ขอบคุณทุกท่านที่เข้าสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต
ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้วตั้งแต่ที่ผมได้ย้ายกลับมาอยู่บ้าน ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ออกมาอาศัยอยู่คนเดียวแบบจริงๆ จังๆ เป็นความตั้งใจที่จะเริ่มก้าวแรกของการใช้ชีวิตให้มีความสุขตามที่แม่เคยบอกไว้
แต่เอาจริงๆ มันก็ไม่ง่ายดายอย่างที่คิดเลย ผมประสบปัญหากับการปรับตารางการใช้ชีวิตประจำวันที่จะต้องดูแลตัวเองทั้งเรื่องงานบ้าน เรื่องอาหาร เรื่องการไปโรงเรียน ความเคยชินจากการย้ายไปอยู่บ้านปู่สามสี่เดือนมันสร้างความลำบากให้ผมไม่น้อย แต่ตอนนี้คิดว่าผ่านมันมาได้แล้ว
สำหรับปัญหาใหญ่ๆ ที่ต้องเจอตอนนี้ก็คือเรื่องของการทำอาหารและงานบ้าน เนื่องจากผมต้องไปเรียนตั้งแต่เช้ากว่าจะกลับมาก็เกือบมืด เวลาจะทำงานพวกนี้ก็แทบจะไม่เหลือแล้ว ทำอาหารยังพอทำเนา แต่ทำงานบ้านนี่เหนื่อยสุดๆ
ครั้นพอจะมาทำในวันเสาร์อาทิตย์ รุ่นพี่นาคาจิมะก็ไม่ปล่อยให้ผมมีเวลาว่างขนาดนั้น อาทิตย์ก่อนรุ่นพี่เพิ่งจะมาจองตัวให้ผมไปช่วยติวเข้ามหาวิทยาลัยให้ เพื่อที่จะได้ไม่ถูกคุณคาวากุจิทิ้งห่างออกไปจนเอื้อมมือคว้าไม่ได้ ผมจึงต้องช่วยรุ่นพี่อย่างสุดกำลัง ถึงจะขี้เกียจไปบ้างก็เถอะ
ดังนั้น สรุปแล้วผมก็ต้องพยายามทำงานทุกอย่างให้เสร็จลุล่วงด้วยตัวเองภายใต้เวลาที่เหลืออยู่ซึ่งก็อย่างที่บอก เหนื่อยมากกก…
นอกจากปัญหาเรื่องความเป็นอยู่ส่วนตัวที่ต้องเผชิญแล้ว ที่โรงเรียน ผมก็ต้องเผชิญกับปัญหาใหม่เพิ่มขึ้นมาอีก ส่วนสาเหตุของปัญหาก็ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเจ้าเพื่อนทั้งสามของผมนั่นเอง
ตั้งแต่ที่ได้กินข้าวกล่องฝีมือโอโตเมะไปครั้งนั้น เจ้าพวกนั้นก็โหยหาแต่ข้าวกล่องที่ตอนนี้เหลือแต่กล่องวางไว้ที่บ้านผม
โดยเฉพาะโมโมสุเกะที่ถึงขนาดให้ผมติดต่อขอซื้อข้าวกล่องจากโอโตเมะเพื่อเอามากินที่โรงเรียน
– “โธ่…ฉันขอซื้อนะเพื่อน ไม่ได้ขอให้แฟนนายทำให้ฟรีๆ อย่าขี้ตืดไปหน่อยซิ” –
– “ไม่เอา อีกอย่างเธอไม่ใช่แฟนฉัน ฉันจะไปขอเธอได้ยังไง?” –
ขี้ตืด…นั่นคือคำที่ช่วงนี้พวกเพื่อนๆ ใช้เรียกผม ปฏิเสธก็ไม่ได้เลยต้องปล่อยตามน้ำทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไป
ส่วนอีกปัญหาคือเรื่องที่ผมเคยรับปากพวกเขาไว้คือถ้าย้ายกลับไปอยู่คนเดียวแล้วจะไปเที่ยวหลังเลิกเรียนกับพวกเขา แน่นอนว่าเจ้าพวกนี้จำแม่นชนิดหาได้ยาก ถ้าจำบทเรียนได้ดีแบบนี้ปลายภาคก็คงไม่มีปัญหา
พอพูดเรื่องเรียนขึ้นมาพวกโคสุเกะก็หันหน้าหนี แม้แต่จินยังหันไปเงียบๆ มันน่าปล่อยให้ติดตัวแดงแล้วมาเรียนเสริมกันจริงๆ
พูดถึงเรื่องเรียนแล้วก็พาลให้นึกถึงเรื่องสอบ การสอบปลายภาคจะมาถึงในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า หลังสอบก็จะเป็นการประกาศผล แล้วเราก็จะเข้าสู่เทศกาลปิดเทอมฤดูร้อนกัน
พอถามพวกโคสุเกะว่าจะให้ช่วยติวไหม โมโมสุเกะก็หันขวับกลับมาพร้อมใบหน้าเอาจริงเอาจัง
– “ฉันจะไม่ยอมติวจนกว่าจะได้กินข้าวกล่องฝีมือโอโตเมะจัง” –
โคสุเกะกับจินถึงกลับต้องหันมามองโมโมสุเกะแล้วหันมาส่ายหน้ากับผม
“เออิชิเอ๋ย โมโมสุเกะถูกซอมบี้กินสมองไปแล้ว”
เฮ้ออ…อะไรของเจ้าพวกนี้กันนะ
แล้ววันเวลาก็ผ่านไปแบบไม่ค่อยได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเหมือนเดิม แต่ผมก็ไม่คิดจะทิ้งเพื่อนไว้ข้างหลังหรอกนะ
ผมจัดทำสรุปและเก็งเนื้อหาที่คิดว่าจะออกสอบให้เพื่อนๆ ทั้งสามคน แล้วก็ภาวนาว่าเจ้าพวกบ้านั่นจะอ่านมันบ้าง
ส่วนของผมเองนั้นผมอ่านมันจนหมดแล้ว แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะผมขยันมากอะไรแบบนั้นนะ แต่เพราะรุ่นพี่บอกว่าสุดสัปดาห์มาค้างด้วยกันจะได้ติวกันให้เต็มที่ ส่วนจุดประสงค์แอบแฝงคงเป็นการชวนไปเล่นบาสแล้วผมปฏิเสธไม่ได้นั่นเอง
เพราะต้องไปค้าง เลยให้มาค้างตั้งแต่วันศุกร์เลย ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นเหตุเป็นผลตรงไหน แต่รุ่นพี่นาคาจิมะก็ส่งข้อความมาแบบนั้น แถมยังบอกให้รีบๆ มาด้วย พยากรณ์อากาศบอกไว้ว่าอาจจะมีฝนถ้ามาช้าจะเปียกเอา
– “ฉันเป็นห่วง” –
เป็นห่วงควรจะให้อยู่บ้านซิครับ…
คิดไปพลางเก็บเสื้อผ้ากับหนังสือที่จะใช้ไปพลาง เรียบร้อยแล้วก็เช็กเครื่องใช้ไฟฟ้า ก่อนจะคว้าร่มแล้วออกจากบ้าน
ท้องฟ้าอึมครึมเต็มไปด้วยก้อนเมฆ ลมเย็นๆ พัดมาให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าทางต้นลมมีฝนตกอยู่
ผมออกเดินมุ่งหน้าสู่สถานีรถไฟ ใช้ทางลัดที่เคยผ่านตอนสำรวจเส้นทางสมัยก่อนลัดเลาะไปเรื่อยๆ ก่อนจะโผล่มาที่ถนนใกล้ๆ สถานี
แต่มันไม่ใช่แค่ผมที่โผล่มา เม็ดฝนที่ตั้งเค้ามาก็โผล่ออกมาจากหมู่เมฆสีดำบนฟ้าเช่นกัน
เปะ..แปะๆๆๆ …ซู่…ซู่วววว….
