เช้าวันรุ่งขึ้น ซูสุ่ยเลี่ยนลงมาชำระเงินที่โถงด้านล่าง
“แม่นางจะคืนห้องหรือ” พี่เสี่ยวเอ้อร์ที่เพิ่งเก็บกวาดโต๊ะเสร็จเห็นซูสุ่ยเลี่ยนถือห่อผ้าลงมาก็ยิ้มถามขึ้น
“ใช่แล้ว รบกวนพี่เสี่ยวเอ้อร์ด้วย” ซูสุ่ยเลี่ยนแย้มยิ้มมุมปาก แววตายังมีรอยยิ้มอ่อนหวาน ใช่แล้ว เมื่อคืนวานได้เปิดเผยความในใจกับหลินซือเย่าไปแล้ว นางจึงไม่อาจระงับสีหน้าแสดงออกถึงความสุขของนางได้ เป็นวาสนาสุขที่ไม่เคยมีมาก่อน
“ไม่รบกวนๆ” พี่เสี่ยวเอ้อร์เกาหัว รับเบอร์ห้องที่ซูสุ่ยเลี่ยนส่งมาให้อย่างเขินๆ ไปคิดเงิน ในใจก็คิดว่า จะทำใจกล้าลองถามแม่นางผู้นี้ว่ายินยอมแต่งกับตนไหม ดีไหมนะ
“เสร็จแล้ว?” หลินซือเย่าพาลูกหมาป่าสองตัวเข้ามายืนข้างกายซูสุ่ยเลี่ยน รับห่อผ้าในมือนางมาสายตาส่องประกายอ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่ที่เมื่อคืนเขาได้รู้ความในใจของซูสุ่ยเลี่ยน ก็ระงับความยินดีที่ผุดขึ้นมาในใจไว้ไม่ได้ แทบจะไม่ได้นอนทั้งคืน
ตั้งแต่ท้องฟ้าเริ่มมีแสงรำไร ก็ลุกขึ้นทิ้งข้อความไว้ให้ซูสุ่ยเลี่ยนว่าจะนำลูกหมาป่าสองตัวออกไปฝึกกำลังภายในนอกเมือง ท่ามกลางป่าเขาไร้ผู้คน เปลี่ยนความยินดีอย่างที่สุดเป็นกระแสเสียงร้องตะโกนด้วยความดีใจก้องฟ้า
จากนั้นจึงได้นำลูกหมาป่าสองตัวที่ไปฝึกวิชาเป็นเพื่อนเขาจนอ่อนแรงกลับมาอย่างปลอดโปร่งสบายตัว มาหาภรรยาในอนาคตของเขา นางผู้เป็นหนึ่งเดียวชั่วชีวิต
“อืม” ซูสุ่ยเลี่ยนตอบด้วยยิ้มอ่อนโยน
“เช่นนั้นไปกันเถอะ” หลินซือเย่าคว้าห่อของที่เลือกซื้อกันเมื่อวานที่ตอนนี้กองอยู่ที่ขาโต๊ะขึ้นมามัดไว้ที่ลูกหมาป่าสองตัว ลูกหมาป่าสองตัวหมอบกับพื้นอย่างเชื่อฟัง ยอมให้หลินซือเย่ามัดของขึ้น ท่าทางแอบบ่นว่า ทำพวกเราเหนื่อยอย่างนี้ ยังต้องมารับภาระหนักหนาเช่นนี้อีก โบร๋ว โบร๋วโบร๋ว! เจ้านาย ไม่เอาได้ไหม!
