คริสต์จะจัดการเรื่องลิซาร์ดแมนเอง นั่นทำให้อินกองมีเวลาส่วนตัวให้ใช้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มาเยือนโลกนี้

 

‘มัวรอช้าอยู่ใย ฝึกต่อสิครับท่าน’

 

 เพราะไม่มีธุระอะไรเร่งด่วน เขาจึงตัดสินใจฝึกฝนตัวเองต่อ

 

 ด้วยบุคลิกอินกองที่มองโลกตามความเป็นจริง

 

 ถึงเขาจะยังไม่รู้ว่าที่นี่เป็นโลกต่างมิติ หรือว่าโลกภายในเกมส์ แต่สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ คืออะไรกันแน่?

 

 สาเหตุที่ส่งเขามาที่นี่? ออกสร้างสัมพันธ์อันดีกับสิ่งมีชีวิตท้องถิ่น? เดินทางสำรวจโลกกว้าง?

 

 ไม่ใช่ทั้งสิ้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เขาต้องรอด

 

 ถ้าเขาตายทุกสิ่งก็หมดความหมาย เขาต้องมีชีวิตอยู่ ถึงจะทำสิ่งเหล่านั้นได้

 

 นับว่าโชคดีที่เงื่อนไขการมีชีวิตรอดนั้นไม่ยุ่งยาก

 

 แข็งแกร่งขึ้น

 

 ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่อยู่รอด เมื่อเขาทรงพลัง ฐานะของเขาก็จะดีขึ้นตามไปด้วย ทว่ายังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

 

 ความดีความชอบที่อินกองสร้างในปฏิบัติการครั้งนี้ ย่อมทำให้เขาคว้าพลังมาครอบครองได้ง่ายขึ้น

 

 เส้นทางสู่พลังอำนาจมีมากมายหลายเส้นทาง แต่อินกองต้องการอยู่เหนือกว่าพลังที่ปลายเส้นทางเหล่านี้

 

‘ถึงเวลาต้องวางแผนจริงจัง’

 

 จนถึงตอนนี้เขาล้วนทำทุกอย่างไปตามสถานการณ์ นั่นทำให้เขามีความสามารถในหลายด้าน แต่กลับไม่ชำนาญในสักสิ่ง

 

‘เอาลมปราณกับไอศวรรย์สัตว์อสูรเป็นหลัก’

 

 สาเหตุที่อินกองเลือกสองอย่างนี้ เพราะเคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพและถุงมือพสุธากัมปนาท เคล็ดกระบวนท่าระดับ S และอาวุธมือระดับ S ทั้งสองเข้าคู่กันราวกับฟ้าลิขิต

 

‘ส่วนเทเลคิเนซิสก็เก็บไว้ใช้เป็นไพ่ตาย’

 

 ถึงระดับของเทเลคิเนซิสยังน้อย แต่การที่อินกองเข้าใจวิธีใช้งานเป็นอย่างดี ทำให้เขาสามารถนำมันมาพลิกแพลงได้หลากหลาย แทนที่จะใช้ในการโจมตีซึ่งหน้า

 

‘ถึงจะเสียดาย แต่เวทมนตร์คงต้องรองลงมา’

 

 เขาเรียนรู้ทักษะจำพวกเวทมนตร์มาเยอะที่สุด แต่ทั้งหมดยังคงอยู่ที่ขั้นแรกเท่านั้น

 

‘การใช้เวทมนตร์ได้หลากหลายถึงจะแค่ขั้นแรก ก็ถือว่าเป็นจอมเวทได้เหมือนกัน’

 

 เขาจะพุ่งเป้าไปด้านเวทรักษา และใช้ที่เหลือเล่นงานศัตรูทีเผลอเพื่อสร้างจังหวะ

 

 ทั้งหมดเป็นแผนการของอินกองในตอนนี้ ถึงแม้จะเป็น ‘พระเอก’ แต่เขาก็ควรเลือกชำนาญเฉพาะทางไปก่อน

 

‘ทีนี้ก็ พสุธากัมปนาท’

 

 อินกองมองรอบตัวให้มั่นใจ ก่อนเปิดช่องเก็บของเพื่อตรวจสอบถุงมือระดับ S

 

‘นี่ก็น่าจะมีวิชาเฉพาะอยู่?’

