บทที่ 23 เนื้อกระต่ายตุ๋นหัวไชเท้า

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 23 เนื้อกระต่ายตุ๋นหัวไชเท้า

บทที่ 23 เนื้อกระต่ายตุ๋นหัวไชเท้า

หลังจากทำความสะอาดเรียบร้อย กู้เสี่ยวหวานก็มองเนื้อกระต่ายที่ถูกหั่นเป็นขนาดเท่ากันอย่างพึงพอใจ หัวใจพลันรู้สึกเบิกบาน

กู้เสี่ยวหวานมองเด็กน้อยสามคน แววตาของพวกเขาเปล่งประกายแวววาว มองกู้เสี่ยวหวานด้วยความชื่นชม

“ท่านพี่ เนื้อที่ท่านหั่นออกมาทีละชิ้น ทีละชิ้น ช่างดูดีเสียจริง” กู้หนิงผิงกลืนน้ำลายอึกใหญ่พลางเอ่ยเชยชม

กู้เสี่ยวหวานเงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ นางตกตะลึง ฝีมีอของนางไม่ได้แย่ หั่นออกมาได้ไม่เลวทีเดียว หั่นเป็นแผ่นเป็นชิ้นสม่ำเสมออย่างเป็นระเบียบ

เมื่อจัดการกับกระต่ายเรียบร้อย กู้เสี่ยวหวานก็หยิบหัวไชเท้าป่าออกมาอีกครั้ง ตั้งใจว่าจะทำเนื้อกระต่ายตุ๋นหัวไชเท้า มีทั้งอาหารแห้ง ทั้งยังได้ซดน้ำแกง ฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเช่นนี้ การได้ดื่มน้ำแกงอุ่น ๆ สักชามจะทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น

กู้เสี่ยวหวานจัดการเด็ดใบออกจากหัวของมันออกจนเกลี้ยง ครั้นเห็นการกระทำของพี่สาว กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงก็พบว่ามันดูง่ายดาย จึงรู้สึกอยากช่วยขึ้นมา กู้เสี่ยวอี้เองก็ไม่ยอมแพ้ คุกเข่าลงหยิบหัวไชเท้ามาเด็ดใบทิ้ง

กู้เสี่ยวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สิ่งนี้เรียกว่าหัวไชเท้าป่า เดี๋ยวพวกเราจะใช้หัวไชเท้าป่ามาตุ๋นกับเนื้อกระต่าย”

“ยอดเยี่ยมไปเลย!”

“สุดยอดไปเลย ท่านพี่….”

“เนื้อกระต่าย กิน…”

สามคนพี่น้องส่งเสียงร้องตื่นเต้นพร้อมเพรียง ทุกคนหัวเราะเผยให้เห็นฟันซี่ขาวจนมองไม่เห็นดวงตา พวกเขาตั้งหน้าตั้งตารอมื้ออาหารแสนอร่อย

การช่วยมือกันคนละไม้คนละมือ ไม่นานก็แยกใบออกจากหัวไชเท้าป่าจนหมด กู้เสี่ยวหวานเห็นสภาพที่ไม่ค่อยจะดีนักของใบหัวไชเท้า หากนำมาดองและทำผักดองรสชาติของมันคงไม่เลวเลยทีเดียว

นางกล่าวกับกู้หนิงอันว่า “หนิงอัน หาที่ที่มีอากาศถ่ายเท ไม่โดนฝนและไม่เปียกชื้น เอาใบของหัวไชเท้าเหล่านี้ไปผึ่งแดดให้แห้ง”

กู้หนิงอันไม่ได้เอ่ยถามว่าทำไม เขารู้สึกว่าหลังจากพี่สาวหายจากอาการป่วย นางมักจะเต็มไปด้วยความคิดเห็น ไม่ว่าจะลงมือกระทำสิ่งใด เอ่ยเอื้อนคำใดมักทำให้คนเลื่อมใส ชื่นชมและยินดีด้วยใจจริง เด็กชายกวาดใบหัวไชเท้ามาไว้ในอ้อมแขนแล้วยกขึ้น มีบางส่วนที่ร่วงหล่นบนพื้น กู้หนิงผิงก็ตามเก็บมันขึ้นมา

