บทที่ 27 ภารกิจ (ต้น)
“ไม่ใช่แบบนั้นนายน้อย” เฉิงโซวผิง ตอบในขณะที่เขาเขย่งเท้าพยายามมองผ่านฝูงชนอย่างสงสัยใคร่รู้
“แม่นางจี้เป็นบุตรสาวของหมอเทวะจี้ นอกจากความสวยความงามแล้ว นางยังเป็นที่รู้จักว่าเป็นคนที่มีจิตใจโอบอ้อมอารีชอบช่วยเหลือผู้อื่น นางมักจะให้คำปรึกษาแก่คนยากจนโดยไม่คิดเงินแม้แต่ตำลึงเดียวซึ่งทำให้นางมีชื่อเสียงโด่งดังมากขึ้นไปอีก นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมถึงมีผู้คนมากมายมาที่นี่ เหตุผลหลัก ๆ ก็เพื่อที่จะได้เห็นความงดงามของนางเนี่ยแหละ”
ซูอันแกล้งอุทานออกมา “ข้าจะเชื่อเจ้าได้ไหมเนี่ย? แม้แต่กับคนอย่าง เสวี่ยเอ๋อร์เจ้ายังเห็นว่างดงามอย่างกับนางฟ้า ข้าล่ะไม่แน่ใจจริง ๆ ว่าจะเชื่อมาตรฐานการมองคนงามของเจ้าได้มากน้อยแค่ไหนจริง ๆ!”
ใบหน้าของเฉิงโชวผิงแดงขึ้นด้วยความขุ่นเคือง แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบโต้ ชายคนหนึ่งซึ่งอยู่ท่ามกลางฝูงชนได้ยินการสนทนาระหว่างทั้งคู่เช่นกัน เขาหันขวับมาหาซูอันทันทีและเอ่ยตะคอก
“เฮ้ยไอ้คนปากเหม็นเจ้าอย่ามาดูถูกแม่นางจี้แบบนี้นะ! ความงามของแม่นางจี้นับได้ว่าไม่ด้อยไปกว่าแม่นางฉู่แห่งจวนอ๋องจันทร์กระจ่างเลยด้วยซ้ำ! แต่น่าเสียดายที่แม่นางฉู่เพิ่งแต่งงานกับไอ้คนเฮงซวยไร้ประโยชน์คนหนึ่งไปดังนั้นข้าจึงไม่อาจฝันถึงนางได้อีก ตอนนี้จึงเหลือแต่แม่นางจี้เพียงคนเดียวที่ยังคงเป็นเทพธิดาให้ข้าฝันถึง!”
เมื่อได้ยินแบบนั้นสีหน้าของซูอันเปลี่ยนเป็นเดือดดาลทันที เขาจะปล่อยให้ไอ้หมอนี่ดูถูกเขาขนาดนี้ได้ยังไง?
ถ้ายอมศิโรราบง่าย ๆ เขาคงไม่ใช่เซียนคีย์บอร์ดตัวจริงแล้ว!
เมื่อคิดเช่นนี้ขาจึงแสร้งแสดงท่าทีว่ากำลังฟังคำพูดของชายหน้าแดงอย่างตั้งใจ จากนั้นเขาก็ตอบด้วยเสียงที่ดังอย่างไม่น่าเชื่อว่า “หะอะไรนะ!? แม่นางจี้เป็นเทพธิดาแห่งฝันเปียกของเจ้าเหรอ?”
ระกับการบ่มเพาะของซูอันในตอนนี้อยู่ในขั้น 3ของระดับ 2 ดังนั้นเสียงของเขาจึงดังกว่าคนทั่วไปมาก ไม่มีสักคนเดียวในฝูงชนที่จะไม่ได้ยินคำพูดของเขา ส่งผลให้ทุกคนที่อยู่โดยรอบต่างหันหน้ามามองทันที
เหตุการณ์พลิกผันนี้ทำให้ชายหน้าแดงตกใจ “นะนะนี่เจ้ากำลังพูดเรื่องบ้าอะไร? ข้าแค่บอกว่าฝัน…”
ก่อนที่เขาจะสามารถแก้ตัวได้ ซูอันก็ชิงพูดตัดบทเสียก่อน “อ้อ มิน่าล่ะข้าก็ว่าอยู่ว่าทำไมเมื่อครู่เจ้าถึงเอาแต่พึมพำกับตัวเองว่าอยากจะขโมยชุดนอนของแม่นางจี้กลับไปด้วย ให้ตายสิ เจ้านี่มันเป็นมนุษย์ที่น่ารังเกียจจริง ๆ ไปเลยไปไกล ๆ ข้าเลย ข้าไม่อยากอยู่ใกล้ ๆ คนวิปริตแบบเจ้า!”
