“คือว่า…หลิน…ซือเย่า” ซูสุ่ยเลี่ยนคิดอยู่นาน ก่อนจะเรียกหลินซือเย่าที่พอกินข้าวเย็นเสร็จก็มาส่งนางกลับห้องและกำลังจะกลับไปห้องตนเอง

หลินซือเย่าได้ยินก็หันกลับมา เลิกคิ้วสูงรอนางพูดต่อ

“คือว่า เรื่องวันนี้…ขอโทษ ก่อนหน้านี้ข้าวู่วามไป ลืมว่าเจ้าอาจจะพบพานสตรีต้องใจ ต้องแต่งงานมีลูก…ข้า…ไม่ควรเห็นแก่ตัวเช่นนี้ ลากเจ้ามาตั้งรกรากเมืองฝานฮัว…” ซูสุ่ยเลี่ยนกล่าววาจาที่ตนเองก็ไม่รู้ว่ามาจากไหนมากมายเช่นนี้ติดๆ ขัดๆ

นางแน่ใจว่าตนเองรู้สึกดีกับเขาแน่นอน แต่เพราะว่าสองคนอาศัยร่วมกันในป่ามาเกือบสองเดือน ก็ย่อมเกิดความคิดว่าอยากให้เขาอยู่ข้างกายนางต่อ แต่นางไม่ได้คิดให้กระจ่างมาก่อนว่าความคิดเช่นนี้เกิดจากอะไรกันแน่

แต่ทว่าตอนอยู่ต่อหน้าป้าเหลา นางหลุดออกมาอย่างไม่ต้องคิด ยอมรับว่าเขาและนางมีพันธะหมั้นหมาย ซูสุ่ยเลี่ยนตกใจที่ได้รับรู้ความสำคัญของเขาในใจนางว่ามีมากเพียงใด ไม่ทันรู้ตัวนางก็มักจะกวาดตามองหาเขา ไล่สายตาตามร่างสูงของเขา ไม่ว่าเจอเรื่องอะไรก็จะมองสบตาที่เย็นเยียบของเขา จากนั้นใจนางก็จะสงบลงได้อย่างน่าประหลาด

เพียงแต่…นางไม่รู้ว่าเขาคิดเช่นไร ไม่รู้ว่าเขารับคำขอของนางเพราะเหตุใด นางกังวลว่าเขาจะคิดเพียงแค่ตอบแทนบุญคุณเท่านั้น กลัวนางสตรีตัวคนเดียวจะใช้ชีวิตลำบาก ดังนั้นจึงทนปฏิเสธนางไม่ลง

หากเป็นเช่นนี้ การตัดสินใจของนางก็ช่างเห็นแก่ตัวมาก ซูสุ่ยเลี่ยนไหล่ตก ก้มหน้าลงอย่างไม่รู้ควรทำเช่นไรต่อ ไม่กล้ามองสีหน้าเขา กลัวว่าเขาจะเห็นด้วย จากนั้นก็โบกมือลาจากตนเองไปกับสตรีที่เขาชอบ

นางคิดเหลวไหลคาดเดาไปถึงการตัดสินใจต่างๆ นานาของหลินซือเย่า เพียงแต่อย่างไรก็ไม่ยอมเงยหน้าขึ้น

“นี่คือที่เจ้าต้องการ?” เสียงเย็นเยียบอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาดังขึ้นข้างหูนาง เพียงแต่เหมือนเย็นเยียบกว่าปกติอยู่หลายส่วน

ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็เงยหน้าทันที อะไร? อะไรเรียกว่าตนเองต้องการ? ที่นางต้องการมีเพียงเขานะ

โอ๊ะ! ซูสุ่ยเลี่ยนกุมปากแดงที่หลุดอุทานตกใจออกมา มองอย่างแทบไม่อยากจะเชื่อ นาง…นางถึงกับต้องการเขา ไม่ใช่แค่เพื่อนที่อยู่กันอย่างสุภาพเกรงใจไม่คิดอะไรแบบเมื่อก่อนแล้ว แต่ว่า…เป็นความต้องการที่มากกว่าคำว่าสหาย นาง…ชอบเขาเข้าแล้ว และยังหวังให้เขาและนางได้ก้าวเดินต่อไปด้วยกัน เช่นว่าแต่งงานตั้งรกราก

ซูสุ่ยเลี่ยนเขินอายจนใบหน้าร้อนผ่าว สองมือปิดปากเปลี่ยนเป็นมาเท้าโต๊ะปิดสองแก้มแทน

“เป็นอะไรไป ไม่สบายตรงไหน”

