‘เลเวลเพิ่มเลยทีเดียว’
นั่นทำให้อินกองขึ้นมาถึงเลเวล 14 ตัวเขาในตอนนี้เก่งเกินกว่าจะยกไปเปรียบเทียบกับนาย ก นาย ข
ทว่าสิ่งที่ทำให้อินกองตื่นเต้นมากที่สุดคือเรื่องลมปราณ
‘นี่เราหลงเข้าใจผิดตั้งนาน’
เขาคิดแค่ว่าเมื่อเพิ่มขั้นทักษะ ลมปราณก็จะแก่กล้า สิ่งที่เกิดขึ้นจริงจึงทำให้เขาเหมือนกบที่หลุดจากโลกในกะลา
‘น่าสนใจสุดๆ’
ยังมีกำแพงอีกหลายชั้นที่เขาต้องก้าวข้ามเพื่อไปสู่จุดสุดยอด โลกทัศน์เบื้องหลังกำแพงเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร สิ่งเหล่านี้ดึงดูดเขาอย่างมาก
‘ส่วนเคท’
อินกองระงับความตื่นเต้นลงก่อนพิจารณาเคทลิน มีบางสิ่งเปลี่ยนแปลงไปในลมปราณของนางที่เขาสัมผัสได้ผ่านการประสานฝ่ามือ
เคทลินได้ก้าวข้ามบางสิ่งเช่นกัน อาจเป็นอินกองที่กระตุ้นนาง หรือเป็นนางที่กระตุ้นเขา แต่ทั้งคู่ล้วนก้าวข้ามขีดจำกัดมาได้หนึ่งขั้น
ร่างของเคทลินปกคลุมด้วยลมปราณสีน้ำเงิน นางถอนหายใจออกมา ก่อนจะลืมตาขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
“ขอบคุณนะฉัตร ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะเธอ”
แม้เคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพจะเป็นกระบวนท่าที่นางฝึกฝนมานาน แต่ลมปราณของฉัตรก็ช่วยให้นางบรรลุบางสิ่งเพิ่ม
ราวกับสายน้ำสองสายที่ไหลมาบรรจบ ลมปราณของทั้งคู่เข้าผสานเหนี่ยวนำซึ่งกันและกัน นั่นช่วยให้เคทลินก้าวเข้าถึงความซับซ้อนของพลังชีวิตที่เรียกว่าลมปราณได้มากขึ้น
เป็นความวิเศษที่ยากจะอธิบาย
แม้ทั้งอินกองและเคทลินจะเข้าถึงสิ่งเดียวกัน แต่การรับรู้ของทั้งคู่ต่อสิ่งนั้นกลับต่างกันออกไป
สันทิฏฐิโก ผู้ปฏิบัติพึงเห็นชัดด้วยตนเอง
“น่าสนใจมาก”
อินกองและเคทลินมองรอบตัวหาแหล่งที่มาของเสียงอย่างตกใจ มีเงาดำขนาดใหญ่อยู่หน้ากระโจมที่พักของอินกองที่ห่างออกไปไม่มาก
“พลเอกแวนเดล?”
อินกองมองเห็นแวนเดลที่นั่งเกาคางอย่างใจเย็น
“องค์หญิงแปดและองค์ชายเก้าไม่กินไม่นอนมาหลายวัน ทำให้ทหารรับใช้ของพวกท่านเป็นกังวลกันมาก”
ทั้งคู่ตกใจหลังจากรับรู้ว่าเวลาล่วงเลยไปเป็นวัน ดูเหมือนจะถึงเวลาที่ควรพักผ่อน
ก่อนจะมีเสียงพูดแทรกขึ้นมา
“ถูกต้อง โดยเฉพาะเซร่า”
ร่างกายอันใหญ่โตของแวนเดลทำให้อินกองไม่เห็นคารัคที่นั่งอยู่ด้านข้าง
อินกองรีบถามมันในทันที
“คารัค นี่ผ่านมาได้กี่วันแล้ว?”
“อืม… ตอนนี้พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น.. เพราะงั้นก็น่าจะสี่วันได้? แล้วนี่แกไม่หิวรึไง?”
คารัคพูดพร้อมลูบท้องของมัน ทำให้อินกองรู้สึกหิวขึ้นมาก่อนจะก้มลงมองท้องตัวเอง แม้เคทลินจะไม่ปริปาก แต่แก้มอันแดงก่ำของนางบ่งบอกว่านางหิวเช่นกัน
‘แต่ว่า… นี่มันผ่านมาสี่วันเลยหรอวะ?’