 

 อาวุธและชุดเกราะระดับ S ขึ้นไป จะมีความสามารถพิเศษแอบแฝงมา

 

 ดาบประจำตัวของล็อคค์สามารถใช้วิชา ‘สมรภูมิผู้กล้า’ รวบรวมลมปราณยิงกระหน่ำศัตรูข้างหน้า ส่วนอาวุธโปรดในตอนที่เล่นแซเฟียร์ ‘กรงเล็บมังกร’ กับ ‘คำสั่งเสีย’ ก็มีวิชา ‘มังกรพิโรธ’ และ ‘คำสาปมรณะ’ แฝงอยู่ตามลำดับ

 

 หากแต่เขาไม่เคยพบ ‘พสุธากัมปนาท’ ในเกมบทกวีแห่งผู้กล้าเลยสักครั้ง เขาจึงไม่รู้ความสามารถของมัน แต่ต้องมีสิ่งพิเศษอยู่ด้วยแน่นอน

 

‘รวมพลังทั้งหมดเป็นหนึ่ง พสุธากัมปนาทจะก้าวข้ามขีดจำกัดทั้งหมดเพื่อทำลายศัตรู’

 

 อินกองพยักหน้าอย่างพอใจก่อนปิดช่องเก็บของ เขาอยากเริ่มฝึกฝนในทันที แต่ยังมีสิ่งสำคัญให้ไตร่ตรอง

 

‘วังจอมมาร บ้านอันแสนสุข’

 

 ถึงสงครามกับเผ่าสายฟ้าชาดจะดูยุ่งยาก แต่ในความเป็นจริงกลับเรียบง่าย เขาต้องทำเพียงคุมกำลังรบให้ชนะในการศึก

 

 แต่วังหลวงนั้นต่างออกไป

 

‘ในวังตอนนี้มีสามขั้วอำนาจ’

 

 อินกองวางแก้ว มีด และกาน้ำลงบนโต๊ะ

 

 แก้วแทนองค์ชายลำดับหนึ่ง ไบคาล แร็กนารอส

 

 มีดแทนองค์ชายลำดับสอง แซเฟียร์ แร็กนารอส

 

 กาน้ำแทนองค์หญิงลำดับสี่ อนาสทาเชีย เนคริออน

 

 ไบคาลและแซเฟียร์เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดที่แท้จริง ทั้งคู่เป็นแกนนำของฝ่ายตนเอง หากเปรียบเทียบกับนิยายราชวงศ์ก็ไม่ต่างจาก องค์ชายใหญ่ผู้มีสิทธิ์อันชอบธรรมในบัลลังค์ กับองค์ชายรองที่มากด้วยอำนาจ ทว่าโลกมารทำให้สิ่งทั้งหลายต่างออกไปจากนิยาย

 

 ลำดับการเกิดไม่สำคัญ ผู้ที่มีความสำเร็จมากมายและแกร่งจริงเท่านั้นจึงจะคู่ควร

 

 ไบคาลและแซเฟียร์ต่างก็มากความสามารถทั้งคู่ นอกจากจะได้รับการสนับสนุนจากขุนนางทางฝั่งมารดาแล้ว ยังมีสิ่งที่ทำให้ทั้งสองอยู่เหนือบุตรธิดาจอมมารตนอื่น

 

 นั่นคือสายเลือดมังกร ไบคาลและแซเฟียร์เป็นลูกครึ่งเผ่ามังกร เผ่าที่สืบเชื่อสายจากเหล่ามังกรอาวุโสในอดีตกาล

 

 ในบรรดาเผ่าพันธุ์ของราชินีทั้งห้า เผ่ามังกรได้ชื่อว่าทรงพลังที่สุด

 เผ่ามังกร เผ่าเอลฟ์รัตติกาล เผ่าไลแคนโทรป เผ่าคนธรรพ์ เฉลยออกมา 4 ละนะ ใบ้ว่าเผ่าสุดท้ายเป็น *น**ม*  (≖ ͜ʖ≖)

