งานของสภานักเรียนนั้นไม่มีวันหมด มีแค่ว่าวันนี้มีงานมากหรือวันนี้มีงานน้อยเท่านั้น

โชคดีที่ช่วงนี้งานไม่เยอะมาก ยังไม่ทันจะห้าโมงเย็นงานก็เสร็จแล้ว

ฉันคว้ากระเป๋านักเรียนขึ้นมาสะพายและบอกลาคนอื่นๆ ที่ยังอยู่ในห้อง กำลังจะก้าวออกจากประตูก็บังเอิญจ๊ะเอ๋กับประธานที่เดินเข้ามาพอดี

“อ๊ะ… ขอโทษค่ะประธาน”

“อ่อ คุณโอโตเมะ ไม่ต้องขอโทษหรอก ฉันเองก็ผิดที่ไม่ได้มอง แล้วนี่จะกลับแล้วหรอ?”

“ค่ะ ประธานมีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ?”

“อืม ขอเวลาสักแปบได้ไหม? พอดีมีธุระจะคุยด้วยหน่อยน่ะ”

“เอ๊ะ?”

“ไม่สะดวกหรอ?”

“สะดวกค่ะ”

แล้วฉันก็ตามประธานไป เรื่องธุระที่ว่านั้นไม่ได้มีอะไรมากมาย เธอเพียงแค่ถามเรื่องข่าวลือที่ฉันถูกใส่ร้ายเท่านั้น ฉันเองก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองตกเป็นเป้าของข่าวลือก็เมื่อตอนเที่ยง เลยยังให้ข้อมูลอะไรกับประธานมากไม่ได้

“ขอโทษทีนะที่ถามอะไรแปลกๆ พอดีช่วงนี้ในโรงเรียนมีข่าวลือที่มุ่งเป้าทำร้ายนักเรียนแบบโจ่งแจ้งเพิ่มมากขึ้น บางคนดีหน่อยที่ข่าวลือเงียบหายไปเอง แต่บางคนก็โดนข่าวลือเล่นงานซะจนกระทบกับการใช้ชีวิต ฉันกำลังหาดูว่าทำไมช่วงนี้ถึงมีข่าวลือแบบนี้ออกมาเยอะน่ะ”

ประธานอธิบายที่มาที่ไปของการมาถามฉันเรื่องข่าวลือที่เกิดขึ้น ทำเอาฉันแปลกใจไม่น้อยที่ได้ยินเรื่องแบบนี้ ปกติฉันไม่ค่อยสนใจข่าวลือข่าวซุบซิบเท่าไรนัก คิดว่าหลังจากนี้คงต้องถามไถ่ข่าวคราวจากเซริไว้บ้าง

หลังจากวันนั้นไปอีกสองวัน ข่าวลือของฉันก็เงียบหายไป ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ มันหายไปเองหรอกนะ แต่เพราะครั้งนี้มีคนมาช่วยแก้ข่าวให้

ตอนที่ฉันไปถึงโรงเรียนในตอนเช้า คนแรกที่เข้ามาทักฉันคือเซริ จากนั้นเพื่อนคนอื่นๆ ที่สนิทกันก็เข้ามาทักทาย

“อามาย้าาา… รู้ไหมเอ่ยว่ามีคนแก้ข่าวลือให้เธอแล้วนะ คิกๆๆ”

ทันทีที่วางกระเป๋าแล้วได้ยินว่ามีคนมาแก้ข่าวให้ฉันประหลาดใจเล็กน้อย พอหันมองไปรอบๆ ก็เห็นบางคนในห้องกำลังมองมาแต่ทันทีที่สบตาพวกนั้นก็หลบตาไปหมด

“ก็ดีแล้วนินา เพราะยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องจริงอยู่แล้ว ต่อให้ไม่แก้เดี๋ยวมันก็หายไปเองแหละ”

“ฮึ เธอเนี่ยดูถูกข่าวลือจริงๆ นะ”

เซริทำหน้าบึ้งใส่ฉันเหมือนเด็กโดนขัดใจ ฉันเลยต้องเข้าไปโอ๋เธอเหมือนโอ๋เด็กๆ

“ครั้งนี้นิโนะมิยะคุงเป็นคนแก้ข่าวให้น่ะ”

“เอ๊ะ?!”