ก่อนจะลืมตาขึ้น เขาไม่รับรู้ถึงเวลาที่ผ่านไปแต่อย่างใด ไม่ว่ามันอาจจะผ่านไปแค่ชั่วขณะหรือกระทั่งเป็นปี
‘เราเข้าฌานสินะ?’
มันรู้สึกดีอย่างมาก
‘ช่างเถอะ มันผ่านไปแล้ว’
“ผมหิวสุดๆ ขออะไรกินหน่อยสิ แล้วช่วยเตรียมเผื่อนูนะด้วย”
เขาหันไปเห็นรอยยิ้มจากนางเล็กน้อย แน่นอนว่านางก็หิวเช่นกัน
เป็นในตอนนั้นเองที่แวนเดลเอ่ยขึ้น ความหิวทำให้มันถูกลืมอย่างสิ้นเชิง
“ข้าก็หิว พวกเราทานพร้อมกันเถอะ”
“งั้นข้าจะรีบไปนำอาหารมาให้”
คารัครีบลุกขึ้นไปเตรียมอาหาร
แวนเดลพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“พวกท่านทั้งสองเก่งมากที่ก้าวข้ามกำแพงมาได้ ข้าขอแสดงความความยินดีด้วย”
แวนเดลเป็นถึงบลัดโอเกอร์ ซึ่งเป็นโอเกอร์ชนิดพิเศษ มันยังมีความเชี่ยวชาญสูงมากในเรื่องลมปราณ มันจึงมองเห็นความสำเร็จของทั้งคู่ได้ในทันที เคทลินหันไปยิ้มให้กับคำชมของมัน
“ขอบคุณมากพลเอกแวนเดล”
“องค์ชายเก้า องค์หญิงแปด ข้าจะตั้งความคาดหวังไว้กับพวกท่านในอนาคต”
ทั้งคู่แสดงการเติบโตอันรวดเร็วให้มันเห็น โดยเฉพาะอินกอง
แววตาชื่นชมจากโอเกอร์ตนนี้ไม่อาจเล็ดลอดสายตาของอินกองไปได้ และนั่นก็เพราะแวนเดล คือแวนเดล
‘จะว่าไป แวนเดลก็เห็นแสงจากการเพิ่มเลเวล… หรือมันจะคิดว่าเป็นลมปราณ?’
แวนเดลไม่พูดสงสัยอะไร นั่นเป็นเรื่องดีสำหรับอินกอง
“ทานอาหารกันเถอะ!”
คารัคกลับมาพร้อมตะกร้าอาหารขนาดใหญ่สองใบ เบื้องหลังมันเป็นเซร่าที่มาพร้อมกับตะกร้าอาหารอีกสองใบเช่นกัน
จากการที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องมาถึงสี่วัน นั่นทำให้อินกองทานทุกอย่างที่เข้าปากอย่างรวดเร็ว ในตอนแรกเคทลินยังทานอย่างสำรวมกระทั่งนางเห็นอินกอง คารัค และแวนเดล นางจึงเริ่มทานโดยไม่ใส่ใจมารยาท
หลังจากการแข่งขันทานเร็วดำเนินไปได้หนึ่งชั่วโมงครึ่ง อาหารทั้งหมดก็ได้อันตรธานหายไป ทั้งหมดมีสีหน้าที่ผ่อนคลาย
“เมื่อพวกท่านสบายดี งั้นข้าขอตัวก่อน”
แวนเดลลุกกลับกระโจมของมัน เคทลินที่ผ่อนคลายขึ้นกล่าวออกมา
“อปป้าน่าจะกลับมาในอีกวันสองวัน สิ่งที่ฉันพอจะสอนเธอได้มีเท่านี้ เธอต้องพยายามทบทวนทำความเข้าใจให้มากขึ้นเอง”
เรื่องการสอนเคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพเป็นความลับกระทั่งกับเซร่า นางจึงกระซิบบอกเขา
“แล้วฉันจะหาเวลาสอนเธอเพิ่มภายหลัง”
นางบอกเขาเป็นนัยให้เก็บเรื่องเคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพเป็นความลับ อินกองพยักหน้ารับอย่างยินดี
“เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณนูนะมากครับ”
แม้จะเป็นข้อตกลงระหว่างเขากันคริสต์ แต่เขาก็ได้รับจากเคทลินมามาก โดยเฉพาะความเป็นกันเองของนาง
‘ดีนะที่เราเจอสองพี่น้องคู่นี้เข้า’
ถ้าไม่ได้พบกับสองพี่น้องไลแคนโทรป ตัวเขาในตอนนี้คงได้ตายไปแล้ว
‘จะว่าไปแล้ว’
อินกองมีข้อสงสัยบางอย่างผุดขึ้นมา เขาหันไปถามเคทลินที่ยังมองมาอย่างเอ็นดู
“เอ่อ… นูนะครับ ผมขอถามอะไรหน่อยสิครับ?”
