บทที่ 26 หมอเทวะจี้ (ปลาย)

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 26 หมอเทวะจี้ (ปลาย)

“หะ? อาวุธ? เกลือ? ” ซูอันตกตะลึง นี่คือโลกแห่งการบ่มเพาะ!

ต่อให้คนเหล่านี้จะมีระดับสูงไม่พอที่จะเข้าถึงการค้าหินวิญญาณ อย่างน้อยพวกเขาควรจะเลี้ยงสัตว์วิเศษหรือขายอะไรบางอย่างที่มันดูน่าตื่นตากว่าของธรรมดาเช่นอาวุธและเกลือจริงไหม?

เฉิงโซวผิง อธิบายต่อราวกับว่าคาดเดาความคิดของซูอันได้ “นายน้อย ท่านไม่ควรดูแคลนสินค้าทั้งสองนี้ ท่านต้องรู้เอาไว้ว่ามีคนในโลกเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่สามารถบ่มเพาะได้ในขณะที่คนส่วนใหญ่นั้นเป็นเพียงแค่ปุถุชนธรรมดาอย่างเรา ซึ่งไม่สามารถสัมผัสถึงพลังชี่ในอากาศได้ ดังนั้นอาวุธและเกลือจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรไหน ๆ ก็ไม่อาจขาดได้”

ซูอันทำเสียงจิ๊จ๊ะด้วยความรำคาญ “เจ้าอย่าใช้คำเหมารวมว่า ‘เรา’ ข้าไม่ใช่ปุถุชนคนธรรมดาอย่างเจ้า ข้าคือหนึ่งในผู้ที่บ่มเพาะได้!”

เฉิงโซวผิง กะพริบตาถี่มองไปที่ ซูอันราวกับว่าเขากำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่ยังคงลังเลว่าจะพูดดีไหม เขารู้สึกว่านายน้อยผู้นี้เป็นจริงตามข่าวลือที่เขาได้ยินมาจริง ๆ คนผู้นี้ดีแต่โอ้อวดไปวัน ๆ แต่จริง ๆ แล้วภายในกลวงโบ๋!

อย่างไรก็ตามมันไม่สำคัญ ไม่ว่าเขาจะเป็นคนยังไงเขาก็ยังเป็นนายน้อยลูกเขยของนายใหญ่ตระกูลฉู่ ในตอนนี้เขากำลังลำบากหากข้าช่วยให้เขาชนะใจคุณหนูใหญ่ได้ เขาจะมองว่าข้าเป็นคนสำคัญสำหรับเขาทันทีและเมื่อถึงเวลานั้น บางทีเขาอาจจะช่วยให้ข้าได้เสวี่ยเอ๋อร์มาเป็นภรรยาก็ได้…

โอ้ว ช่างเป็นแผนที่เลิศเลอจริง ๆ!

ฮ่าฮ่าฮ่า!

“เจ้าเป็นบ้ารึไงอยู่ ๆ หัวเราะทำไม?” ซูอันตบหัว เด็กหนุ่มด้วยความหมั่นไส้ “นี่เดินมาสักพักแล้วสรุปบ้านของหมอเทวะจี้ อยู่ที่ไหนกันแน่มันอีกไกลไหม?”

เฉิงโซวผิง รีบจัดทรงผมของเขาที่เป็นเหมือนซาลาเปาสองลูกบนหัวของเขาอย่างรวดเร็วเพื่อให้เข้าที่หลังจากที่ถูกตบจากนั้นเขาบุ้ยปากและพูดว่า “นายน้อย ท่านอย่าตีหัวข้าสิ ท่านรู้ไหมว่าทุกเช้าข้าต้องเสียเวลาขนาดไหนเพื่อทำให้ทรงผมอันหล่อเหลาของข้านี้อยู่ทรง!”

ซูอันมองไปที่ทรงผมซาลาเปาคู่ด้วยสีหน้าดูแคลน ไอ้เด็กผู้นี้คิดว่าทรงผมบ้า ๆ แบบนี้มันคือความหล่อเหลา เขาถอนหายใจจากนั้นพูดกับ เฉิงโซวผิงไปว่า “พอ ๆ รีบนำทางข้าไปเร็ว ๆ เจ้าเริ่มทำให้สมองของข้าปวดมากขึ้นทุกทีแล้ว!”