หลินซือเย่าเห็นนางไม่พูดอะไรอยู่เป็นนาน ก็เขยิบเข้าไปข้างกายนาง พบว่าสองแก้มนางแดงเห่อ ยังคิดว่าหรือเพราะไปเดินมาทั้งวันจนต้องไอแดด เขาขมวดคิ้วยกมืออังหน้าผากหน้านาง ยังดีหน้าผากไม่ร้อน แต่สองแก้มที่นางปิดไว้เหมือนจะร้อนนะ กวาดตามองไปก็รู้สึกกังวล ย่อกายลงข้างๆ ถามเบาๆ

“เปล่า ไม่เป็นไร” ซูสุ่ยเลี่ยนกุมใบหน้าที่ยังคงร้อนอยู่ดังเดิม สะบัดเสียงโมโหตอบกลับพราะความเขินอาย

หลินซือเย่าได้ยินก็ขมวดคิ้วมุ่น คิดไปคิดมาก็ยกมือซ้ายไปกุมสองมือนางที่ปิดแก้มสองข้างไว้ไม่ยอมปล่อยลง กุมไว้ในฝ่ามือกว้างของเขาแน่น มือขวาก็ยกไปเชยคางนาง มองแววตาเชื่อมของนางที่มองเขา “บอกข้า เป็นอะไรกันแน่”

“ข้า…ข้า…ไม่เป็นไร” ซูสุ่ยเลี่ยนผินหน้าหนี ไม่กล้าสบตาเย็นเยียบของเขาตรงๆ

“เกี่ยวกับข้า?” หลินซือเย่าก็ไม่ฝืน ได้แต่กุมมืออ่อนนุ่มของนางคู่นั้นไว้ในฝ่ามือตนเองพลางบีบไปมาเบาๆ ไม่ยอมปล่อย เขารู้ว่าเช่นนี้ผิดธรรมเนียม เพียงแต่เขาไม่อยากปล่อยมือ แม้หากนางรู้ความในใจตนแล้วจะหลบเลี่ยงไม่ยอมรับตน ก็ดีกว่าได้แต่หวัง ไม่กล้าลองดูในตอนนี้มากนัก

ซูสุ่ยเลี่ยนไม่รู้ควรตอบเช่นไร อย่างไรก็คงไม่อาจให้นางผู้ทำตัวเป็นสตรีใจกล้าเอ่ยบอกชอบเขาก่อน คิดอยู่รวมกับเขา ไม่อยากให้เขาจากนางไปแต่งงานมีลูกกับผู้หญิงอื่น

“คำพูดก่อนหน้าของเจ้า…” หลินซือเย่าคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ลองเอ่ยปากถามขึ้น “เกี่ยวกับสตรีในดวงใจข้า…”

ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็เงยหน้าขึ้นทันที ไม่คิดว่าหน้าผากจะชนเข้ากับคางแข็งกระด้างของหลินซือเย่า “อุบ!” นางเจ็บจนน้ำตาแทบร่วง

หลินซือเย่าอึ้งไป ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหน้าผากบวมเล็กน้อยของนางอย่างเบามือ อดถอนหายใจไม่ได้ หากวันนี้แยกจากกัน นางเป็นเช่นนี้จะให้ตนเองวางใจลงได้อย่างไร

“เจ้าเพิ่งจะ…” ซูสุ่ยเลี่ยนเอ่ยขึ้นอย่างเสียไม่ได้ เขามีสตรีในดวงใจแล้วจริงหรือ ใช่ลู่หว่านเอ๋อร์เมื่อครู่นี้ไหม

ซูสุ่ยเลี่ยนเม้มปาก พยายามระงับความรู้สึกเฝื่อนขมที่ผุดขึ้นในใจ ใช่แล้ว ผู้ชายล้วนชอบสตรีที่ร่าเริงเบิกบานและงดงามเปิดเผยอย่างลู่หว่านเอ๋อร์ ก็เหมือนกับพี่ซินอี้ เขาก็ไม่ใช่ว่าชอบสุ่ยเยี่ยนที่ร่าเริงเบิกบานและงดงามเหมือนกัน มากกว่าสตรีที่วาจาน้อยเงียบงันอย่างนางไม่ใช่หรือ

“บอกข้าก่อน ก่อนหน้านี้เจ้าคิดอะไร” หลินซือเย่าลากเก้าอี้กลมมานั่งข้างๆ นาง ลองไตร่ตรองเรื่องราวที่ผ่านมาในวันนี้ แม้ว่าไม่เป็นตามคาด เขาก็คงต้องยอมรับแล้ว จากนี้เขาจะได้ไม่วาดหวังในตัวนางอีก