กู้เสี่ยวหวานจ้องหัวไชเท้าหัวอ้วนกลม พวกมันดูน่ารักจริงเชียว นางนำหัวไชเท้าทั้งหมดใส่ลงในอ่างไม้ที่เติมน้ำจนเต็มแล้วล้างทีละหัว หัวไชเท้ามีค่อนข้างมาก น่าจะกินได้สี่ถึงห้ามื้อ

กู้เสี่ยวหวานแบ่งหัวไชเท้าออกเป็นสองส่วน หากทำเช่นนี้ตอนตุ๋นจะไม่ทำให้นิ่มและไม่ไร้รสชาติเกินไป

เมื่อจัดการกับวัตถุดิบเรียบร้อย กู้เสี่ยวหวานหยุดลงหน้าเตาไฟ หยิบอิฐสองก้อนซึ่งปิดเตาอยู่ออก ภายในเตายังมีประกายไฟที่ยังไม่มอด นางหยิบหญ้าแห้งใส่เข้าไป ประกายไฟเล็กปะทุขึ้นอีกครั้ง

นางใส่สิ่งที่เผาไหม้ง่ายอย่างฟืนไม้ขนาดเล็กใส่เข้าไป จากนั้นเปิดฝาหม้ออย่างรวดเร็ว ตั้งใจจะล้างจานก่อนเป็นอันดับแรก แต่พบว่าถูกขัดจนสะอาด จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย โพล่งถามออกมา “หนิงผิงขัดมันหรือ?”

กู้เสี่ยวอี้ที่ยืนอยู่หน้าเตา ครั้นได้ยินคำถามจากพี่สาวจึงพยักหน้าหงึกงัก “อื้อ พี่ชายล้าง ข้าเอาชามเข้าไปไว้ในห้องโถง”

กู้เสี่ยวหวานได้ยินดังขึ้น พลันรู้สึกอิ่มเอม อุ้มกู้เสี่ยวอี้ขึ้นเอ่ยชื่นชม “เสี่ยวอี้ว่านอนสอนง่ายจริง ๆ ตัวแค่นี้รู้จักช่วยท่านพี่ทำงานแล้ว”

“ท่านพี่ หอมแก้ม…” กู้เสี่ยวอี้เอ่ยออดอ้อน ยื่นหน้าเข้าไปหากู้เสี่ยวหวาน

กู้เสี่ยวหวานไม่ได้ครุ่นคิดกับเรื่องนี้ เด็กสาวบีบใบหน้าอย่างแผ่วเบาของกู้เสี่ยวอี้ ทำให้เด็กน้อยหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข

ห้องครัวขนาดเล็กเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะแห่งความสุข กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงที่เดินเข้ามาก็ถูกบรรยากาศอันแสนสุขปกคลุมจึงเริ่มพูดอย่างมีความสุข

กู้หนิงอันนั่งลงหน้าเตา กู้หนิงผิงกอดกู้เสี่ยวอี้และนั่งลงข้าง ๆ ประจวบเหมาะกับไฟที่ก่อติด เพียงครู่หนึ่งฟืนไฟลุกไหม้ เพียงอึดใจเดียวภายในห้องครัวขนาดเล็กพลันอุ่นขึ้นมาทันใด

กู้เสี่ยวหวานตักน้ำใส่ลงไปครึ่งหม้อ จัดการล้างหม้อให้สะอาดอีกรอบ จากนั้นเทน้ำใส่ลงไปและปิดฝาลง

ในบ้านไม่มีน้ำมัน จึงไม่อาจผัดเนื้อกระต่ายได้ สิ่งเดียวที่ทำได้คือต้มเนื้อกระต่าย หากยังโชคยังเข้าข้างให้พอมีเกลือหลงเหลืออยู่บ้าง รสชาติของมันคงจะไม่ได้แย่มาก

เพียงครู่เดียวน้ำในหม้อก็เดือด กู้เสี่ยวหวานใส่เนื้อหนึ่งในสามส่วนลงไปในหม้อ เงยหน้าก็เห็นสายตาสามคู่จับจ้องนางไม่วางตา กัดฟันใส่เนื้อกระต่ายลงไปเพิ่มห้าหกชิ้น ใช้ทัพพีไม้คนในหม้อสองสามครั้ง และจัดการปิดฝาหม้อทันที