 

‘ถ้าให้เลือกก็ขอไบคาลดีกว่า’

 

 หากจะเปรียบเทียบ ไบคาลคือพิราบ ส่วนแซเฟียร์เป็นเหยี่ยว เนื่องจากเป็นพี่ชายคนโต ไบคาลมองญาติที่เหลือเป็นน้องมากกว่าจะเป็นคู่แข่ง และจากความจำเมื่อครั้งเล่นแซเฟียร์ ไบคาลจะจัดงานน้ำชาเพื่อเชิญลูกจอมมารทั้งหมดเข้าร่วมพูดคุยอย่างเป็นมิตร

 

 หลังจากเหตุการณ์ล้างเผ่าพันธุ์ไลแคนโทรปในปี 516 แม้ธาตุแท้ของแซเฟียร์จะทำลายความสัมพันธ์ทั้งหมด ไบคาลก็ยังคงวางตัวเป็นกลางไม่กดขี่ผู้ใด

 

‘ติดตรงที่เผ่ามังกรดันเป็นอริกับคนธรรพ์นี่ละน้า’

 

 สาเหตุที่อิทธิพลทางฝั่งมารดาของฉัตรมีน้อย นั่นเพราะสงครามกับเผ่ามังกรในอดีต

 

 ทั้งสองฝ่ายต่างสูญเสียประชากรไปเกินครึ่ง จึงกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตนับแต่นั้นมา

 

‘ส่วนแซเฟียร์ ยังไงทิ้งระยะให้ห่างไว้ก็ดีที่สุด’

 

 การเข้าใกล้แซเฟียร์ไม่ก่อให้เกิดอะไรดี อิทธิพลของแซเฟียร์เป็นอันดับสองจากทั้งสามขั้วอำนาจ แต่นั่นก็ถึงเพียงวันล้างบาง ที่เหล่าบุตรธิดาจอมมารตนอื่นล้วนล้มตายหมดสิ้น

 

‘ส่วนอนาสทาเชีย… ดูเชิงไปก่อนดีมั้ย?’

 

 องค์หญิงลำดับสี่ อนาสทาเชีย เนคริออน

 

 นางเป็นบุตรีของราชินีองค์ที่สอง ทิทาเนีย เนคริออน ราชินีแห่งเหล่าไนท์แมร์

 ถูกต้องแล้ว พี่สาวซัคคุบัสนั่นเอง (≖ ͜ʖ≖)

 ไ‘น’ท์แ‘ม’ร์ (nightmare) หรือ แมร์(mare) ปีศาจตามความเชื่อของนอร์สที่นั่งทับอกในยามราตรีเพื่อให้เกิดฝันร้าย มีรูปร่างคล้ายลิงขนาดเล็ก(ที่กลายเป็นรูปร่างของก็อบลินในยุคปัจจุบัน) กินความรู้สึกด้านลบของมนุษย์เป็นอาหาร เทียบกับทางไทยก็คืออาการที่เรียกว่า ‘ผีอำ’

 เพิ่มเติม คำว่าแมร์ มีรากศัพท์มาจากกรีกโบราณ มอรอส/มอรุส(ไม่ได้ใช้นานลืมคำอ่าน ฮา) แปลว่าความตาย และ แมร์ มีความหมายว่า ม้าตัวเมีย ในภาษาอังกฤษ จึงเป็นอีกที่มาของความเชื่อที่ว่า ผู้นำความตายขี่ม้ามารับดวงวิญญาณสู่ปรโลก

 ส่วนซัคคุบัส/อินคุบัสจำได้ว่าเป็นลูกหลานลิลิธ เกี่ยวกับไนท์แมร์ยังไง อันนี้ไม่รู้ แต่คิดว่า เพราะซัคคุบัส/อินคุบัสมีรูปร่างเป็นสาว/หนุ่มรูปงามที่นอนทับล่อลวงให้เกิดอารมณ์ทางเพศ การที่ทับร่างเหยื่อในยามราตรีและกินความคิดด้านลบเหมือนกัน เลยทำให้ถูกเหมารวมกัน(มั้ง) ใครอยากรู้ละเอียดรบกวนกูเกิ้ลหามาบอกที