“ว่ามาสิ?”
“เอ่อ… ถ้าลำบากใจนูนะไม่ต้องตอบก็ได้นะครับ”
“อะไรละ? ไหนลองว่ามาก่อน”
เป็นบางสิ่งที่อินกองข้องใจมาได้สักพัก คารัคที่ยังคงทานผลไม้อยู่หันมามองเขาอย่างสนใจ
อินกองหัวเราะแห้งแห้งออกมาก่อนถาม
“ทำไมคริสต์ฮยองถึงหาเรื่องทะเลาะกับเฟลิซีนูนะครับ? ทั้งคู่มีเรื่องอะไรคาใจกันหรือเปล่า? หรือว่าจะเคยกระทบกระทั่งกันในอดีต?”
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ได้ดูเลวร้ายมากนัก ถึงคริสต์จะประชดประชันตลอดเวลา แต่เขาก็ยังเรียกเฟลิซีว่านูนิม แม้เฟลิซีจะดูหยิ่ง แต่นั่นเป็นปกติของนางไม่เกี่ยวอะไรกับคริสต์
เฟลิซีเป็นหนึ่งในตัวเลือกพันธมิตรของเขา หากนางกับคริสต์ยังมีอคติต่อกัน ย่อมไม่ส่งผลดีกับอินกอง
“อืมม… ฉันไม่คุ้นว่ามีเหตุกระทบกระทั่งอะไรระหว่างคริสต์อปป้ากับเฟลิซีออนนี่นะ”
“ถ้าอย่างนั้น?”
“ฉันคิดว่าน่าจะเป็นปัญหาส่วนตัวของทั้งคู่มากกว่า ซึ่งฉันก็ไม่ได้รู้ลึกอะไรขนาดนั้น”
สีหน้าเคทลินดูแย่ลงชั่วครู่ก่อนนางจะยิ้มออกมา
“แต่ถึงยังงั้นภารกิจในครั้งนี้ก็ทำให้ฉันสนิทกับเฟลิซีออนนี่มากขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างคริสต์อปป้ากับเฟลิซีออนนี่ก็ดูดีขึ้นด้วย”
อินกองค่อนข้างเห็นด้วย หลังจากสงครามกับเผ่าสายฟ้าชาดจบลง ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดูไปในทางที่ดีขึ้น
เคทลินถอนหายใจพร้อมเหยียดนิ้วของนาง
“ฉันอยากสนิทกับพี่น้องทั้งหมดให้มากกว่านี้… แต่ท่านแม่กับคริสต์ฮยองไม่อยากให้ฉันไปวังจอมมารบ่อยๆ ครั้งสุดท้ายที่ฉันกลับมาก็นานแล้ว”
ไม่แปลกสำหรับราชินีเอเลน มูนไลท์ แต่นางบอกว่ากระทั่งคริสต์ก็มีส่วน
‘ทำไมกระทั่งคริสต์? หรือว่าจะรู้เรื่องที่เคทลินไม่ใช่ลูกจอมมาร?’