“แม่นาง นี่คือเงินทอน” พี่เสี่ยวเอ้อร์มองมาไกลๆ เห็นท่าทางอ่อนโยนที่มีให้กันของซูสุ่ยเลี่ยนกับหลินซือเย่า ในใจก็รู้สึกหมดหวังสิ้นเชิง ที่แท้ผู้ชายรูปหล่อเย็นชาข้างกายนางก็คือคู่ครองในอนาคตของนางจริงๆ พี่เสี่ยวเอ้อร์ก้มหน้าเศร้า เดินมาที่โต๊ะซูสุ่ยเลี่ยน ส่งเงินทอนจากเงินประกันเข้าพักที่เหลือหลังจากคิดบัญชีเรียบร้อยแล้วให้นาง
“ขอบคุณ เช่นนั้นพวกเราไปแล้ว ไว้พบกันใหม่” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มบาง รับเงินทอนสามสิบหกอีแปะคืนมา คิดจะแบ่งผลไม้ป่าในตะกร้าที่เหลืออีกครึ่งให้พี่เสี่ยวเอ้อร์ “พี่เสี่ยวเอ้อร์ นี่ให้เจ้า หลายวันนี้ขอบคุณเจ้าที่ช่วยข้าดูแลเสี่ยวฉุน เสี่ยวเสวี่ย”
“สมควรแล้วๆ” พี่เสี่ยวเอ้อร์โบกมือหัวเราะ เขาเองก็ชอบเจ้าหมาใหญ่ขนขาวราวหิมะสองตัวนี้เหมือนกัน ไม่เคยเห็นหมาที่ไหนที่ถูกฝึกจนเชื่องและรู้ภาษาเช่นนี้มาก่อน ถึงกับช่วยเจ้านายแบกของไว้บนหลังได้ด้วย
“อย่างนั้นก็ขอขอบคุณแม่นางแล้ว” พี่เสี่ยวเอ้อร์ถูสองมือไปมา รับตะกร้าของซูสุ่ยเลี่ยนไป กำลังคิดจะเดินกลับไปที่โต๊ะเก็บเงินก็ถูกหลินซือเย่าคว้าไว้
“อะ?” พี่เสี่ยวเอ้อร์เบิกตากว้างมองหลินซือเย่าคว้าคอเสื้อเขาไว้ ไม่กล้าขยับ เทผลไม้ป่าในตะกร้าทั้งหมดใส่อกเสื้อเขา จากนั้นก็เอาตะกร้าสานแสนน่ารักนั่นมัดใส่หลังลูกหมาป่าตัวหนึ่ง
ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นหลินซือเย่าทำเช่นนี้ ถึงกับเอาตะกร้ารัดไว้บนหลังเสี่ยวฉุน ก็มองพี่เสี่ยวเอ้อร์แทบอยากจะร้องไห้พลางส่งยิ้มแสดงการขอโทษ จากนั้นก็เดินตามหลินซือเย่าที่สีหน้าบึ้งตึงออกจากโรงเตี๊ยม
ซูสุ่ยเลี่ยนเงยหน้ามองหลินซือเย่าข้างกายที่กลับสู่ท่าทีเย็นชาแบบเก่าอย่างไม่เข้าใจ มองตาปริบๆ เมื่อครู่ยังดีๆ ไม่ใช่หรือ นี่อะไรกันนี่
พอหลินซือเย่ารู้ว่านางแอบมองตน ในใจก็แอบโมโหไม่น้อย ไม่ควรรู้สึกไม่พอใจยามนางส่งยิ้มละมุนนั่นให้กับเสี่ยวเอ้อร์ ไม่ควรไม่พอใจที่นางมอบตะกร้าสานและผลไม้ป่าให้เสี่ยวเอ้อร์ ไม่ควร…
“เจ้ากำลังโมโหหรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนดึงแขนเสื้อเขาไว้ ถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ กลัวว่าหากไม่ถามให้เข้าใจ ความรู้สึกที่เพิ่งเริ่มแย้มบานที่มาอย่างไม่ง่ายนี้จะถูกทั้งสองเก็บซ่อนกลับไป และจะหมดไปเพราะนิสัยที่ไม่ชินกับการพูดออกมาตรงๆ
หลินซือเย่าชะงักฝีเท้าหันกลับมากอดนางไว้ในอ้อมอกตนเอง ก่อนจะเหินทะยานออกจากท้องถนนแสนวุ่นวายของเมืองฝานลั่ว เหินตรงออกไปนอกเมืองแล้วก็ไปหยุดยังท้องทุ่งหญ้าเขียวขจีเวิ้งว้างไร้ผู้คน