“บ้านของท่านหมอเทวะจี้ อยู่ข้างหน้านั่นไงนายน้อย ท่านรออยู่ตรงนี้ก่อนก็แล้วกันเดี๋ยวข้าขอวิ่งไปดูก่อนได้ความยังไงข้าจะกลับมาบอกท่านอีกที!” เฉิงโซวผิงพยักหน้าจากนั้นเขารีบวิ่งนำไปที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนักและบ้านหลังนั้นก็มีผู้คนยืนออกันอยู่มากมายที่หน้าบ้าน

เพียงแค่ชั่วครู่เดียว เฉิงโซวผิง ก็วิ่งกลับมารายงานเขาด้วยอาการกระหืดกระหอบ “นายน้อย ข้าคิดว่าท่านไม่จำเป็นต้องไปพบหมอเทวะจี้แล้ว”

“ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นล่ะ? ” ซูอันรู้สึกสับสนกับคำพูดของ เฉิงโซวผิง

เฉิงโซวผิงอธิบายว่า “ตอนนี้หมอเทวะจี้ได้ตั้งกฎเอาไว้ว่าใครก็ตามที่ขอคำปรึกษากับเขาจะต้องจ่ายเงิน 100 ตำลึงเงินเป็นค่าปรึกษา!”

“100 ตำลึงเงินเพียงเพื่อปรึกษา? นี่มันไม่ต่างอะไรกับการปล้นกันชัด ๆ” จากสิ่งที่ซูอันได้เห็นและได้ยินในช่วงสองวันที่ผ่านมา เขาได้ตระหนักว่าสกุลเงินในโลกนี้มีความคล้ายคลึงกับของจีนโบราณ หนึ่งพันเหรียญทองแดงเทียบเท่ากับหนึ่งตำลึงเงิน และสิบตำลึงเงินก็เทียบเท่ากับตำลึงทอง

จากนั้นยังมีสกุลเงินอื่นที่มีค่ามากกว่าทองคำซึ่งคือหินพลังชี่ อย่างไรก็ตาม หินพลังชี่นั้นหาได้ยาก ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะประเมินมูลค่าของมัน

อย่างไรก็ตาม หน่วยวัดในโลกนี้แตกต่างจากจีนโบราณ มันคล้ายกับโลกสมัยใหม่แทน เงินหนึ่งตำลึงหนักเท่ากับ 60 กรัม ซึ่งถ้าเทียบกับมูลค่าในโลกปัจจุบันของราคาแร่เงิน หนึ่งตำลึงเงินมีมูลค่าราว 1800 หยวน

การจ่ายเงิน 100 ตำลึงมันก็จะเทียบเท่ากับ 180,000 หยวน ซึ่งถ้าราคานี้ทำได้แค่ปรึกษาหารือเท่านั้นมันก็ไร้สาระเกินไปหน่อยแล้ว!

ซูอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโอบไหล่ของ บ่าวคู่ใจ “ผิงผิงน้อย ตอนนี้ข้ามีเงินไม่พอ เจ้าช่วยข้าสักครั้งได้ไหม ข้าจะจ่ายคืนให้เจ้าพร้อมดอกเบี้ยเมื่อข้าได้เงินมา”

เฉิงโซวผิงกำถุงผ้าที่ห้อยอยู่ที่เอวของเขาแน่นอย่างเงียบ ๆ เพื่อความปลอดภัยจากนั้นเขาตอบกลับด้วยสีหน้าตกประหม่าว่า “นายน้อย ข้าเป็นแค่คนรับใช้ ถ้าขนาดท่านยังไม่มีเงินแล้วข้าจะมีได้ยังไง?”

ซูอันสังเกตเห็นท่าทีมีพิรุธของเฉิงโซวผิงได้อย่างชัดเจนแต่เขาไม่ได้ใส่ใจกับมัน แม้ว่าเฉิงโซวผิงจะมีเงินอยู่ในมือ แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้ที่จะมีเงิน 100 ตำลึงพลันชายหนุ่มก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “ถ้างั้นเจ้ารู้ไหมว่ามีที่ไหนในเมืองจันทร์กระจ่างที่ขายทาสบ้าง?”

“นายน้อย ท่านกำลังพูดถึงตลาดทาสเหรอ? ในเมืองมีที่สำหรับให้ขุนนางแลกเปลี่ยนทาสรับใช้ของพวกเขา ทาสรับใช้มักจะมีราคาตั้งแต่สองสามถึงสิบตำลึงเงิน…” เฉิงโซวผิงบอกกับผู้เป็นนาย ก่อนที่ครู่ต่อมาเขาพึ่งเริ่มรู้สึกตัว

เด็กหนุ่มหันไปมองซูอันด้วยความตกใจ เขาตัวแข็งทื่อได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ “นะนะนายน้อย…ท่านคงไม่คิดจะขายข้าใช่ไหม?”

ท่าทีของซูอันกลายเป็นเคร่งขรึมน่าเกรงขามขึ้นมาทันที “หึ…ข้าจะใจร้ายขนาดนั้นกับเจ้าได้ยังไง? เจ้าเห็นข้าเป็นคนแบบนั้นงั้นเหรอ?”