“…” พอซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินเขาเอ่ยถึงเรื่องน่าอายก่อนหน้าของนางขึ้นมาอีก ก็อดมือไม้เก้กังไม่ได้ สีหน้าเริ่มแดงระเรื่อขึ้นอีกรอบ

“สุ่ยเลี่ยน” เป็นครั้งแรกที่หลินซือเย่าเรียกชื่อนี้ที่แอบเรียกในใจมาไม่รู้กี่รอบออกมา ถามเบาๆ ว่า “ข้าเรียกเจ้าอย่างนี้ได้ไหม”

ซูสุ่ยเลี่ยนสะดุ้ง พยักหน้าอย่างไม่ทันรู้ตัว ชื่อตนเองพอออกจากปากเขาแล้ว ก็เหมือนกับมีแรงดึงดูดบางอย่าง ทำให้นางหน้ามืดแทบเป็นลม

“ข้าไม่เคยมอบของขวัญให้ผู้ใด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเครื่องประดับ” หลินซือเย่าจับจ้องใบหน้านาง พูดออกมาทีละคำอย่างเน้นย้ำ เป็นคำอธิบายที่ยาวที่สุดในชีวิตเขาแล้ว กับนาง เขายินยอมเก็บกวาดความเย็นชาตนเอาไว้ ขอเพียงนางยอมรับฟัง

“เจ้า…” ซูสุ่ยเลี่ยนจ้องสบตาเขากลับอย่างไม่อยากจะเชื่อ ดวงตาที่แต่ไรมามีแต่ความเย็นเยียบ ตอนนี้เหมือนว่ามีอารมณ์ความรู้สึกหนึ่งที่ตนเองก็มองไม่กระจ่างนัก เพียงแต่ที่เขาพูดมานี้หมายความว่าอย่างไร เป็นดังที่นางคิดไหม ที่แท้เขาก็ชอบนาง?

“เจ้า…เจ้าเพิ่งบอกว่า…สตรีในดวงใจ…คือ…” นางไม่อยากจะเชื่อการคาดเดาของตน คิดจะฟังจากปากเขาเอ่ยออกมา

“ใช่ เจ้า” หลินซือเย่าหลุดออกมาสองคำ ก่อนจะรีบลนลานหันหลัง กลัวเห็นแววหัวเราะเยาะจากดวงตานาง กลัวอยู่ๆ นางจะเย็นชา ยิ่งกลัวนางจะเอ่ยปฏิเสธตน ใช่แล้ว ตนเองเป็นนักฆ่าโหดเหี้ยมร่อนเร่พเนจร จะคู่ควรกับนางผู้แสนงดงามอ่อนหวานเช่นนี้ได้อย่างไร

พอคิดเช่นนี้ หลินซือเย่าก็ลุกขึ้น ท่าทางสับสนรีบร้อนกำลังจะออกจากห้องนาง นางเงียบงันอยู่นาน ไม่คิดจะรั้งเขาไว้หรือ

เพียงแต่ นี่อะไร? หลินซือเย่าก้มหน้าลงมองมือน้อยที่คว้าเสื้อตนไว้อย่างไม่ยอมปล่อยมือ เงยหน้าไปมองใบหน้าแดงระเรื่อของซูสุ่ยเลี่ยน สองตาเหมือนอยากจะเอ่ยแต่ก็เขินอาย

“ข้า ข้าก็เช่นกัน” ซูสุ่ยเลี่ยนปลุกกำลังใจตนเองให้กล้าขึ้น สุดท้ายก็พูดสิ่งที่เก็บไว้ในใจมานานอกไป

หลินซือเย่าได้ยินก็สะดุ้ง นางบอกออกมาเหมือนที่เขาคิด เขายืนนิ่งเงียบไม่กล้าขยับตัว กลัวว่าที่ได้ยินนางงึมงำเมื่อครู่จะเป็นเพียงภาพมายาของเขาเองคนเดียว

“เจ้าไม่เชื่อ?” ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นเขานิ่งไปนาน ก็ร้อนใจรีบยกมือเปลี่ยนไปรั้งแขนเขาเต็มแรง “ข้า ที่ข้าพูดมาจริงนะ ข้า…”

“ข้าเชื่อ” เป็นนานกว่าหลินซือเย่าจะหากล่องเสียงตนเองเจอ น้ำเสียงทุ้มนุ่มมีอาการสั่นไหวที่แทบไม่ทันรู้สึก