บทที่ 25 หมอเทวะจี้ (ต้น)

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 25 หมอเทวะจี้ (ต้น)

ในขณะที่ ซูอันยังคงครุ่นคิดอยู่เขาก็สังเกตเห็นว่า เฉิงโซวผิงกำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยท่าทางที่ดูเหมือนจะบอกให้เขา ‘จงอดทนกับผู้ที่มีปัญหาทางจิต’ ซึ่งมันทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก จากนั้นเขาจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าคงจะรู้เรื่องเกี่ยวกับเมืองจันทร์กระจ่างหลายอย่างเลยใช่ไหม?”

เฉิงโซวผิงยิ้มอย่างสดใสจนใบหน้าของเขาแทบจะยับยู่ยี่ “แหม่…นายน้อยท่านก็พูดเกินไป ข้าก็แค่รู้มากกว่าคนอื่นนิดหน่อยแค่นั้นเอง!”

“เจ้าเป็นผู้บ่มเพาะรึเปล่า?” ซูอันถามขึ้น

รอยยิ้มของ เฉิงโซวผิงหยุดลงชั่วขณะก่อนที่เขาจะก้มหน้าลงอย่างเศร้าสร้อยและตอบว่า “นายน้อยข้าไม่ใช่ผู้บ่มเพาะหรอก พรสวรรค์ของข้าด้อยเกินไปส่งผลให้ข้าไม่สามารถบ่มเพาะพลังใด ๆ ได้”

ซูอันที่ได้ฟังแบบนั้นก็พยักหน้ารับรู้ “อ้อ ถ้างั้นก็นับว่าคนรากหญ้าอย่างเจ้ายังพอเอาถ่านอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าจะบ่มเพาะไม่ได้แต่เจ้าก็พอมีสติปัญญาอยู่พอสมควรและมารยาทของเจ้าก็พอใช้ได้เอาเป็นว่านับจากนี้ไปจงติดตามข้าอย่างใกล้ชิด ข้ารับประกันว่าอนาคตของเจ้าจะต้องรุ่งโรจน์อย่างแน่นอน!”

———————————————————————————————

คุณยั่วยุเฉิงโซวผิงสำเร็จ

ได้รับค่าความโกรธ +33!

———————————————————————————————

ซูอันไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะถามว่า “ในเมืองจันทร์กระจ่าง มีหมอคนไหนที่เก่ง ๆ อาศัยอยู่รึเปล่า? เอาแบบที่มีชื่อเสียงโด่งดังสุด ๆ น่ะมีบ้างไหม?”

เนื่องจากนี่คือโลกแห่งการบ่มเพาะ ดังนั้นโลกนี้ก็น่าจะมีผู้วิเศษที่สามารถรักษาโรคได้ทุกโรคสิ จริงไหม? บางทีคนเหล่านั้นอาจจะสามารถแก้ไขปัญหานกเขาไม่ขันของตนได้สำเร็จก็ได้!

“หมอฝีมือดีที่มีชื่อเสียงโด่งดังงั้นเหรอ? เอ่อ…อ๋อใช่มีอยู่คนหนึ่งนะนายน้อย!” เฉิงโซวผิง ตอบกลับด้วยสีหน้ายินดีราวกับว่าเขาพึงพอใจที่ได้แก้ไขข้อสงสัยให้กับผู้อื่น “คนผู้นั้นถูกเรียกว่า หมอเทวะจี้ เขาเป็นหมอที่เก่งกาจที่สุดในเมื่อจันทร์กระจ่าง ไม่สิถ้าจะพูดให้ถูกก็คือภายในระยะสามพันลี้ไม่มีผู้ใดเก่งกาจมากไปกว่าหมอเทวะจี้อีกแล้ว ว่ากันว่าไม่มีโรคใดที่เขารักษาไม่ได้!”