ชายหนุ่ม รู้สึกว่ามันไม่คุ้มสักเท่าไหร่ถ้า เฉิงโซวผิงมีค่าแค่เพียงสองสามเหรียญเงินเท่านั้น นอกจากนี้ เฉิงโซวผิงยังเป็นคนรับใช้ของ ตระกูลฉู่ดังนั้นหากเขาขายเด็กหนุ่มผู้นี้ออกไปจริง ๆ ตัวเขาอาจจะมีปัญหาได้

คิด ๆ แล้วเงินที่ได้มามันไม่คุ้มกับปัญหาที่เขาต้องแบกรับสักเท่าไหร่

แม้ว่าจะได้รับการยืนยันจากซูอันแล้ว เฉิงโซวผิงก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจ เขากล่าวอย่างรวดเร็วว่า “นายน้อย จริง ๆ แล้วมีวิธีอื่นในเรื่องนี้ นอกจากจ่าย 100 ตำลึงเงินแล้วท่านหมอเทวะจี้ยังได้ออกกฎอีกอย่างก็คือเขาจะให้คำปรึกษาแบบไม่ต้องเสียเงินสักตำลึงก็ได้แต่ต้องแลกกับการที่คนผู้นั้นจะต้องทำภารกิจที่เขามอบหมายให้สำเร็จ”

คำพูดนี้ทำให้ซูอันถอนหายใจด้วยความโล่งอกจากนั้นเขาตบไปที่ไหล่ของ เฉิงโซวผิงและพูดอย่างจริงใจ “เจ้าควรจะพูดก่อนหน้านี้! เจ้ารู้รึเปล่าว่าข้าเกือบจะขายเจ้าไปแล้ว!”

เฉิงโซวผิง “…”

อันที่จริง เฉิงโซวผิง ยังพูดไม่จบ จริง ๆ เขาอยากจะพูดต่อว่าภารกิจที่กำหนดโดยหมอเทวะจี้นั้นไม่ใช่ว่าใครก็สามารถทำได้ แต่ตอนนี้เนื่องจากเขากลัวจะถูกขายมากกว่า ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเงียบไปไม่พูดอะไรต่อ

จากนั้นทั้งสองก็เดินไปที่หน้าบ้านหมอเทวะจี้ แต่แล้วเมื่อมองไปที่ฝูงชนที่รวมตัวกันอยู่ด้านนอกที่พัก ซูอันที่มองแล้วถึงกับต้องบ่นออกมา “เฮ้อ…คนเยอะจริง ๆ”

เฉิงโซวผิงหัวเราะอย่างเขินอายขณะที่เขาตอบว่า “ข้าบอกนายน้อยก่อนหน้านี้ไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าที่บ้านของหมอเทวะจี้ จะมีคนมารวมตัวกันจำนวนมากเสมอ”

ภาพนี้ทำให้ซูอันคิดถึงพวกหมอเก่ง ๆ ในโรงพยาบาลชั้นนำในชีวิตก่อนหน้าของเขา ซึ่งต้องนัดหมายล่วงหน้าเป็นเดือนเพื่อที่จะได้ปรึกษากับพวกเขา

ไม่ว่าจะเป็นโลกไหน ๆ มันก็ไม่ต่างกันเลยสินะ?

เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะ! นี่ไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่ ไหนว่าการให้คำปรึกษามีค่าใช้จ่ายครั้งละ 100 ตำลึงเงินไม่ใช่เหรอไง? ค่าปรึกษาแพงขนาดนี้มันต้องมีคนไม่มากแบบนี้สิ หรือว่าคนในโลกนี้ส่วนใหญ่จะรวยกันหมด? แต่ดูจากการแต่งกายของพวกคนเหล่านี้ที่รวมตัวกันก็ดูค่อนข้างโทรมนี่นา? แค่เสื้อผ้ายังโทรมขนาดนี้จะมีปัญญาจ่ายค่าปรึกษาแพง ๆ ได้ยังไงกัน?

“แม่นางจี้ อยู่ที่ไหน? ทำไมแม่นางจี้ถึงยังไม่ออกมาอีก?” ใครบางคนในฝูงชนตะโกนขึ้น ทำให้เกิดความโกลาหลในทันที

“ใช่แล้ว เราอยากเจอแม่นางจี้!”

ซูอันตกตะลึงเมื่อได้ยินคำว่า ‘แม่นางจี้’ เขารีบหันไปหาเฉิงโซวผิงและถามทันที “หมอเทวะจี้ที่เจ้าพูดถึงเป็นผู้หญิงงั้นเหรอ?”