไม่ให้คิดถึงชายที่ได้พบหน้าเพียงครั้งเดียวผู้นี้ได้
คิดว่าคงไร้วาสนาได้พานพบแล้ว ลู่หว่านเอ๋อร์โศกเศร้าไปหลายวัน จนมาวันนี้จึงได้ปรับอารมณ์ใหม่ออกจากบ้านมาเดินผ่อนคลายจิตใจ คิดไม่ถึงพอออกจากบ้านมาก็โชคดีได้มาเจอเขาเข้า นี่มันเรียกว่าวาสนาฟ้าลิขิตไหมนะ ลู่หว่านเอ๋อร์คิดอย่างตื่นเต้น แทบจะโถมตัวเข้าสู่อ้อมกอดหลินซือเย่า ครอบครองชายที่ทำให้ตนเองจิตใจปรวนแปรมาหลายวันเช่นนี้
หลินซือเย่าเปล่งรังสีเยียบเย็นรอบกาย สะกดกลั้นใจไม่ให้เอ่ยตัดบทหญิงบ้าที่ไม่รู้มาจากไหนผู้นี้ เดินหลบนางมาอีกทางอย่างไม่พอใจ ไปหาซูสุ่ยเลี่ยนกล่าวว่า “กลับ” ก่อนจะหันหน้าเดินนำไปยังโรงเตี๊ยม
ซูสุ่ยเลี่ยนมองตาปริบๆ ก่อนจะมองไปยังลู่หว่านเอ๋อร์ที่ถูกหลินซือเย่าตัดบทเดินหนีไปเสียเฉยๆ เช่นนั้น เห็นนางยังคงอึ้งค้างเติ่งอยู่กับที่ ไม่รู้ควรทำเช่นไร พอได้สติคืนมาก็จ้องมองมาที่ตนเองเขม็ง ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มบางให้อย่างรู้สึกขอโทษ ก่อนจะไม่สนใจนางอีก รีบวิ่งตามหลินซือเย่ากลับโรงเตี๊ยม