กลับมาที่ปัจจุบัน ฉันกับอาคิยามะยืนอยู่ในรถไฟ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเป็นช่วงเวลาที่คนเดินทางกลับบ้านหรือเพราะว่าฝนตกคนเลยกลับบ้านทางรถไฟมากขึ้นกันแน่ ตอนนี้ในรถไฟจึงมีคนเยอะจนฉันกับอาคิยามะต้องยืนชิดประตูกันแบบนี้

ทีแรกฉันตั้งใจว่าจะขอบคุณเขาแล้วรีบกลับบ้าน ส่วนชุดเดี๋ยววันหลังค่อยฝากคุณนาคาจิมะไปคืน แต่ความตั้งใจนั้นก็ต้องเป็นอันพับเก็บเข้าหีบไปเพราะอาคิยามะบอกว่าจะไปส่งฉันที่บ้าน

ส่วนเหตุผลที่เขายกมาอ้างเพื่อที่จะไปส่งฉันนั้นง่ายมาก แถมฉันก็ยังปฏิเสธไม่ได้ด้วย นั่นก็คือ

“เธออยากจะเปียกอีกรอบรึไง?”

เจ้าค่ะ ดิฉันขอรบกวนด้วย

รถไฟแล่นฝ่าสายฝนที่ตกไปตลอดทาง ฉันยืนพิงประตูรถมองออกไปนอกหน้าต่าง สังเกตเห็นเม็ดฝนเกาะที่หน้าต่างก่อนจะไหลเป็นทางไปตามแรงต้านและกฎความเฉื่อย

อาคิยามะยืนอยู่ข้างๆ ฉัน คอยกันคนที่เบียดเข้ามาใกล้ให้ฉันยืนสบายๆ ตัวเขาสูงก็จริงแต่ก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมายแต่กลับยืนอย่างมั่นคงได้แม้จะต้องเบียดกับผู้โดยสารอื่นในรถ

“นี่”

เสียงเรียกทุ้มเบาๆ ดังมาจากเหนือศีรษะ ฉันหันกลับมามองทางต้นเสียง

“อึดอัดหรอ? หรือไม่สบายตัว?”

อาคิยามะถามฉันด้วยน้ำเสียงทุ้มๆ นุ่มๆ ที่จริงฉันสังเกตตั้งแต่ครั้งแรกแล้วว่าน้ำเสียงของเขามักจะแข็งๆ แต่มันก็เป็นน้ำเสียงที่ทุ้มลึก ไม่คิดว่าพอพูดนิ่มๆ แบบนี้แล้วจะชวนน่าฟังมากขนาดนี้

พอเห็นฉันไม่ตอบ เขาก็ทำหน้าสงสัย มีเอียงคอหน่อยๆ ด้วย ตลกดี ฮิๆๆ

พอเห็นฉันขำเขาก็ยิ่งทำหน้างงเข้าไปใหญ่ ฉันมองแล้วก็ยิ่งขำเข้าไปอีก ขำจนไหล่สั่น

ผ่านไปสักพักฉันก็กลั้นขำได้สำเร็จ หลังสูดหายใจลึกๆ แล้วก็ตอบคำถามที่เขาถามมาในตอนแรก

“ฉันไม่ได้เป็นอะไรหรอก แต่ก็ไม่สบายตัวนิดหน่อยจริงๆ คือ..มันชื้นน่ะ”

อาคิยามะร้องอ่อพร้อมกับพยักหน้าว่าเข้าใจ ฉันเลยเริ่มชวนเขาคุย

“ว่าแต่ทำไมนายมาอยู่ที่สถานีนี้ล่ะ ไม่ใช่ว่านายอยู่เมือง I หรอกหรอ?”

“ป่าว บ้านฉันอยู่ที่นี่ ฉันเองก็อยู่เมืองนี้มาตั้งแต่เกิดแล้ว แค่เพิ่งย้ายไปเรียนที่เมือง I ตอนขึ้นปี 1 เฉยๆ”

“เหห…จริงดิ ไม่เห็นนายเคยบอกฉันเลย”

“ก็เธอไม่เคยถามนิ”

“เฮะๆๆ ก็จริง…”

เราคุยกันไปเรื่อยๆ เผลอแปบเดียวก็มาถึงหน้าบ้านฉันแล้ว ฝนยังคงโปรยปรายลงมาแต่ไม่หนักมากเหมือนก่อนหน้านี้ และก็เป็นโชคดีของฉันที่อาคิยามะพกร่มมา ฉันเลยไม่ต้องเปียกซ้ำ

“นายจะมาค้างที่บ้านคุณนาคาจิมะช่วงสุดสัปดาห์นี้ใช่ไหม?”

“อื้อ ฉันต้องช่วยรุ่นพี่ติวน่ะ ช่วงนี้คุณคาวากุจิกำลังวุ่นกับการเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยเลยมาติวให้รุ่นพี่ไม่ได้”

“งั้นชุดนี่เดี๋ยวฉันซักแล้วเอาไปคืนให้นะ บ้านของคุณนาคาจิมะอยู่ไม่ไกลจากนี่ใช่ไหมล่ะ?”

“ก็ไม่ไกลเท่าไรนะ เดินไปก็ได้แค่อาจจะนานหน่อย เอางี้ เธอฝากคุณคาวากุจิไปก็ได้ วันอาทิตย์เขาจะไปดูรุ่นพี่เล่นบาสที่ศูนย์กีฬาน่ะ เธอรู้จักไหม?”

“สนามกีฬากลางที่จัดงานดนตรีน่ะหรอ?”