ขณะที่พูด ซูอันก็ผลักชายหน้าแดงออกไปให้ห่างตัวเขา ราวกับว่าอยากให้ไปอยู่ไกล ๆ อย่างไรก็ตามเป้าหมายที่แท้จริงของเขานั้นคือการโยนชายคนนี้ไปอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่โกรธจัด
“ข้าไม่ได้พูดอย่างนั้น! ข้าไม่ได้…” เมื่อสัมผัสได้ถึงดวงตาที่เต็มไปด้วยรังสีอำหิตพุ่งตรงมาที่เขา ชายหน้าแดงตื่นตระหนก เขาพยายามพูดอธิบายตัวเองแต่ทุกอย่างแต่ก็ไร้ผล จากนั้นไม่นานก็มีคนตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงเดือดจัด “เอามันเลย!”
เวลาต่อมาชายคนนั้นก็ถูกฝูงชนรุมประชาทัณฑ์
———————————————————————————————
ท่านยั่วยุ หลูเหรินเจี้ย สำเร็จ
ได้รับค่าความโกรธ +666!
———————————————————————————————
ซูอัน ยิ้มอย่างชั่วร้ายพร้อมกับจัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนที่จะเดินไปที่ประตูบ้านของหมอเทวะจี้
ในขณะเดียวกันเฉิงโซวผิงก็ได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ อึ้งกับการกระทำของผู้เป็นนาย
‘ทำแบบนี้ก็ได้เหรอเนี่ย’? จากนั้นเขารีบวิ่งตามหลังซูอันไปอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นจู่ ๆ เสียงคำรามก็ดังขึ้นจากด้านในบ้าน “พวกแกทุกคนทำเสียงเอะอะโวยวายอะไรหน้าบ้านคนอื่นตอนกลางวันแสก ๆ! เจ้ากำลังรบกวนการนอนของชายชราผู้นี้!”
หลังจากนั้น ประตูบ้านที่ปิดสนิทก็ถูกเปิดออกอย่างรุนแรง
“หมอเทวะจี้ ออกมาแล้ว! หมอเทวะจี้ออกมาแล้ว!”
ฝูงชนที่กำลังรุมยำหลูเหรินเจี้ยเมื่อสักครู่นี้กระจายตัวอย่างรวดเร็วก่อนจะกรูกันมาล้อมรอบทางเข้าประตูอีกครั้ง โดยทิ้ง หลูเหรินเจี้ยผู้น่าสงสารนอนน้ำตารินอยู่บนพื้นพร้อมรอยสหบาทาทั่วตัว
ซูอันมองดูชายที่เพิ่งเดินออกจากที่พักอย่างใกล้ชิด เขาเป็นชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าซูบผอม หนวดเครารุงรังที่ยังไม่ได้รับการตัดแต่ง ถุงใต้ตาบวมคล้ำ และกลิ่นสุราเหม็นหึ่งที่ติดตัวเขาซึ่งสามารถได้กลิ่นแม้ในระยะไกลทำให้เขาดูเป็นคนที่น่าขยะแขยงมาก
อย่างไรก็ตามซูอันไม่ได้ดูถูกเขาเพราะเรื่องนั้น เขายังคงหูอื้อจากเสียงคำรามก่อนหน้านี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าระดับการบ่มเพาะของอีกฝ่ายนั้นสูงกว่าเขามาก
เป็นที่แน่ชัดว่าชายผู้นี้น่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ปิดบังความสามารถที่แท้จริงไว้ คล้ายกับเซียนกระบี่เมามาย เพียงแต่ใบหน้าของเขาจะไม่กลมขนาดนั้น
“หมอเทวะจี้ ลูกสาวของท่านอยู่ไหนงั้นเหรอ?” คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถามด้วยรอยยิ้มประจบสอพลอ
หมอเทวะจี้ชำเลืองมองแล้วถามกลับทันที “เจ้าเป็นใคร?”