“ใช่ๆ เมื่อวานเขาบอกเรื่องที่คุณโอโตเมะย้ายกลับไปอยู่บ้านแล้ว ดังนั้นข่าวลือที่ว่ามีคนเข้าออกบ้านของคุณโอโตเมะ น่าจะเกิดจากความเข้าใจผิดว่าคุณโอโตเมะยังอยู่ที่บ้านหลังนั้นไม่ได้ย้ายกลับบ้านตัวเองไปแล้ว”

เพื่อนที่อยู่ข้างๆ เซริอธิบายให้ฉันที่นั่งทำหน้างงฟัง พอฟังจบก็เหมือนจะเข้าใจอะไรๆ ได้มากขึ้น

“เรื่องนี้พวกชมรมกรีฑาบอกมาน่ะ เห็นว่ามีผู้หญิงไปถามนิโนะมิยะคุง แล้วเขาก็อธิบายแบบนี้”

ฉันร้องอ่อออกมา ที่แท้เรื่องราวก็เป็นมาแบบนี้ งี้นี่เองเซริถึงดูระริกระรี้กระปรี้กระเปร่าเหมือนปลาได้น้ำ ที่แท้ก็มีเรื่องให้มโนได้แต่เช้านี่เอง

“นี่ อามายะ บอกมาซิว่ามันยังไง?”

มาแล้วๆ เซริเริ่มแล้ว

ไม่ใช่แค่เซริเท่านั้น คนอื่นๆ ก็มองมาด้วยสายตาคาดหวัง แวบนึงฉันว่าตัวเองเห็นแสงวิบๆ วับๆ ในดวงตาของพวกเธอ

“ไอ้ที่ว่ายังไงนี่คืออะไร?”

พอตอบแบบเลี่ยงๆ ไป เซริก็ทำเสียงฮึมในลำคอ มองมาด้วยสายตาคาดคั้น

“อะไรเล่า ก็ฉันไม่รู้จริงๆ นิ แล้วจะให้ฉันบอกอะไร”

“งั้นถามได้ใช่ไหมคะ?”

คุณอาซาคุระที่ดูเหมือนจะทนต่อความอยากรู้ของตนเองไม่ไหวถามฉัน เอ…อยากรู้อะไรกันขนาดนั้น

“อะ..อื้ม ได้ซิ ตอบได้ก็ตอบหมดแหละ”

พอได้คำตอบจากฉัน วงสนทนาก็บีบล้อมเข้ามาทำท่าเหมือนจะซุบซิบนินทาเรื่องไม่ดีไม่ควร

[‘นี่พวกเธอจะทำอะไรเนี่ยยยย…’]

คนแรกที่กระซิบออกมาคือคุณอาซาคุระ

“คุณโอโตเมะให้นิโนะมิยะคุงช่วยแก้ข่าวให้หรอคะ?”

[‘เอ๊ะ? สงสัยเรื่องนั้นหรอกหรอเนี่ย’]

ฉันคิดแต่ไม่ได้พูดออกไปเพราะท่าทางจริงจังของผู้ถาม

“เปล่า ฉันเพิ่งรู้เรื่องตอนพวกเธอบอกนี่แหละ”

“เอ๊ะ งั้นหรอคะ”

[‘ไอ้ท่าทางผิดหวังนั่นมันอะไรรรร…’]

“นี่อามายะ นิโนะมิยะคุงรู้ว่าเธอย้ายบ้านตั้งแต่เมื่อไร?”

คราวนี้เป็นเซริที่เป็นคนถาม ฉันลองนึกอยู่แปบนึง

“อาทิตย์ที่แล้ว น่าจะวันเกิดฉันน่ะ”

“เธอบอกเขาหรอ?”

“อื้อ เธอจำได้ไหมว่าวันนั้นเขาบอกว่ามีธุระจะคุยกับฉันตอนเย็น เราเลยกลับบ้านพร้อมกัน”

“เขาไปส่งเธอที่บ้าน?”

“เปล่า เราแยกกันที่สถานี เขาสงสัยว่าทำไมฉันกลับบ้านทางนี้ ฉันเลยบอกเขา”

“อ่ออ…จริงซินะ เขารู้นิว่าก่อนหน้านี้บ้านเธอต้องไปอีกทาง”

อื้มๆๆๆ เซริพยักหน้าหงึกหงักกับคนอื่นๆ เหมือนทุกคนจะรู้เรื่องอะไรกันสักอย่าง ปล่อยให้ฉันนั่งมองพวกเธอด้วยความสงสัย

ฉันปล่อยให้จินตนาการของเพื่อนๆ ล่องลอยกันไป ระหว่างนั้นก็หันไปมองทางนิโนะมิยะที่นั่งอยู่กับเพื่อนๆ ของเขาโดยมีสาวๆ มาห้อมล้อมเหมือนทุกที