มาเร็ว แล้วก็มาแรง โชคดีที่ผมมีร่มมาด้วยเลยไม่มีเปียกเสื้อผ้าและกระเป๋า แต่รองเท้าก็ยังชื้นอยู่ดี
ผมตัดสินใจเดินต่อไปให้ถึงสถานีโดยพยายามเลี่ยงไม่เหยียบลงไปบนแอ่งน้ำเพราะไม่ต้องการให้รองเท้าเปียกมากยิ่งขึ้น ระหว่างที่เดินๆ ย่องๆ เข้าไปที่สถานี จู่ๆ ก็มีเด็กนักเรียนหญิงวิ่งแซงผมเข้าไป
ตอนแรกผมก็ไม่ได้สนใจอะไรเธอนักแต่พอเดินเข้าไปในสถานีแล้วก็อดสนใจไม่ได้
สภาพเธอคนนั้นไม่ต่างจากลูกหมาตกน้ำเท่าไรนัก เรียกว่าเปียกฉ่ำตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมยาวเปียกลู่ติดใบหน้าเลยมองหน้าไม่ชัด แต่ดันไปชัดตรงอื่น
ชุดนักเรียนเปียกน้ำลู่ราบติดลำตัวเจ้าของแบบแนบชิดเผยให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งอย่างชัดเจน
เสื้อสีขาวที่พอโดนน้ำฝนเข้าก็ดูคล้ายจะกลายเป็นเสื้อสีใสขึ้นมาทำให้มองเหมือนว่าเธอใส่แค่เสื้อซีทรูอยู่ด้านนอกและสามารถมองทะลุไปถึงด้านในได้แบบไม่ยากลำบาก
เธอคนนั้นยืนสะบัดน้ำจากเสื้อผ้าไปมาแล้วจึงสะบัดผมที่ปรกหน้าออก จังหวะนั้นผมได้ยินเสียงว้าวดังมาจากข้างๆ แน่นอนว่าเป็นของผู้ชายที่ยืนมองเธอคนนั้นอยู่
แล้วนั่นก็ทำให้ผมตัดสินใจได้ในทันที
ผมเดินเข้าไปหาเธอคนนั้นโดยยืนห่างจากเธอเล็กน้อยในมุมที่น่าจะปกปิดสายตาคนที่มองมาได้มากที่สุด และเหมือนเธอจะรู้สึกได้จึงเงยหน้าขึ้นมามองผม
แววตาใสซื่อบริสุทธิ์ไม่มีความเคลือบแคลงเหมือนสมัยก่อนเจือปนมองมาที่ผม สีหน้าบ่งบอกเป็นคำถามว่านายมาทำอะไรที่นี่
แล้วก็มีเสียงแววมาจากข้างหลัง ผมหันกลับไปมองแน่นอนว่ามาจากผู้ชายคนเดิมที่ยืนอยู่ข้างๆ ผมเมื่อครู่
โอโตเมะเองก็คงได้ยิน เธอพยายามชะโงกตัวออกมามอง ผมเลยดันหัวที่ชะโงกออกมาของเธอไว้ไม่ให้คนข้างหลังเห็นเธอชัดๆ
แต่ดูท่าแล้วเหมือนเธอจะไม่พอใจผมเท่าไหร่ เธอบ่นผมว่าทำอะไร แต่ผมก็ไม่ได้สนใจมันนัก ผมมองสำรวจตัวเธออีกครั้งนึง รู้ตัวว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมแต่ให้ตายเถอะ ยัยนี่ไม่รู้ตัวเลยหรือไงเนี่ย
ผมเงยหน้ากลับมาจ้องตาเธออีกครั้ง สายตาของเธอบ่งบอกชัดเจนว่าไม่เข้าใจการกระทำของผม เฮ้อออ…นี่เธอตั้งใจหรือแค่ไม่รู้ตัวกันแน่