 ทำไมไม่ใส่ไว้ด้านบนเหมือนทุกที ไม่ได้หรอก ไม่งั้นเดี๋ยวอดเล่นคำใบ้ *น**ม* o(✧ω✧)o

 

 ในบรรดาความคิดแง่ลบทั้งหลาย เหล่าไนท์แมร์เกี่ยวพันกับราคะเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในความกำหนัดยามค่ำคืน

 

 พรสวรรค์ในการยั่วยวนของอนาสทาเชีย ทำให้ทหารจำนวนมากยอมตกเป็นทาสของนาง และในช่วงเวลาหนึ่งถึงอินกองจะไม่มั่นใจ แต่ทั้งเฟลิซีและซิลวานก็เข้าร่วมฝ่ายนาง

 

‘นี่ถ้าเราชักจูงเฟลิซีกับซิลวานมาได้ ต้องมีกระทบกระทั่งแน่ๆ’

 

 อันที่จริง เป็นไปได้สูงว่านางจะพยายามล่อลวงอินกองไปเสียมากกว่า

 

‘ต้องทำจิตใจให้มั่นคงเข้าไว้’

 

 อนาสทาเชียเป็นซัคคุบัส เผ่าพันธุ์ที่สามารถยั่วยวนปลุกเร้าได้แต่กำเนิด อินกองไม่มั่นใจว่าจะมีจิตใจแน่วแน่ได้นานขนาดไหน หากนางต้องการตัวเขาเข้าจริง

 

‘ส่วนที่เหลือก็เป็นพวกลูกๆจากนางสนม’

 

 นอกจากราชินีทั้งห้าแล้ว ยังมีเหล่านางกำนัลอีกมากมาย หากจะใช้กลยุทธหญิงงามตามนิยายสงคราม ก็สามารถเลือกได้จากหลากเผ่าพันธุ์

 

 ลูกของนางเหล่านี้มีรวมกันราว 20 ตน ซึ่งสิทธิ์ในบัลลังค์ของพวกนี้มีน้อยมาก ทำให้ส่วนใหญ่เลือกสวามิภักดิ์เข้ากับหนึ่งในขั้วอำนาจ

 

 ใบหน้าหลากหลายผุดขึ้นมาในหัวอินกอง แม้เขาจะชอบตัวละครเหล่านี้มากแค่ไหน เขาก็ต้องสังหารทิ้งหมดสิ้นเนื่องจากเป็นเหตุการณ์บังคับในการเล่นแซเฟียร์ เขาได้แต่สบถด่าร่ำไปในทุกครั้งที่เล่น

 

 ดรูอิดเผ่านางไม้ ดาฟเน่

 

 อัศวินเผ่าแวมไพร์ ซิลาส  

 

 มือธนูเผ่าเอลฟ์ เซลีน

 

‘ดูซิว่าเราจะชักจูงเด็กๆพวกนี้ได้เยอะแค่ไหน’

 

 แต่ความที่เขาเป็นฉัตร แน่นอนว่าเขาต้องการความสำเร็จมากกว่านี้ จึงจะสามารถดึงดูดผู้อื่นได้

 

‘เราตัดสินใจแล้ว กลับวังครั้งนี้จะเป็นการหาเสียง’

 

 เรื่องที่เขากลัวควรจะเป็นสถานการณ์ภายในวังของฉัตรเสียมากกว่า

 

 เขาไม่รู้แม้แต่จำนวนคนรับใช้ ไม่สิ อันที่จริงเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีใครดูแลฉัตรหรือเปล่า?