ด้วยกฎของเผ่าไลแคนโทรปทำให้คริสต์ถือว่าเป็นกษัตริย์ในอนาคต การที่เอเลนจะบอกเรื่องสำคัญให้เขารู้ก็ดูไม่แปลกสักเท่าไร
“ถ้างั้นฉันจะกลับกระโจมก่อนนะ เธอก็พักผ่อนเยอะๆด้วยละ”
เคทลินกล่าวก่อนจะลุกขึ้น อินกองรีบลุกขึ้นแล้วตอบนาง
“ครับผม นูนะก็พักผ่อนเยอะๆเช่นกันนะครับ ขอบคุณสำหรับหลายวันที่ผ่านมา”
ถึงจะบอกว่าหลายวัน แต่ก็ไม่ต่างจากชั่วขณะสำหรับทั้งคู่
“ฝันดีนะ”
คารัคและเซร่าต่างก็ลุกขึ้นกล่าวลา จากการฝึกของเจ้านายทั้งสอง ทำให้ทั้งคู่สนิทสนมกันมากขึ้น
หลังจากที่เคทลินและเซร่ากลับไป อินกองก็ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง คารัคได้แต่ส่ายหน้าพลางเก็บกวาดอุปกรณ์ทานอาหาร
“อย่างน้อยก็ไปนอนที่เตียง แล้วแกก็ควรจะล้างตัวก่อนด้วย”
“อืม ถึงจะบอกผ่านมาหลายวันก็เถอะ ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำอะไรไปบ้าง”
“เอาเถอะ นอนเยอะๆละกัน ข้าจะมาดูอาการแกเป็นระยะ”
คารัคยิ้มก่อนจะถือตะกร้าอาหารออกไป อินกองหลับตาเข้าห้วงนิทราโดยไม่สนใจคำบ่นของเจ้าออร์ค
&
คริสต์เดินทางกลับมาในตอนบ่าย สีหน้าของเขาแสดงให้เห็นว่าการเจรจาเป็นไปอย่างราบรื่น
และในตอนเย็นเฟลิซีก็กลับมาอย่างจำใจ แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ไม่สามารถล่าช้าไปได้มากกว่านี้
“พวกท่านทำผลงานได้ดีมาก”
แวนเดลกล่าวลาคณะเดินทางในเช้าวันรุ่งขึ้น
คริสต์คุยกับมันอย่างสมศักดิ์ศรีเจ้าชาย เฟลิซีกล่าวลาตามฉบับของนาง ส่วนเคทลินก็พูดพร้อมรอยยิ้มแบบทุกที
แวนเดลบอกลาอินกองเป็นคนสุดท้าย มันก้มหน้ามองเขาพร้อมกับยื่นนิ้วออกมา
“ข้าจะรอวันพบท่านอีกครั้ง องค์ชายเก้า”
“เช่นกันครับ พลเอกแวนเดล”
อินกองยื่นมือไปจับนิ้วของเจ้าโอเกอร์ ถึงเป็นเพียงเวลาไม่นาน แต่เหมือนแวนเดลจะประทับใจในตัวเขาไม่น้อย
‘ซักวันนึง’
แวนเดลคาดหวังในการเติบโตของอินกอง จะเกิดอะไรขึ้นในการพบกันครั้งหน้า? เขาอาจจะแข็งแกร่งพอชักจูงแวนเดลเข้าร่วมก็เป็นได้
อินกองผงกหน้าให้กับความคิดในหัว เฟลิซีมองมายังทั้งคู่ด้วยรอยยิ้ม
“มีอะไรรึเปล่าครับ?”
“เปล่า แค่เหมือนเด็กชายกับอสูรร้าย”
แล้วนางก็อัญเชิญอัศวไร้เงาเพื่อให้ทั้งหมดใช้เดินทาง
&
แผนการเดินทางกลับวังค่อนข้างเรียบง่าย
ทั้งหมดอาศัยอัศวไร้เงาบินไปยังบริเวณค่ายกลเคลื่อนมิติ แล้วให้เหล่าจอมเวทที่ควบคุมร่ายคาถาเพื่อส่งพวกเขาไปยังวังหลวง
ค่ายกลเหล่านี้ถูกสร้างกระจัดกระจายไปทั่วโลกมารเพื่อใช้เดินทางระยะไกลในเวลาอันสั้น
ซึ่งในบทกวีแห่งผู้กล้าก็ได้มีการกล่าวถึงไว้ว่า ค่ายกลเหล่านี้เป็นปัจจัยหลักที่ช่วยให้จอมมารปกครองโลกมารได้ทั่วถึง
แต่ค่ายกลที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างไปจากที่พัก พวกเขาจึงอาศัยอัศวไร้เงา แล้วปักเต็นท์พักแรมระหว่างทาง
‘คิดซะว่าใช้เวลาเหล่านี้เพื่อกระชับความสัมพันธ์’
แม้คริสต์กับเฟลิซีจะยังคงตะขิดตะขวงกันอยู่ แต่เคทลินสามารถผูกมิตรกับเฟลิซีได้อย่างราบรื่น
จนในวันที่สามของการเดินทาง ทั้งหมดก็มาถึงหอคอยที่สร้างทับคุ้มกันค่ายกลเคลื่อนย้าย
มันเป็นหอคอยที่ไม่สูงมาก เหมาะจะเรียกว่าป้อมขนาดใหญ่เสียมากกว่า และผู้ดูแลก็มีเพียงจอมเวทไม่กี่ตน
การที่เหล่าทายาทจอมมารปรากฏตัวพร้อมกันถึงสี่ตนทำให้เหล่าจอมเวทค่อนข้างประหม่า คริสต์จึงเข้าไปพูดคุยจัดการ ส่วนเฟลิซีก็เข้าไปควบคุมค่ายกลเสียเอง
‘ดูเหมือนคู่นี้จะตื่นเต้นแปลกๆ?’