เป็นคำถามลอยๆ ที่ไม่ได้หวังคำตอบอะไรเพราะรู้อยู่แล้วว่าอะไรมันเป็นอะไร ยิ่งเธอถามกลับมาด้วยท่าทางไม่เข้าใจผมยิ่งมั่นใจในคำตอบของตัวเอง
แม่นี่ไม่รู้ตัวชัวร์ๆ
ผมยื่นร่มให้โอโตเมะถือ จากนั้นก็วางกระเป๋ากับเป้ไว้ข้างๆ แล้วถอดเสื้อคลุมตัวนอกให้เธอ ให้เธอใส่คลุมไว้ทับไว้เพื่อเดินไปเปลี่ยนชุดที่ห้องน้ำ
แต่โอโตเมะปฏิเสธ เธอบอกว่าตัวเองไม่เป็นไร เดี๋ยวไปสะบัดๆ ที่ห้องน้ำก็เป็นอันใช้ได้ ผมก็ได้แต่สงสัยว่าแล้วระหว่างทางที่เดินไปจะทำยังไง หรือเธอตั้งใจโชว์ให้คนอื่นๆ ดู
ผมอดที่จะมองเธออีกครั้งไม่ได้ อืมม…ในมุมมองของผู้ชายก็นับว่าน่ามองเลยแหละ ปกติเคยเห็นแต่เวลาเธอใส่ชุดนักเรียนกับชุดเดรสครั้งนึง เทียบกับสภาพตอนนี้แล้วบอกได้คำเดียวว่าเธอซ่อนรูปได้เก่งมาก
ผมลองถามเธอดูอีกครั้งเพื่อเช็กดูว่าความเข้าใจเดิมของผมถูกต้องหรือไม่ แต่เธอกลับไม่เข้าใจคำถาม
อืมมม…สงสัยจะไม่รู้ตัวจริงๆ คงต้องอธิบายให้เป็นเรื่องเป็นราว ไม่งั้นไม่ได้ไปไหนกันพอดี
แล้วผมก็เริ่มต้นการอธิบายสภาพของตัวเธอในตอนนี้ให้เธอฟัง
“เธอลืมหรือเปล่าว่าตอนนี้เธอใส่แค่ชุดนักเรียน”
“ฉันก็ใส่ชุดนักเรียนน่ะซิ เพิ่งจะกลับจากโรงเรียนจะให้ฉันใส่ชุดอะไร”
“เธอรู้ใช่ไหมว่าเสื้อนักเรียนมันบาง เวลาเปียกน้ำแล้วมันจะเห็น… อุฟ”
หืมมม…?!
จู่ๆ โอโตเมะก็กระโจนเข้ามาเอามือปิดปากผมไม่ให้พูด กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยเข้ามากระทบจมูกจางๆ ความอ่อนนุ่มที่สัมผัสได้จากที่ปากและตรงหน้าท้องทำเอาใจแกว่งไปชั่วขณะ
ผมก้มมองเธอพร้อมกับแกะมือเธอออก ไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมโอโตเมะถึงได้กระโจนเข้ามาแบบนั้น แต่กลายเป็นว่าเธอหลบตาผมซะงั้น
…นี่เพิ่งจะรู้สึกอายหรอกเรอะ?
ผมถอนหายใจอีกครั้งแบบไม่ปิดบังโอโตเมะเลย แล้วก็เริ่มสวมเสื้อคลุมทับชุดนักเรียนให้เธอ
แม้ว่าร่างกายของเธอจะไม่ได้เล็กอย่างที่เคยหลอกสายตาในเวลาปกติ แต่เทียบกันแล้วเสื้อคลุมของผมก็ยังใหญ่กว่าตัวเธอมาก มันใหญ่จนคลุมลงมาเกือบจะปิดกระโปรงได้มิด และในตอนที่ผมกำลังรูดซิบปิดเสื้อคลุมอยู่ โอโตเมะก็ถามขึ้นมา
“นายไม่เห็นอะไรใช่ไหม?”