“จี้? ใช่คนที่ชื่อจี้เสี่ยวหลานใช่ไหม?” ซูอันถาม

“จี้เสี่ยวหลาน?” เฉิงโซวผิงเกาศีรษะด้วยความสับสน “ไม่ใช่นะนายน้อย”

ไฟแห่งความสนใจของซูอันถูกจุดประกายขึ้น “ไม่ใช่งั้นเหรอ งั้นเจ้าพาข้าไปหาเขาก่อนก็แล้วกัน!”

เฉิงโซวผิงมองเขาด้วยความสับสน “นายน้อย แต่ว่าเมื่อครู่ท่านเพิ่งจะโดนคุณหนูสองเฆี่ยนมาข้าคิดว่าตอนนี้ท่านน่าจะ…”

ดวงตาของ ซูอันกลอกไปมาอย่างเบื่อหน่าย ในขณะนั้นเขาก็คิดหาเหตุผลอย่างรวดเร็ว “ที่ข้าต้องการจะให้เจ้าพาข้าไปหาหมอเทวะจี้ก็เพราะบาดแผลของข้านี่แหละ!”

“แต่ข้าเห็นว่าหมอของตระกูลเราก็เพิ่งทายาสมานแผลให้นายน้อยไปเมื่อครู่นี้ อันที่จริงท่านพักสักสองสามวันก็สามารถฟื้นตัวได้แล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องไปหาหมอเทวะจี้เลยนะนายน้อย” เฉิงโซวผิงสงสัย

เมื่อไม่ได้ดั่งใจสีหน้าของซูอันเปลี่ยนเป็นมืดหม่นพร้อมกับตะคอกออกไปว่า “โอย…นี่เจ้าเป็นนายน้อยหรือข้าเป็นนายน้อยกันแน่? ทำไมเจ้าถึงถามอะไรไร้สาระมากมาย? ข้าบอกให้เจ้าพาไปเจ้าก็พาไปซะ หยุดถามซอกแซกได้แล้ว!”

“ไอ้หยา! นายน้อยข้าขอโทษ ๆ อย่าโกรธข้าเลย ข้าจะไม่ถามอะไรอีกแล้วข้าจะพาท่านไปที่นั่นเดี๋ยวนี้!” เฉิงโซวผิง รีบก้มหัวขอโทษอยู่หลายครั้งด้วยสีหน้าสำนึกผิด

ซูอันที่ได้เห็นปฏิกิริยาแบบนั้นก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ขนาดเขาพูดจาฉุนเฉียวใส่ขนาดนี้แต่ไอ้เด็กคนนี้กลับไม่แสดงท่าทีว่าโกรธเคืองเขาเลย หรือแม้กระทั่งตอนที่เขาจงใจพูดจาดูถูก เด็กคนนี้กลับรู้สึกไม่พอใจแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

และเมื่อดูจากคะแนนที่เขาได้รับ บางทีหลายปีที่เด็กคนนี้ใช้เวลาในคฤหาสน์ตระกูลฉู่มันอาจทำให้เด็กคนนี้ถูกสถานการณ์มากมายหล่อหลอมจนทำให้กลายเป็นคนมีความอดทนที่น่าเหลือเชื่อแน่ ๆ

ซูอันเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วก่อนออกไปด้านนอกพร้อมกับเฉิงโซวผิง ตอนแรกเขากังวลเป็นอย่างมากว่าจะไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ แต่เมื่อถึงตอนเขาออกไปหน้าประตูเขากลับต้องประหลาดใจเพราะยามที่หน้าประตูทางเข้ากลับเหลือบมองเขาแค่เพียงชั่วพริบตาเดียวจากนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรเขาอีก

พลันเขาก็นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อน จึงเอ่ยถามกับ เฉิงโซวผิงว่า “เจ้ารู้รึเปล่าว่าตอนนี้คุณหนูใหญ่อยู่ที่ไหน?”