“หลิน…อาเย่า” ซูสุ่ยเลี่ยนหลุดจะเรียกชื่อของเขาทั้งสามคำออกมา จากนั้นพอคิดได้ว่าในเมื่อนางและเขาตัดสินใจแต่งงานกันแล้ว ก็ย่อมไม่อาจเรียกขานเหินห่างเช่นนี้ จึงได้เลือกคำเรียกขานที่จะไม่ทำให้นางกระดากเขินอายมากออกไป พอเงยหน้าขึ้นคิดจะต่อคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบนั้นต่อ ก็สบเข้ากับดวงตาลึกล้ำยากคาดเดาของเขา ในแววตาเหมือนจะแอบซ่อนอารมณ์ล้ำลึกที่เขาพยายามสะกดกลั้นเอาไว้
“เจ้า…” ซูสุ่ยเลี่ยนทำลายความเงียบขึ้น แต่พอเอ่ยปากก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อ กำลังคิดอยู่นั้นก็กลับถูกหลินซือเย่าใช้นิ้วชี้ขึ้นปิดริมฝีปากของนางที่กำลังเผยอขึ้น
“ข้าโมโห” เขาอธิบาย แต่ก็เหมือนพึมพำกับตัวเองมากกว่า “ข้าไม่อยากให้ผู้ชายคนไหนได้เห็นรอยยิ้มเจ้า ยิ่งไม่อยากให้เจ้ามอบของที่สานกับมือเจ้านั่นให้คนอื่น”
พรืด! ซูสุ่ยเลี่ยนอดหลุดขำออกมาไม่ได้ แต่พอเห็นสายตาเย็นเยียบหลินซือเย่าที่อยู่ๆ ก็มองมาอย่างตำหนินางว่าไม่ใช่เวลามาหัวเราะ ช่างเกินไปแล้ว นางจึงยิ้มแสดงการขอโทษ อธิบายอ่อนโยนว่า “ข้าไม่ได้ตั้งใจหัวเราะเจ้า ข้าแค่คิดถึง…เอ่อ…คือว่า…เจ้าพูดกับข้ามาตั้งยาว ถึงกับบ่นว่าข้า ดังนั้นจึงอดไม่ได้…” นางยิ่งพูดเสียงยิ่งเบา จนถูกสายตาเขาที่มองไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์เช่นไรสะกดให้ต้องก้มหน้าลง
“สุ่ยเลี่ยน…” หลินซือเย่าถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะโน้มใบหน้าลงมาแตะหน้าผากใสกระจ่างของนางเบาๆ ราวกับแมลงปอแตะน้ำทีหนึ่ง
ซูสุ่ยเลี่ยนมองเขาด้วยสายตาเหม่อลอย สองแก้มแดงระเรื่อร้อนผ่าว หลินซือเย่าเห็นเช่นนี้ก็หวั่นไหว อดจุมพิตอีกทีไม่ได้
“เจ้ามองข้าอย่างนี้อีก ข้าก็อยากทำมากขึ้นอีก” หลินซือเย่าแอบอมยิ้มลอบมองท่าทางเขินอายลนลานของนาง
“เจ้า…เจ้าไม่ควรจูบข้าอย่างนี้!” กว่าซูสุ่ยเลี่ยนจะหากล่องเสียงตนเองเจอก็อายจนเอ่ยตำหนิออกมา
“ไม่ชอบ?” หลินซือเย่ายกมือขึ้นไล้สองแก้มงดงามราวดอกท้อของนางเบาๆ สัมผัสร้อนผ่าวบอกให้เขารู้ว่านางกำลังเขินอาย
“ก็ไม่ใช่ แต่ว่า…แต่ว่า…” ซูสุ่ยเลี่ยนถูกเขาจ้องมองจนเสียอาการ แต่นิ่งอยู่นานก็หาเหตุผลที่เหมาะสมไม่ได้
เดิมไม่ควรไม่ใช่หรือ นางคิดว่าเรื่องความสัมพันธ์ลึกซึ้งชายหญิงก็ควรรอให้แต่งงานก่อนไม่ใช่หรือ แต่งแล้วค่อยมีการกระทำใกล้ชิดเช่นนี้ได้ หรือว่านางหัวเก่าเกินไป? มิน่าตอนนั้นสุ่ยเยี่ยนมักจะชี้หน้าว่านางว่าหัวโบราณ หัวดื้อ
“เป็นผู้หญิง ห้ามเหม่อเช่นนี้” หลินซือเย่าละมือจากใบหน้านาง ดีดปลายจมูกนางเบาๆ ขมวดคิ้วเอ่ยเตือนขึ้น จากนั้นก็โอบเอวนางต่อ พอนางได้สติก็ลอบหายใจเบาๆ เขาแตะปลายเท้ากับพื้นเคลื่อนพลังเร่งเดินทางไปเมืองฝานฮัว
ด้านหลังมีสองลูกหมาป่าไล่ตามมา เหนื่อยหอบจนลิ้นแลบยาว มองผู้ชายที่เพิ่งโอบกอดเจ้านายตนอย่างเสียไม่ได้ แต่พอสบตาเข้าก็รีบตะกายวิ่งออกท้องทุ่งไปทันที