เปลวไฟร้อนแรงไม่นานน้ำก็เดือด กู้เสี่ยวหวานยังไม่ได้เปิดฝา ยังคงปิดฝาหม้อเอาไว้เช่นนั้น ตุ๋นเนื้อต่ออีกสักพัก ใช้เวลาตุ๋นเกือบสิบกว่านาที นางจึงเปิดฝาออก กลิ่นเนื้อกระต่ายเข้มข้นแม้จะยังไม่ได้ใส่วัตถุดิบอื่น จากนั้นก็ใส่หัวไชเท้าลงไป

กู้เสี่ยวหวานฟังเสียงพูดคุยเคล้าเสียงหัวเราะของน้องทั้งสามคน ภายใต้เปลวไฟใบหน้าเด็กสามคนส่องกระทบขึ้นสีแดงระเรื่อ ดูดีมากจริง ๆ

“ว้าว หอมจังเลย!” กู้หนิงผิงสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ใบหน้าเต็มไปด้วยความพึงพอใจ และเอ่ยขึ้นอย่างมีความสุข

“เนื้อ เนื้อ หอมจังเลย” กู้เสี่ยวอี้เลียนแบบท่าทางของพี่ชาย สูดจมูกฟึดฟัด พูดด้วยน้ำเสียงออแอ

กู้หนิงอันสูดดมกลิ่นหอมเย้ายวน กระตุ้นให้ความอยากอาหารในท้องขึ้น หากแต่เขาไม่อยากแสดงท่าทางตื่นเต้นอันน่าอายเหมือนกับน้องชายและน้องสาวของตน และเขาก็รู้สึกพึงพอใจมาก สายตามองไปยังกู้เสี่ยวหวานที่เต็มไปด้วยความยกย่อง

กู้เสี่ยวหวานใส่เกลือลงไปในหม้อแล้วปิดฝาลงอีกครั้ง กระดูกกระต่ายมีขนาดค่อนเล็ก ต้มเนื้อให้เปื้อยเล็กน้อย น้อง ๆ จะได้เคี้ยวง่าย ๆ

ห้องครัวเล็กห้องนี้เต็มไปด้วยกลิ่นหอม แม้แต่กู้เสี่ยวหวานยังอดไม่ได้ที่จะอยากจะกินเนื้อคำโต ไม่ต้องกล่าวถึงเด็ก ๆ ที่ไม่กินอิ่มมาตลอดทั้งปี ทุกสายตาจดจ้องหม้ออย่างไม่ละสายตา และลอบกลืนน้ำลายเงียบ ๆ

หลังจากต้มจนกระทั่งได้ที่ หญิงสาวเดินไปยังห้องโถงใหญ่ หยิบชามใบใหญ่ออกมาหนึ่งใบ

กู้เสี่ยวหวานคิดต่อไปว่าจะต้องทำหม้อใบเล็ก และสามารถตั้งเตาต่อไปได้ เมื่อฤดูหนาวมาถึงอาหารก็จะเย็น หากมีหม้อใบเล็ก กินไปอุ่นไป อาหารจะร้อนอยู่ตลอด ช่างวิเศษเหลือเกิน

กู้เสี่ยวหวานเปิดฝาหม้ออย่างรวดเร็ว คราวนี้ได้กลิ่นหอมของเนื้อเย้ายวนทำให้ทุกคนอยากลิ้มลอง เพียงแค่กลิ่นก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย

“ท่านพี่ มันหอมเหลือเกิน!” คราวนี้กู้หนิงอันไม่สนใจตัวตนในฐานะพี่ชายของตนเองอีกต่อไปและโยนฐานะลูกชายคนโตของตระกูลกู้ทิ้ง อันที่จริงเขาเองก็อายุเพียงหกขวบเท่านั้น

กู้เสี่ยวหวานตักน้ำแกงด้วยทัพพีไม้ ใช้นิ้วโป้งจิ้มน้ำแกงขึ้นมาชิมรส ทันทีลิ้นสัมผัสรสชาติ กลิ่นหอมของเนื้อก็คลุ้งกระจายเต็มปาก

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ขนาดขาดแคลนวัตถุดิบยังน่ากินขนาดนี้ ถ้าได้วัตถุดิบมาเพิ่มจะน่ากินขนาดไหนนะ

ไหหม่า(海馬)