มือผมชะงักเล็กน้อย เงยหน้ามองเธอก่อนจะก้มหน้ารูดซิปต่อ
“อืม”
[‘ให้ตายซิ ถามอะไรของเธอกัน ชัดขนาดนั้นจะไม่เห็นได้ยังไง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชีวิตนี้จะลืมมันได้หรือเปล่า’]
ผมรูดซิปปิดเสื้อคลุมเรียบร้อยแล้วก็ให้เธอตามมาที่ห้องน้ำแน่นอนว่าเพื่อให้เธอเปลี่ยนชุดไม่ได้มีเจตนาอื่นแอบแฝง
พอถึงหน้าห้องน้ำผมก็เปิดกระเป๋าค้นเอาผ้าขนหนูกับชุดนอนของตัวเองออกมาให้เธอเปลี่ยน แต่เธอกลับบอกว่าแค่เสื้อคลุมก็พอแล้ว เราเลยเถียงกันอยู่พักนึง ผมเลยต้องดุเธอไป
สุดท้ายเธอก็ยอมรับชุดไปเปลี่ยนแต่ก็ยังไม่วายหันมาแลบลิ้นใส่ผม
[‘มีด้านขี้เล่นแบบนี้ด้วยหรอเนี่ย เพิ่งเคยเห็นเลยแฮะ’]
ผมยืนมองจนเธอเดินลับหายไปในห้องน้ำ จากนั้นก็ยืนรออยู่ข้างนอก ระหว่างรอก็ส่งข้อความบอกรุ่นพี่นาคาจิมะว่าจะไปช้าสักหน่อย พอดีมีธุระ เสร็จแล้วจะรีบไป
ไม่นานนักโอโตเมะก็ออกมา เธอยังคงสวมเสื้อคลุมของผมทับไว้ แต่ขากางเกงที่โผล่มาก็ทำให้เธอเป็นที่สะดุดตาแบบแปลกๆ
“ไปเถอะ เดี๋ยวฉันไปส่งที่บ้าน”
“อ๊ะ!? …ไม่ต้องหรอก แค่นี้ก็ช่วยฉันได้มากแล้ว”
“เธออยากจะเปียกอีกรอบรึไง”
“ก็…”
“ไปกันเถอะ ถ้าช้าต้องรอรถไฟเที่ยวถัดไปอีก เธอคงไม่อยากกลับดึกหรอกใช่ไหม?”
คราวนี้โอโตเมะไม่ได้เถียงกลับมา เราทั้งคู่เดินไปรอรถไฟไม่นานรถไฟก็มา
คนที่รอรถไฟไม่ได้มีแค่เรา ไม่รู้ว่าเพราะทุกคนหลบฝนมาที่นี่หรือเปล่าคนถึงได้เยอะขนาดนี้ ผมเอากระเป๋าตัวเองกับกระเป๋าโอโตเมะไปถือไว้ที่มือข้างนึง อีกมือนึงก็ดึงเธอเข้าไปด้านในขบวนรถ ให้เธอยืนชิดประตูด้านในส่วนผมยืนขวางไว้ด้านนอก
ไม่ได้อยากจะดูเป็นสุภาพบุรุษหลังจากมองเรือนร่างของเธอมาแล้วหรอกนะ แต่เพราะเห็นแล้วว่ามันเป็นยังไงเลยรู้สึกว่าไม่ควรปล่อยให้เธอไปยืนเบียดกับคนอื่น
รถไฟแล่นออกชานชาลา ฝ่าสายฝนที่ยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ผมยืนเบียดกับคนข้างหลังแล้วก็ต้องคอยระวังไม่ให้ตัวเองไปเบียดกับโอโตเมะเสียเอง ความรู้เหมือนตอนยืนบังบอลไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามมาแย่งยังไงยังงั้น
พอมองไปที่โอโตเมะ เห็นเธอยืนกอดอกกำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง ลำตัวข้างหนึ่งเอนพิงกับประตูรถ ดูไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่
[‘หรือว่าเธอจะอึดอัดที่เรามายืนใกล้ๆ จะว่าไปก็มันก็น่าอึดอัดจริงๆ สั่งเธอทำนั่นทำนี่แล้วยังบังคับให้กลับบ้านด้วยกันอีก เวยๆๆ … เว้ย นี่มันคุกคามทางเพศได้เลยนี่หว่า’]
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเห็นท่าทางซึมๆ ของโอโตเมะ หรือเป็นเพราะต่อมรับรู้ความดีความชั่วและเหตุผลของผมกลับมาทำงานได้ตามปกติ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเลยกลับมาทำงาน รู้ตัวอีกทีก็เอ่ยปากออกไปแล้ว
“นี่”
พอเรียกไปแล้วก็ตกใจน้ำเสียงที่ตนเองใช้ ดันเผลอไปใช้เสียงสองซะได้ น่าอายชะมัด
ผมพยายามเก็บอาการไม่แสดงความผิดปกติออกไปทางสีหน้าสุดความสามารถ แต่ดูเหมือนความพยายามของผมจะไม่มีความหมาย ใบหน้าของโอโตเมะที่หันกลับมามีเพียงความว่างเปล่าราวกับเธอไม่ได้สนใจหรือใส่ใจตัวผม
“อึดอัดหรอ? หรือไม่สบายตัว?”