“ท่านจำข้าไม่ได้อีกแล้วเหรอ? ข้าคือหวางฟู่กุ่ย! ข้ามาที่นี่ออกจะบ่อย!” ชายคนนั้นรีบแนะนำตัว
“ไม่ล่ะข้าจำเจ้าไม่ได้เลยสักนิด” หมอเทวะจี้ใช้นิ้วก้อยแยงหูของตัวเองก่อนที่จะสะบัดขี้หูออกใส่ฝูงชนด้วยท่าทีสบายใจเฉิบ “หมอเทวะผู้นี้จดจำแต่ใบหน้าของสาวงามเท่านั้น ทำไมข้าต้องเปลืองสมองจดจำพวกเจ้าที่เป็นแค่ถุงเงิน…เอ๊ยไม่ใช้ ข้าหมายถึงลูกค้า เจ้าต้องไม่เคยใช้จ่ายเงินให้ข้าแน่ ๆ ไม่งั้นข้าต้องจำเจ้าได้แน่นอน!”
หวางฟู่กุ่ย หัวเราะอย่างกระอักกระอ่วนก่อนจะตอบว่า “ข้าเองไม่เคยสนับสนุนธุรกิจของท่านมาก่อนจริง ๆ นั่นแหละ แต่แม่นางจี้ได้รักษาอาการป่วยของข้าไปแล้วหลายครั้ง…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบหมอเทวะจี้ก็ตะคอกออกไปอย่างโกรธจัด “สารเลวเอ๊ย! ในที่สุดข้าก็รู้แล้วว่าทำไมธุรกิจของข้าตกต่ำลง ที่แท้มันเป็นเพราะไอ้ลูกระยำของข้านี่เองที่มันรักษาให้พวกเจ้าทุกคน ไปพวกเอ็งรีบไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าให้หมด!”
“ลูกระยำ?” ซูอัน แสดงสีหน้าประหลาดใจอย่างรุนแรงเมื่อได้ยินคำพูดนี้ พ่อแบบไหนกันที่เอ่ยถึงลูกสาวของตัวเองอย่างหยาบคายเช่นนี้ พวกเขามีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือดจริงรึเปล่าเนี่ย?
“ท่านหมอเทวะพวกเรามาที่นี่เพื่อพบแม่นางจี้ ไม่ใช่ท่าน…” เมื่อเผชิญกับความโกรธของหมอเทวะจี้ น้ำเสียงของหวางฟู่กุ่ยก็เริ่มอ่อนลง
“นางไม่อยู่โว้ย! ข้าส่งนางออกไปนอกเมืองเพื่อหาวัตถุดิบปรุงยาและหลังจากนี้ข้าจะส่งนังลูกไม่รักดีนั่นออกไปให้บ่อยว่าเดิมเพื่อที่นางจะได้ไม่มีเวลามาบ่อนทำลายธุรกิจของข้า!” หมอเทวะจี้ตวาดกลับไป จากนั้นเขาเดินไปเอาเก้าอี้ออกมาตั้งหน้าบ้านแล้วนั่งลงอย่างเกียจคร้าน “เอาล่ะตอนนี้มาเข้าเรื่องของพวกเรากันต่อ พวกที่ต้องการปรึกษาข้าจงเตรียมเงิน 100 ตำลึงเงินเอาไว้ แต่ถ้าใครไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อปรึกษาข้าก็จงรีบ ๆ ไสหัวไปให้พ้นจากสายตาของข้าซะเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นก็อย่ามาหาว่าข้าโหดร้ายทีหลัง!”
เมื่อได้ยินว่าเทพธิดาของพวกเขาไม่อยู่ที่นี่ ฝูงชนที่รวมตัวกันอยู่หน้าบ้านหมอเทวะจี้ต่างก็พากันสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์แบบนี้มันน่าจะเคยเกิดขึ้นมาแล้ว
ท้ายที่สุดก็เหลือเพียงคนสองสามคนที่ต้องการคำปรึกษาอย่างจริงจังซึ่งยังคงยืนอยู่ตรงจุดเดิมและวิงวอน “หมอเทวะจี้ พวกเราไม่มีปัญญาพอจะจ่าย 100 ตำลึงเงินได้ ได้โปรดเมตตาพวกเราด้วย”