แม้จะสังเกตจากคริสต์ได้ยาก แต่อาการของเฟลิซีนั้นชัดเจนมาก ถึงในตอนแรกนางยังไม่อยากจะกลับ ทว่าท่าทีของนางตอนนี้ต่างไปอย่างสิ้นเชิง
ด้วยการจัดการของทั้งสอง ทำให้พวกเขาใช้เวลาไม่ถึง 20 นาทีในการเตรียมการ ถึงอินกองจะเคยใช้ประตูมิติของดวอฟมาแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้ค่ายกลเคลื่อนมิติ
เขาหลับตาลงตั้งสติเตรียมใจ ต่างไปจากประตูมิติ เขารู้สึกถึงการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วในระหว่างค่ายกลทำงาน ราวกับนั่งรถไฟเหาะตีลังกา
เขาเดินทางมาถึงหอคอยที่มีขนาดใหญ่และโอ่อ่ามาก
สิ่งที่ต่างที่สุดระหว่างหอคอยทั้งสองคือจำนวนประชากรที่รายล้อม
“เฟลิซีออนนี่!”
“พวกเรารอต้อนรับการกลับมาของนูนิมครับ”
“ท่านเฟลิซียังคงสวยงามไม่เปลี่ยนแปลง”
หนุ่มสาววัยรุ่นราว 20 เข้าต้อนรับเฟลิซีราวกับสาวกผู้คลั่งไคล้รอต้อนรับดาราไอดอลสุดโปรด
“หึ พวกเธออีกแล้ว”
เฟลิซีพูดออกมาอย่างเหยียด แต่หูและแก้มของนางกลับแดงระเรื่อชัดเจน
‘พวกนั้นเป็นผู้ติดตามของนาง?’
มีสามถึงสี่ตนที่เป็นลูกของนางสนม ส่วนที่เหลือเป็นเพียงผู้ติดตามทั่วไป
“ขอต้อนรับองค์รัชทายาท เจ้าชายคริสต์พระพุทธเจ้าข้า”
คริสต์ถือเป็นรัชทายาทของเผ่าไลแคนโทรป เหมือนที่เฟลิซีเป็นของเอลฟ์รัตติกาล ไบคาลของเผ่ามังกร แต่รัชทายาทบัลลังค์จอมมารยังไม่มีใครได้รับแต่งตั้ง
“ยินดีต้อนรับครับ เคทลินนูนิม”
ถึงจะน้อยกว่าสาวกของเฟลิซี แต่ก็มีบางส่วนที่รอให้การต้อนรับคริสต์กับเคทลิน
‘กูนี่ ไม่มีใครเลยสินะ?’
แน่นอนว่ามีเพียงความว่างเปล่าที่รอต้อนรับการกลับมาของฉัตร ทุกชีวิตส่วนใหญ่ไม่แม้แต่มองมาที่เขาเสียด้วยซ้ำ
‘เข้าใจอยู่หรอกนะ แต่เสียเซลฟ์ชิบหาย’
อินกองพอรับรู้การปรนนิบัติที่ฉัตรได้รับอยู่บ้าง
‘ช่างมัน เดี๋ยวเราจะเปลี่ยนให้พวกนี้มาก้มกราบเอง’
อินกองสูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะจัดท่าทางตนเองให้สมเป็นเจ้าชาย
ที่นี่เป็นทั้งบ้าน สถานที่แห่งความวุ่นวาย และสนามรบ
ในที่สุดเขาก็กลับมายังวังจอมมาร
จบบทที่ 5 – เปิดตัว เริ่มบทที่ 6 – เผชิญหน้า
คำฝากจากผู้เขียน: เผื่อคนที่สงสัย… นี่คือปฏิกริยาจากผู้ที่เห็นแสงเวลาอินกองเพิ่มเลเวล
เคทลิน → คิดว่าเป็นพรของคนธรรพ์
คารัค → มันก็แค่เวทมนตร์
เฟลิซี → ไม่สนใจและไม่คิดจะรับรู้ จนอินกองคิดว่านางไม่เห็น
แวนเดล → เฉยๆ
มีเงื่อนไขบางอย่างสำหรับสิ่งที่อินกองสามารถใส่เข้าช่องเก็บของ ซึ่งจะอธิบายเพิ่มในภายหลัง