 

‘นี่จะเป็นการเปิดตัวของเราที่วังจอมมารอย่างแท้จริง’

 

 ด้วยความดีความชอบจากภารกิจในครั้งนี้ เป็นที่แน่นอนว่าเขาต้องได้รับการปรนนิบัติที่ดีขึ้น พี่น้องและเหล่าผู้ติดตามจะเริ่มหันมาสนใจฉัตรแน่นอน

 

‘แกอย่าคิดมาก แกไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะอินกอง’

 

 นอกจากพันธมิตรกับเคทลินและคริสต์แล้ว เฟลิซีก็ปฏิบัติกับเขาในทางทีดี

 

‘ฉะนั้น หมดเวลาอู้ แล้วได้เวลาเริ่มฝึกสินะ?’

 

 อินกองตั้งสมาธิขจัดความคิดฟุ้งซ่านก่อนเริ่มเดินลมปราณฝึกเคล็ดไอศวรรย์สัตว์อสูร

 

&

 

 ในเช้าวันถัดมา

 

 เฟลิซีนำเหล่าเอลฟ์รัตติกาลกลับไปซากวิหาร นางต้องการสำรวจเพิ่มเติมแม้จะเพียงน้อยนิดก็ตาม ส่วนคริสต์ก็นำกำลังพลเคลื่อนไปเจรจากับเหล่าลิซาร์ดแมนที่บึง

 

 จึงเหลือเพียงอินกอง เคทลิน และแวนเดลอยู่ในค่ายเท่านั้น

 

 เคทลินมาหาเขาที่กระโจมแต่เช้าตรู่

 

“วันนี้ ท่าร่างจะเริ่มซับซ้อนขึ้น เธอพร้อมไหม?”

 

 ชุดนางในวันนี้หนาเป็นพิเศษ ต่างจากชุดปกติที่นางสวม

 

“ครับกระผม”

 

 อินกองตอบอย่างมั่นใจ คารัคหันไปกระซิบบางอย่างให้เคทลิน

 

“แกช่วยทำอะไรซักอย่างเถอะ พักนี้องค์ชายแอบทำอะไรตอนกลางคืนตลอด ข้ากลัวว่ามันจะพักผ่อนไม่เพียงพอ”

 

 เจ้าออร์คทำตัวเหมือนพี่เลี้ยงของเขามากกว่าองครักษ์ส่วนตัว นั่นทำให้เขากลัวเคทลินจะเข้าใจผิดเรื่องที่เขา ‘แอบทำอะไรตอนกลางคืน’

 

 แต่กังวลไปก็ป่วยการ เคทลินชำเลืองมองมาที่อินกองก่อนพยักหน้าให้คารัค

 

“ไม่ต้องห่วง ตั้งแต่วันนี้มั่นใจได้เลยว่าฉัตรหลับฝันดีแน่นอน”

 

 นางหันมายิ้มให้เขาเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มที่ทำให้เขาขนลุกไปทั้งตัว

 

 คำพูดของนางไม่ใช่เรื่องโกหก นางฝึกเสียจนเขาไม่เหลือเรี่ยวแรงไปแอบฝึกต่อในตอนกลางคืน

 

 และในวันที่สิบเอ็ดของการฝึกหฤโหด

 

 [เพิ่มระดับขั้นทักษะ เคล็ดไอศวรรย์สัตว์อสูร]

 

 [เพิ่มระดับขั้นทักษะ ลมปราณ]

 

 ทักษะทั้งสองได้พัฒนาขึ้นมาถึงขั้นห้า

 

 ขณะที่เขาได้ยินเสียงแจ้งเตือนในหัว เคทลินเพ่งมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนเอ่ยออกมา

 

“เธอเรียนรู้ได้ไวมาก นี่มัน…”

 

 เคทลินมองด้วยดวงตาขุ่นมัวก่อนจะขยับมากระซิบที่หูของเขา

 

“ให้ฉันเริ่มสอนไอศวรรย์สัตว์เทพเลยไหม?”

 

 การที่อินกองเรียนรู้ไอศวรรย์สัตว์เทพต้องปิดเป็นความลับ

 

 อินกองแสดงสีหน้ายินดีออกมาในทันที

 

“จริงหรือครับ?”