ถ้าเธออึดอัด ผมยินดีจะขยับออกห่างเธอให้แม้จะต้องไปเบียดกับคนข้างหลังก็ตาม แต่ปรากฏว่าโอโตเมะก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ เธอแค่มองผมเฉยๆ
ตอนนี้ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเธอไม่พอใจผม ไม่สนใจ หรือเธออาจจะไม่เข้าใจที่ผมพูด แต่แล้วอยู่ดีๆ เธอก็ขำ
“ฮิๆๆ …”
คราวนี้ผมงงหนักกว่าเก่าอีก ทำไมอยู่ดีๆ ถึงขำล่ะน่ะ หรือว่าสมองเธอเริ่มเพี้ยนเพราะตากฝนมาเมื่อกี้
ยิงคิดก็ยิ่งงง ยิ่งงงโอโตเมะก็ยิ่งขำ ขำจนคนข้างๆ หันมามองกันแล้ว
กว่าจะหยุดหัวเราะได้ก็ตอนที่เธอเริ่มจะหายใจหอบ เธอสูดหายใจลึกๆ สองสามครั้ง แล้วตอบผมด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรหรอก แต่ก็ไม่สบายตัวนิดหน่อยจริงๆ คือ..มันชื้นน่ะ”
[‘ชื้น?’]
ผมมองเสื้อคลุมตัวใหญ่ที่โอโตเมะใส่อยู่แล้วก็เข้าใจได้ มันคงจะเปียกตอนที่คลุมตัวเธอตอนแรก ตอนนี้มันเลยชื้นแล้วใส่ไม่สบายตัว
ผมพยักหน้าเข้าใจและคิดว่าจะให้เธอถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกดีไหมแต่โอโตเมะชิงพูดขึ้นมาก่อน
“ว่าแต่ทำไมนายมาอยู่ที่สถานีนี้ล่ะ ไม่ใช่ว่านายอยู่เมือง I หรอกหรอ?”
พอบอกเธอว่าบ้านผมอยู่แถวนี้เธอก็ทำหน้าประหลาดใจ
” เห…จริงดิ ไม่เห็นนายเคยบอกฉันเลย”
“ก็เธอไม่เคยถามนิ”
“เฮะๆๆ ก็จริง งี้เวลาไปโรงเรียนนายทำยังไงล่ะ?”
“ก็นั่งรถไฟไปนี่แหละ”
“จริงอ่ะ? ทำไมฉันไม่เคยเจอนายเลยล่ะ?”
“เธอมาถึงโรงเรียนกี่โมง?”