ครั้งนี้ได้เขาช่วยแก้ความเข้าใจผิดให้ถือเป็นเรื่องดี เอาไว้ค่อยหาโอกาสขอบคุณทีหลังก็แล้วกัน

ไม่รู้เพราะจ้องนานไปเขาเลยรู้ตัวหรือว่าเพราะเหตุบังเอิญ นิโนะมิยะหันมาสบตากับฉัน เขาส่งยิ้มละมุนละไมไปถึงดวงตาให้ฉัน ไม่ใช่ยิ้มการค้าแบบที่เขามักจะยิ้มให้คนอื่น ฉันยิ้มทักทายกลับไปเล็กน้อยแล้วหันหน้ากลับมาแต่ก็ยังรู้สึกว่ามีสายตาทิ่มแทงมาจากข้างหลัง

ท้องฟ้านอกหน้าต่างเต็มไปด้วยก้อนเมฆหนาหนัก แม้ไม่มีฝนตกลงมาแต่ฟ้าก็ไม่ได้ปลอดโปร่ง

แม้เรื่องข่าวลือจะจบลงไปแล้วแต่ความรู้สึกถ่วงหนักในใจกลับไม่ได้ลดลงมากนัก

ตั้งแต่เปิดเรียนมา ไม่ซิ…ต้องบอกว่าตั้งแต่นิโนะมิยะเข้ามาในชีวิต ฉันเจอกับข่าวลือมาตลอด แต่หลังๆ มานี่เป็นข่าวลือที่มุ่งสร้างความเสียหายให้ฉันอย่างชัดเจน และดูเหมือนมันจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

ไม่ใช่แค่ข่าวลือแต่รวมไปถึงการกลั่นแกล้งหรือหาเรื่องก็เคยเกิดขึ้น

ไม่ได้คิดจะโทษนิโนะมิยะ เพราะเขาเองก็ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นเพราะฉันไปยุ่งเกี่ยวกับเขา ฉันรู้ตัวดี เพื่อนๆ ก็รู้ คนรอบตัวก็รู้

ถึงจะพยายามระวังตัวเตรียมตั้งรับไว้แล้ว แต่ทันทีที่ข่าวลือแพร่กระจายออกไปมันก็ยากที่จะแก้ไขชี้แจง ผู้คนส่วนมากมักจะรับรู้แค่สิ่งที่ตนอยากรับรู้และสนุกสนานไปกับเรื่องราวที่ไม่ใช่ของตนเองนั้นโดยไม่ได้คิดถึงบุคคลที่ตกเป็นเป้าของข่าวลือ

ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะค่อยๆ ลุกลาม ถ้าไม่ถูกหยุดไว้หรือเงียบหายไปเอง สุดท้ายข่าวลือนั้นก็จะกลายเป็นความจริง

ข่าวลือที่คนส่วนใหญ่คิดว่าจริงมันจะกลายเป็นความจริง นั่นแหละคือความน่ากลัวของข่าวลือ

หากเป็นก่อนหน้านี้แค่ตัดความสัมพันธ์กับนิโนะมิยะทุกอย่างคงจะจบหรือไม่เป้าหมายของข่าวลือคงจะเป็นคนอื่นไปแทน แต่มาถึงตอนนี้แล้วทำแบบนั้นไปก็ไม่ช่วยอะไร เผลอๆ จะพาลทำให้คนเกลียดหน้าฉันมากยิ่งขึ้นไปอีก

ยิ่งคิดก็ยิ่งอึดอัด หนักอึ้งในอก ความหนาหนักนั้นราวกับกำลังค่อยๆ สะสมเหมือนก้อนเมฆข้างนอกนั่น รอเวลากลั่นตัวเป็นฝนแล้วตกลงมา

แล้วมันก็ตกลงมาจริงๆ อยู่มาทั้งวันไม่ยอมตก มาตกอะไรเอาตอนนี้ก็ไม่รู้

ก่อนอื่นต้องขอเล่าย้อนกลับไปนิดนึง วันนี้ทั้งวันฟ้าครึ้มไปด้วยเมฆแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าฝนจะตก ฉันก็ใช้ชีวิตที่โรงเรียนไปอย่างปกติสุขยกเว้นตอนที่นิโนะมิยะเข้ามาคุยด้วยแล้วมีสายตาอิจฉาทิ่มแทงเข้ามานั่นรู้สึกคันตัวยิบๆ นอกนั้นแล้วทุกอย่างปกติดี อ่อ… มีอีกอย่างคืออากาศร้อนที่ร้อนกว่าปกติทั้งที่ไม่มีแดด