“ไม่ใช่ ศูนย์กีฬาน่ะ ที่เปิดให้คนเข้าไปเล่นกีฬากับออกกำลังกาย เอาน่ะฝากคุณคาวากุจิไปนั่นแหละง่ายดี”

“โอเค เอางั้นก็ได้”

เราพูดคุยตกลงกันอยู่หน้าบ้านของฉัน โดยคนนึงอยู่ในรั้วบ้านใต้หลังคา อีกคนนึงยืนคลุมร่มอยู่ริมถนน

“นี่ ก่อนหน้านี้น่ะ นายโกหกฉันใช่ไหม?”

ได้ยินคำถามที่ฉันถามไปอาคิยามะก็ทำหน้างงๆ อีกรอบ ฉันล่ะชอบหน้างงของเขาจริงๆ แต่เรื่องนี้พูดไม่ได้ต้องอิ๊บไว้

“ก็ก่อนหน้านี้ฉันถามว่านายเห็นไหมแล้วนายบอกว่าไม่เห็นอ่ะ นายพูดจริงหรือเปล่า?”

“จริงซิ”

“แน่นะ”

“นะ..แน่”

ถึงคำตอบจากเขาจะบอกว่าอย่างนั้นแต่ฉันก็รู้ว่าเขาโกหก เพราะอะไรน่ะหรอ

ก็เขาหลบตาฉันตลอดยังไงล่ะ

พอเห็นว่าแกล้งอาคิยามะที่ปกติดูนิ่งๆ คูลๆ ให้มีท่าทางกระอักกระอ่วนทำตัวไม่ถูกได้แล้วก็รู้สึกอารมณ์ดี

“ตาบ้า คนลามก”

“อึกกก…อะไรเล่า ก็…”

ไม่รอให้เขาพูดจบฉันก็หัวเราะ หันหลังเดินเข้าบ้าน ก่อนจะเปิดประตูก็หันไปหาอาคิยามะที่ยังค้างอยู่ท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง

“วันนี้ขอบคุณนะ (คนลามก) ”

คำหลังเพียงแค่ขยับปากแต่ไม่ได้มีเสียงออกมา ไม่รู้ว่าเขาจะรู้ไหมว่าฉันพูดว่าอะไรเพราะหันไปเปิดประตูและเดินเข้าบ้านมาซะก่อน

พอปิดประตูบ้าน แม่ก็เดินออกมาต้อนรับฉันพร้อมผ้าขนหนูในมือยังกับรู้ว่าฉันจะตัวเปียกกลับบ้าน

“กลับมาแล้วค่ะ”

“บอกแล้วว่าให้เอาร่มไป…อ้าว แล้วทำไมอยู่ในชุดนั้นล่ะ”

ฉันก้มมองสภาพตัวเองที่ตอนนี้สวมเสื้อยืดสีขาวที่ยาวพอจะปิดสะโพกได้ ไหล่ก็ตกสุดๆ จนแขนเสื้อห้อยลงมาเกือบถึงศอก ส่วนกางเกงที่ยาวโผล่พ้นเสื้อออกมานั้นก็ใหญ่และยาวจนคลุมเข่าไปซะเรียบร้อย นี่ยังไม่นับเสื้อคลุมตัวใหญ่ที่เพิ่งถอดไปแล้วตอนนี้อยู่ในมือซ้ายของฉันอีกนะ

สรุปคือฉันเหมือนเด็กประถมที่เอาเสื้อผ้าของพ่อมาใส่ยังไงยังงั้น

“เอ่ออ… พอดีเจอเพื่อนค่ะ เขาเลยให้ยืมชุดมา”

“เพื่อนผู้ชาย?”

“ก็… ใช่ค่ะ”

“คนที่เคยมาที่บ้านคนนั้นหรอ?”

“เปล่าค่ะ เพื่อนคนนี้เขาเป็นรุ่นน้องที่รู้จักกันกับรุ่นพี่คาวากุจิค่ะ”

“เพื่อนต่างโรงเรียน?”

“ก็…ค่ะ”

จู่ๆ ก็ถูกแม่ซักทั้งที่เพิ่งกลับถึงบ้าน ฉันเลยรู้สึกประหม่านิดหน่อยไม่ได้รู้สึกไม่พอใจอะไร เข้าใจว่าแม่คงเป็นห่วง

“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกค่ะ หนูแค่วิ่งตากฝนไปถึงสถานีแล้วเจอเขาพอดี เขาเลยให้ยืมชุดมาน่ะค่ะ”

ฉันเดินเข้าไปจับมือแม่พร้อมกับอธิบาย แม่ยิ้มตอบฉันแล้วเราก็เดินเข้าบ้านกัน

“แม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ แต่ถ้าจะมีแฟนก็พามาให้แม่เห็นหน้าหน่อยก็ดี”

“อะไรแม่ ฟะ..ฟงแฟนอะไร หนูไม่ได้คบกับใครนะ”

เพราะแม่พูดแบบนั้น ฉันเลยเผลอเถียงกลับเสียงดัง แม่มองฉันแล้วก็หัวเราะชอบใจ ฮึยยย…อะไรเนี่ย

ฉันงอนแม่และบอกว่าจะไปอาบน้ำแล้วก็เดินหนีออกมาเลย ขืนอยู่ต่อคงไม่วายโดนแม่แซวต่อแน่ๆ

เดินขึ้นบันไดยังไม่ทันจะถึงห้องนอน เสียงแม่ก็ดังมาจากข้างล่าง

“ใช่คนเดียวกับที่ให้คุณหมีตัวใหญ่นั่นหรือเปล่า?”

“แม่…!!”

เสียงหัวเราะชอบใจดังมาจากข้างล่าง ฉันปิดประตูห้องแล้วเปิดเครื่องปรับอากาศหวังจะไล่ความร้อนให้หายไป

“บ้าจริง ฝนตกแท้ๆ ทำไมอากาศถึงร้อนขนาดนี้นะ”