 

“อืม ฉันคิดว่าเธอน่าจะพอเรียนไอศวรรย์สัตว์เทพได้แล้ว เอาจริงๆนะ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นใครเรียนรู้อะไรได้ไวขนาดนี้”

 

 ถึงแม้ระดับลมปราณของเขายังต่ำเกินไปที่จะเรียนเคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพ แต่มันก็เพียงพอที่จะเริ่มฝึกท่าร่างพื้นฐาน

 

‘วะ ฮะ ฮะ ฮ่า ผลจากพลังพระเอกกับกายาชาตรีสินะ’

 

 ส่วนหนึ่งมาจากการที่เขาใช้แต้มทักษะเพิ่มขั้น ลำพังแค่กายาชาตรีไม่มีทางทำให้เขามาถึงจุดนี้ได้ไวขนาดนี้

 

 เคทลินมองสำรวจโดยรอบก่อนจะพูดต่อ

 

“เคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพเป็นกระบวนท่าที่พัฒนาต่อยอดจากเคล็ดไอศวรรสัตว์อสูร ตอนนี้ฉันจะสอนวิธีเคลื่อนลมปราณอีกแบบให้เธอ”

 

 เคทลินนั่งลงพร้อมยื่นฝ่ามือทั้งคู่ออกมาข้างหน้า อินกองนั่งลงพร้อมยื่นแขนไปประสานฝ่ามือกับนาง

 นี่มันไอนั่นใช่มะ ถ่ายทอดลมปราณแบบหนังจีนชัดๆ

 

“เริ่มละนะ”

 

 เคทลินหลับตาลง ลมปราณสีน้ำเงินก่อตัวขึ้นบริเวณมือของนางพร้อมกับลมปราณสีขาวที่มือของอินกอง ก่อนลมปราณทั้งสองจะเคลื่อนตัวไปในแนวทางเดียวกัน

 

 ในตอนแรกทิศทางการเคลื่อนดูไม่ต่างจากเคล็ดไอศวรรย์สัตว์อสูร

 

 แต่สักพักอินกองก็รับรู้ได้ถึงความแตกต่าง

 

 ลมปราณ

 

 หรือก็คือพลังชีวิต หากควบคุมได้ถึงจุดสูงสุด มันสามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณได้

 

 ถึงอินกองจะยังไปไม่ถึงจุดนั้น แต่เขาพอจะรู้ถึงจิตวิญญาณของเขาได้

 

 อาณัติ

 

 พลังอำนาจในการเข้าควบคุมปกครองซึ่งทุกสิ่ง

 

 ในที่สุดอินกองก็สามารถเข้าไปสัมผัสมันได้มากขึ้น แม้จะเป็นเพียงอีกเศษเสี้ยวหนึ่งก็ตาม เป็นครั้งแรกในการทำสมาธิฝึกลมปราณที่เขารู้สึกถึงปิติ

 

 หนึ่งนาที สองนาที จวบจนชั่วโมง หรือเป็นวัน เขาไม่รับรู้ว่ากาลเวลาภายนอก

 

 เวลาผ่านไปจนกระทั้งอินกองหลุดออกจากภวังค์

 

 แม้จะยังหลับตา เขาก็รับรู้ได้ถึงเคทลินที่นั่งอยู่อีกจุดหนึ่งในความมืดมิด

 

 [คุณได้เรียนรู้ เคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพ ขั้น1]

 

 [เพิ่มระดับขั้นทักษะ เคล็ดไอศวรรย์สัตว์อสูร]

 

 [เพิ่มระดับขั้นทักษะ ลมปราณ]

 

 เขาเพิ่งจะก้าวข้ามผ่านกำแพงมาได้ ทำให้เข้าใจความซับซ้อนของลมปราณมากขึ้น

 

 และเป็นที่แน่นอน…

 

 การผ่านพ้นกำแพงในจิตใจย่อมถือเป็นความสำเร็จ

 

 [เลเวลของคุณเพิ่มขึ้น]

 

 แสงสีขาวแผ่ขยายออกมาจากตัวอินกองอย่างเช่นเคย