“ดูเหมือนว่าคุณหนูใหญ่จะออกไปข้างนอกนะนายน้อย” เฉิงโซวผิงบอกกับเขา

ซูอันถอนหายใจด้วยความโล่งอก ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขารู้สึกกดดันอย่างมากเมื่อต้องเผชิญคู่ภรรยาตัวเองกับสาวใช้ตัวแสบผู้นั้น “พูดถึงเรื่องนี้ เจ้ารู้จักเสวี่ยเอ๋อร์หรือเปล่า”

ดวงตาของ เฉิงโซวผิงเป็นประกาย “ใครบ้างที่จะไม่รู้จักพี่เสวี่ยเอ๋อร์? นางเป็นสาวใช้ส่วนตัวของคุณหนูใหญ่! นอกจากจะสวยแล้วยังเสียงหวานอีกด้วย มีผู้คนนับไม่ถ้วนในคฤหาสน์ต่างหมายปองอยากได้นางมาเป็นคู่รักของพวกเขา นายน้อย ถ้าท่านมีหนทางท่านพอจะช่วยจับคู่นางให้กับข้าได้ไหม?”

“เจ้าเด็กบ้า เจ้าพูดเรื่องไร้สาระอีกแล้ว!” ซูอัน ถึงกับอึ้ง ไอ้เด็กคนนี้ไปเอาความมั่นใจว่าจะจีบเสวี่ยเอ๋อร์สำเร็จมาจากไหนกัน!? “เลิกคิดเรื่องไร้สาระแบบนั้นไปซะ ตอนนี้เจ้าบอกข้อมูลของนางมาให้ข้ารู้ก็พอ ตัวอย่างเช่น นางเคยทำงานใน คฤหาสน์ตระกูลฉู่ ตั้งแต่อายุยังน้อยหรือเปล่าหรืออะไรประมาณนี้”

“อ่า เรื่องนั้นไม่ใช่นะนายน้อย” เด็กหนุ่มรู้สึกหดหู่เล็กน้อยเมื่อได้ยิน ซูอันปฏิเสธคำขอช่วยจับคู่ให้กับเขา พร้อมกับคิดไปว่านายน้อยน่าจะสนใจเสวี่ยเอ๋อร์เหมือนกับตนเช่นกัน

เขาได้ยินมาบ่อยเหมือนกันเรื่องที่สาวใช้ส่วนตัวของหญิงสาวตระกูลใหญ่มักจะลงเอยกับสามีของเจ้านายตัวเองและได้กลายเป็นภรรยาน้อย “เมื่อประมาณสามถึงสี่ปีที่แล้วพี่เสวี่ยเอ๋อร์ได้รับการช่วยเหลือและถูกพามาที่ คฤหาสน์ตระกูลฉู่จากนั้นด้วยความเฉลียวฉลาดและหัวอ่อนพูดอะไรนางก็เชื่อฟังไปซะทุกอย่าง นางจึงเป็นที่โปรดปรานของคุณหนูใหญ่อย่างรวดเร็ว จนท้ายที่สุดคุณหนูใหญ่ก็รับนางมาเป็นสาวใช้ส่วนตัว

“เชื่อฟัง ?” ซูอัน แสดงสีหน้าขัดแย้ง เขานึกภาพไม่ออกว่าไอ้คำว่าเชื่อฟังมันไปอยู่กับสาวใช้ปากร้ายแบบนั้นได้ยังไงและสิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ตกก็คือเรื่องที่สาวใช้ผู้นี้เพิ่งมาอยู่ได้แค่3-4ปีก่อน

“ว่าแต่เจ้ารู้เรื่องเกี่ยวกับตระกูลสาขาที่สองและสาขาที่สามรึเปล่า? ความสัมพันธ์ของพวกเขากับพ่อตาของข้าเป็นยังไงบ้าง?” ซูอันคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้าในวันนี้ในหอบรรพชน เขาสัมผัสได้ถึงความเกลียดชังที่อธิบายไม่ได้จาก ฉู่เทียนเซิง และฉู่เยว่

“ก็คงดีล่ะมั้ง? ถ้าให้ข้าเดา” เฉิงโซวผิงตอบด้วยสีหน้าที่ไม่แน่ใจ “นายท่านบ้านสองมีหน้าที่ในการจัดการกับการค้าขายอาวุธ ส่วนนายท่านสามจัดการกับการค้าเกลือ พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เป็นผู้ช่วยที่ใกล้ชิดกับนายท่านที่สุด”