“อืมมมม…ถ้าไม่มีเวรก็ประมาณเจ็ดโมงครึ่ง”
“ฉันไปตั้งแต่เจ็ดโมงแล้ว จะไปเจอกันตอนไหน”
“นั่นซินะ…แต่ก่อนหน้านี้ฉันก็เช่าบ้านอยู่แถวนี้นะ นายก็เคยไปนี่ จำได้ไหม”
“จำได้…”
ผมกับโอโตเมะเริ่มคุยกันเบาๆ เราคุยกันเรื่อยเปื่อยจนลงจากรถไฟแล้วก็เดินคลุมร่มกลับบ้านเธอด้วยกัน
“จริงซิ กล่องข้าวที่เธอให้มาคราวก่อนอยู่ที่บ้านฉันแน่ะ หนหน้าจะเอามาคืนให้นะ”
“อ๊ะ…ไม่ต้องคืนหรอก ฉันให้”
“แล้วฉันจะเอาไปทำอะไรตั้งสี่กล่อง”
“อ้าว ฉันแบ่งให้เพื่อนนายด้วยนิ หรือว่านายเก็บไว้กินเดียว”
“จะบ้ารึไง ฉันให้ทุกคนแล้วนั่นแหละ แต่เจ้าพวกนั้นบอกว่าข้าวกล่องเธออร่อยมาก อยากกินอีกเลยเอากล่องมาไว้ที่ฉันให้ฉันมาขอให้เธอทำให้”
“ฮ่าๆๆ อร่อยขนาดนั้นเลย”
“จริงๆ โมโมสุเกะถึงขั้นขอให้เธอทำขายให้เขาเลยนะ”
“ฮิๆๆ ถ้าอยากกินอีกก็มาบอกกันก็ได้ เดี๋ยวฉันทำให้”
“อย่าดีกว่า เกรงใจ แค่นี้เจ้าพวกนั้นก็คลั่งไคล้เธอเหลือเกินแล้ว ขืนทำไปให้อีกมันจะลำบากเอา”
“ไม่ลำบากหรอก แค่ใช้เวลานิดหน่อย นายอยากได้ด้วยไหม เดี๋ยวฉันทำให้ ที่จริงฉันตั้งใจจะเลี้ยงตอบแทนนายดีๆ อยู่แล้ว”
“ไม่ดีกว่า แค่นี้เพื่อนฉันก็เข้าใจว่าเธอเป็นแฟนฉันแล้ว ขืนเธอทำข้าวกล่องมาให้อีก คราวนี้ปฏิเสธยังไงเจ้าพวกนั้นไม่มีทางฟังแน่”
“ฟะ.ฟะๆ แฟน..หรอ?”
“อ่า ขอโทษแทนเพื่อนฉันด้วย แต่ฉันพยายามอธิบายอยู่ เธอไม่ต้องกังวลหรอก”
“อะ..อื้มมม”
แล้วความเงียบก็เข้าปกคลุมเราทั้งคู่ โชคดีที่มันดำเนินอยู่ไม่นานนักเราก็เดินทางถึงบ้านเธอพอดี
โอโตเมะเปิดประตูแล้ววิ่งหลบเข้าไปใต้ชายคาบ้าน ส่วนผมยืนอยู่นอกประตูรั้ว แล้วเธอก็เป็นฝ่ายถามผมขึ้นมาก่อน
“นายจะมาค้างที่บ้านคุณนาคาจิมะช่วงสุดสัปดาห์นี้ใช่ไหม?”
“อื้อ ฉันต้องช่วยรุ่นพี่ติวน่ะ ช่วงนี้คุณคาวากุจิกำลังวุ่นกับการเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยเลยมาติวให้รุ่นพี่ไม่ได้”
“งั้นชุดนี่เดี๋ยวฉันซักแล้วเอาไปคืนให้นะ บ้านของคุณนาคาจิมะอยู่ไม่ไกลจากนี่ใช่ไหมล่ะ”
“ก็ไม่ไกลเท่าไรนะ เดินไปก็ได้แค่อาจจะนานหน่อย เอางี้ เธอฝากคุณคาวากุจิไปก็ได้ วันอาทิตย์เขาจะไปดูรุ่นพี่เล่นบาสที่ศูนย์กีฬาน่ะ เธอรู้จักไหม?”
“สนามกีฬากลางที่จัดงานดนตรีน่ะหรอ?”