แต่ทั้งหมดนั่นไม่ใช่ปัญหา การต้องไปช่วยงานที่สภานักเรียนก็ไม่ใช่ปัญหา การกลับบ้านเย็นก็ไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือไอ้ฝนเจ้ากรรมดันทำท่าจะตกตอนที่ฉันกำลังเดินออกมาจากโรงเรียน

ระยะทางจากโรงเรียนไปสถานีรถไฟไม่นับว่าไกล เดินจ้ำไวๆ หน่อยแปบเดียวก็ถึง คิดดังนั้นแล้วก็ไม่รอช้าฉันก้าวขาออกไปทันที

แล้วก็อย่างที่บอกไปเมื่อตอนต้น มันตกลงมาจริงๆ ตกลงมาตอนที่ฉันเดินไปได้ครึ่งทาง ที่หลบฝนก็ไม่มี จะกลับไปโรงเรียนก็เปียกแถมเสียเวลา เดินหน้าต่อก็คงชุ่มฉ่ำไปถึงเนื้อใน เวลานั้นฉันคิดว่าไหนๆ ก็เปียกแล้ว เดินหน้ามันต่อนี่แหละ แล้วฉันก็วิ่งฝ่าสายฝนไปทั้งอย่างนั้น

จนในที่สุดก็มาถึงสถานีรถไฟในสภาพลูกหมาตกน้ำ ตรงที่ฉันยืนเปียกไปด้วยน้ำที่ไหลหยดมาจากตัวฉันกลายสภาพเป็นแอ่งน้ำย่อมๆ คนที่เดินผ่านไปผ่านมาพากันมองมาที่ฉัน บางคนถึงกับชี้นิ้วมาเลย

ฉันพยายามสะบัดน้ำออกจากตัวให้ได้มากที่สุดเพื่อที่จะได้ไม่เปียกมากตอนที่เดินเข้าไปในสถานี ในตอนนั้นเองที่ได้ยินผู้ชายวัยรุ่นสองคนที่เดินผ่านไปพูดขึ้นมาประมาณว่า “ชัดเจนแจ๋วแหววเลยเว้ย” แต่ฉันมัวแต่ห่วงเรื่องน้ำฝนที่หยดจากเสื้อผ้าเลยไม่ได้สนใจ จนรู้สึกได้ว่ามีใครมายืนอยู่ใกล้ๆ จึงได้เงยหน้ามอง

ชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งเข้มๆ ตัวสูงชนิดที่ต้องแหงนหน้ามองยืนอยู่ตรงหน้าฉัน เขาถือร่มสีดำในมือซ้าย ส่วนมือขวามีกระเป๋าใบใหญ่หิ้วอยู่ บนหลังนั่นน่าจะมีเป้อีกใบเพราะฉันเห็นสายสะพายที่คาดไหล่ทั้งสองข้างของเขา

อาคิยามะ เออิชิ กำลังยืนมองฉันด้วยสายตาที่บอกไม่ถูก จะว่าเอือมระอา ประหลาดใจ หรือสงสัยดีล่ะ

ฉันเองก็มองเขา สงสัยว่าทำไมหมอนี่ถึงมาอยู่ตรงนี้ แล้วสภาพที่เหมือนจะย้ายแหล่งกบดานนั่นมันอะไร จะไปค้างคืนที่ไหนหรือยังไง

“หมอนั่นเกะกะชะมัด”

อาคิยามะหันไปมองทางต้นเสียง ฉันเองก็ชะโงกออกไปมองแต่ถูกอาคิยามะผลักหัวกลับมา

“อะไรของนายเนี่ย…?”

กำลังจะบ่นที่ถูกทำเหมือนเด็กๆ อาคิยามะก็หันกลับมาจ้องฉันซะก่อน จ้องแบบจริงๆ จังๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำเอาขนลุกขึ้นมาเลย

“ม..มะ..มอง..มองอะไร?”

อาคิยามะมองหน้าฉันอีกครั้งแล้วก็ถอนหายใจออกมา

“นี่เธอตั้งใจหรือแค่ไม่รู้ตัวกันแน่?”

“อะไรของนาย พูดให้มัน…”

“ถือให้หน่อย”

“อ๊ะ!?”