“ไม่ใช่ ศูนย์กีฬาน่ะ ที่เปิดให้คนเข้าไปเล่นกีฬากับออกกำลังกาย เอาน่ะฝากคุณคาวากุจิไปนั่นแหละง่ายดี”
“โอเค เอางั้นก็ได้”
โอโตเมะเงียบไปแต่ดูเหมือนเธอมีเรื่องอยากจะพูดอีก ผมเลยยืนรอเธออยู่ที่เดิม
“นี่ ก่อนหน้านี้น่ะ นายโกหกฉันใช่ไหม?”
ความคิดแรกที่ได้ยินคำถามของเธอคือ ถามเรื่องอะไรอ่ะ เมื่อกี้? …เราคุยกันมาตลอดทางแล้วเธอพูดถึงเรื่องไหน? ผมพยายามทบทวนความทรงจำอย่างเต็มที่แต่ก็นึกไม่ออกว่าไปพูดโกหกเธอตอนไหน
“เรื่องอะไร?”
คิดแล้วแต่คิดไม่ออก สุดท้ายผมเลยเลือกที่จะถามโอโตเมะให้มั่นใจดีกว่า
“ก็ก่อนหน้านี้ฉันถามว่านายเห็นไหมแล้วนายบอกว่าไม่เห็นอ่ะ นายพูดจริงหรือเปล่า?”
[‘อ๊ะ!!…เธอรู้ตัวแล้ว? เอาไงดี? ถ้ายอมรับตอนนี้ก็อาจจะตายได้เลยนะ แต่ถ้าไม่ยอมรับแล้วเธอรู้ว่าโกหกก็คงไม่รอดเหมือนกัน’]
ความคิดวิ่งวนในหัวด้วยความเร็วแสง พยายามหาทางออกให้ตัวเอง พอมองโอโตเมะก็เห็นเธอมองมาด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก เอาวะ เป็นไงเป็นกัน
“จริงซิ”
[‘อ่า โกหกไปซะแล้ว’]
ทั้งที่ไม่ใช่การโกหกครั้งแรกแต่กลับประหม่าจนใจเต้นแรง ผมหลบสายตาโอโตเมะไม่กล้าสบตาเธอตรงๆ กลัวว่าถ้ามองเข้าไปในดวงดาคู่สวยนั่นแล้วจะทำให้ความรู้สึกผิดบาปของตัวเองแสดงตนออกมาจนต้องสารภาพความจริงกับเธอ
“แน่นะ”
โอโตเมะถามย้ำอีกครั้งเหมือนไม่แน่ใจคำตอบของผม
“นะ..แน่”
หวังว่าเธอจะจับพิรุธไม่ได้นะ
“ตาบ้า คนลามก”
อึกกก…โดนจับได้นี่หว่า คาหนังคาเขาเลยด้วย
“…อะไรเล่า ก็…”
ผมยังไม่ทันได้แก้ตัวอะไร เสียงหัวเราะของโอโตเมะก็ดังขึ้นมาซะก่อน ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเธอถึงหัวเราะ เห็นเพียงเธอเดินกลับเข้าไปที่ประตูบ้าน
“วันนี้ขอบคุณนะ (คนลามก) ”
โอโตเมะหายไปหลังบานประตูทิ้งผมให้ยืนอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก
[‘คนลามกงั้นหรอ ยัยบ้านี่ตั้งใจใช่ไหมเนี่ย’]
คำสุดท้ายนั่นไม่มีเสียงออกมาแต่แสงไฟตรงหน้าประตูก็สว่างพอที่จะมองเห็นริมฝีปากชมพูนั่นขยับเป็นคำพูด
เอาเถอะ แค่เป็นคนลามกก็ยังดีกว่าโดนเกลียดขี้หน้าละนะ หึๆ ไว้ครั้งหน้าค่อยสร้างภาพลักษณ์ใหม่ละกัน
ผมหัวเราะเบาๆ ในขณะที่เดินกลับไปบ้านรุ่นพี่นาคาจิมะ ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมาเบาๆ อารมณ์ของผมดีอย่างน่าประหลาด หรือจริงๆ แล้วผมจะไม่ได้เกลียดฝนกันแน่นะ