จู่ๆ อาคิยามะยื่นร่มมาให้ เขาวางกระเป๋าและเป้ไว้ข้างๆ จากนั้นก็ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกมาแล้วยื่นส่งให้ฉัน

“เอ๊ะ? อะไร?”

“ใส่คลุมไว้ก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยไปเปลี่ยนชุดที่ห้องน้ำ”

“อะไร? ฉันไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวไปสะบัดๆ ในห้องน้ำก็พอ”

ฉันไม่รับเสื้อคลุมที่อาคิยามะยื่นมาให้และส่งร่มคืนเขาไป แต่เขากลับมองฉันขึ้นๆ ลงๆ อีกครั้ง

“นี่เธอตั้งใจหรอ?”

เจอคำถามที่ดูไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ไปฉันได้แต่ยืนงง อาคิยามะเลยพูดต่อ

“เธอลืมหรือเปล่าว่าตอนนี้เธอใส่แค่ชุดนักเรียน”

“ฉันก็ใส่ชุดนักเรียนน่ะซิ เพิ่งจะกลับจากโรงเรียนจะให้ฉันใส่ชุดอะไร”

“เธอรู้ใช่ไหมว่าเสื้อนักเรียนมันบาง เวลาเปียกน้ำแล้วมันจะเห็น… อุฟ”

ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าเขาพูดเรื่องอะไร แต่พออาคิยามะเริ่มอธิบายความเข้าใจก็…ปิ๊ง แล้วก็ตามมาด้วยความอายแบบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี

อาคิยามะแกะมือฉันที่ปิดปากออก เขาก้มมองฉันที่เผลอเข้ามายืนชิดกันเพราะจะปิดปากเขา สายตาเขาไม่ได้ดูลามกหรือแทะโลมอะไร แต่ฉันรู้สึกอายจนต้องก้มหน้าหลบสายตาเขา

ได้ยินเสียงถอนหายใจดังมาจากบนหัว จากนั้นก็เป็นเสื้อคลุมที่ห่มทับลงมาที่ไหล่ มันตัวใหญ่มากจนคลุมไปถึงกระโปรงของฉัน

เงยหน้ามองอาคิยามะก็เห็นเขากำลังติดซิปแล้วรูดขึ้นมาจนถึงคอฉัน แน่นอนว่าเสื้อเขาใหญ่มากจนตอนที่รูดซิปถึงกับไม่โดนตัวฉันเลย

“นายไม่เห็นอะไรใช่ไหม?”

อาคิยามะมองฉันก่อนจะหันหน้าหลบไป

“อืม”

โกหก!…ฉันตะโกนว่าเขาในใจ แต่ก็ไม่ได้โวยวายอะไร รู้ดีว่าครั้งนี้เขาเข้ามาช่วย ถ้าลองนึกย้อนกลับไปตอนก่อนที่เขาจะมา คนรอบๆ ตัวฉันก็ส่งสัญญาณให้เห็นแล้วว่าสภาพของฉัน ณ ตอนนั้นมันไม่ปกติ

ฉันเดินตามอาคิยามะไปห้องน้ำเงียบๆ มองดูหลังของเขาที่สะพายเป้ มือสองข้างหิ้วกระเป๋าที่ใบนึงเป็นกระเป๋าของฉัน ส่วนในมือฉันถือร่มของเขาอยู่

พอมาถึงห้องน้ำ เขาก็เปิดกระเป๋าแล้วค้นผ้าขนหนูกับเสื้อผ้าออกมาชุดนึง เป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้น ดูแล้วเหมือนจะเป็นชุดนอน เขายื่นให้ฉันบอกให้ฉันไปเปลี่ยน พอฉันอิดออดเขาก็ดุฉันกลับ

“อยากเป็นปอดบวม?”

สายตาเขามองต่ำลงมา ฉันรีบยกมือขึ้นมากอดหน้าอก มองเขาด้วยสายตาเคืองๆ แต่เขาไม่สะเทือนเลยแม้แต่น้อย แถมยังยัดเสื้อผ้ามาให้อีก

“ไปเปลี่ยน”

น้ำเสียงที่จริงจังบวกกับท่าทางนิ่งๆ นั่นทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองคงบิดพลิ้วไม่ได้แล้ว ฉันเลยคว้าเสื้อผ้าแล้วแลบลิ้นใส่เขาไปทีนึง เห็นอาคิยามะทำตาโตตกใจแล้วรู้สึกสะใจเหมือนได้เอาคืน จากนั้นจึงเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

ขอบคุณทุกท่านที่เข้าสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต