บทที่ 24 มื้ออาหารแสนสุข

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 24 มื้ออาหารแสนสุข

บทที่ 24 มื้ออาหารแสนสุข

กู้เสี่ยวหวานพยักหน้าพึงพอใจ “ว้าว กลิ่นหอมเหลือเกิน!”

ไม่เค็มไม่จืด รสชาติกำลังพอดี

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่ได้กินเนื้อมานาน ตอนมาถึงโลกใบนี้ ทุกวันได้กินเพียงแป้งกวนรสชาติจืดชืด กินจนแทบจะกลายเป็นก้อนแป้งอยู่แล้ว

แม้จะไม่มีเครื่องปรุงใด ๆ แต่กู้เสี่ยวหวานยังรู้สึกว่ารสชาติน้ำแกงหม้อนี้อร่อยอย่างไม่อาจหาสิ่งใดเปรียบ

กู้เสี่ยวหวานเอียงศีรษะเล็กน้อย สายตาพลันเหลือบเห็นแววตาอันแสนหิวโหยสามคู่จึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “พวกเจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อน เนื้อกระต่ายกำลังจะได้ที่แล้ว อีกเดี๋ยวก็ได้กินแล้ว!”

กู้หนิงอันหยุดเติมเชื้อไฟ ลุกขึ้นก้าวเท้าฉับไวหยุดลงหน้าหม้อ สายตาจับจ้องไปยังเนื้อกระต่ายตุ๋นหัวไชเท้ากลิ่นหอมฉุย อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย

กู้เสี่ยวหวานมองแล้วได้แต่พยักหน้าเงียบ ๆ น้องชายคนนี้แม้อายุจะเท่ากู้หนิงผิง เขาอาจจะรับรู้ได้ตั้งแต่ยังเด็กว่าตนเป็นลูกชายคนโตของครอบครัว จำเป็นต้องมีบุคลิกนิสัยน่านับถือ

กู้เสี่ยวหวานตักเนื้อกระต่ายตุ๋นหัวไชเท้าใส่ชามขนาดใหญ่อย่างคล่องแคล่ว ชามใหญ่เพียงนี้ยังใส่ลงไปไม่หมด นางคาดเดาดูแล้วคิดว่ายังได้อีกชามใหญ่จึงนำฝาหม้อมาปิดไว้ กินชามนี้หมดแล้วค่อยเติมใหม่ก็ไม่สาย

กู้เสี่ยวหวานปัดมือเบา ๆ พลางกล่าวว่า “ไปเถอะ พวกเราไปกินข้าวที่ห้องโถงกันเถอะ”

เด็กน้อยสามคนเดินตามติดกู้เสี่ยวหวานถึงห้องโถงใหญ่อย่างตื่นเต้นดีใจ กู้หนิงอันก้าวเข้ามาเป็นคนสุดท้าย ลงกลอนประตูอย่างตั้งใจ

กู้เสี่ยวหวานวางชามใบใหญ่ลงบนโต๊ะ กู้หนิงผิงวางถ้วยข้าวสี่ใบตะเกียบสี่คู่ไว้บนโต๊ะสี่ด้าน

กระทั่งทั้งสี่นั่งลงหน้าโต๊ะกินข้าว กู้เสี่ยวหวานเห็นสายตาของน้องสามคนจ้องเนื้อกระต่ายในชามใบใหญ่ไม่พูดไม่จา ทั้งยังได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของพวกเขาอย่างชัดเจน

กู้เสี่ยวหวานตักเนื้อกระตุ๋นไชเท้าให้แทนน้อง ๆ จนเต็มถ้วย เลือกแต่ส่วนเนื้อตักใส่ให้น้องทั้งสาม กู้หนิงอันด้านข้าง สุดท้ายมองเห็นว่าภายในถ้วยของกู้เสี่ยวหวานส่วนใหญ่คือหัวไชเท้า

กู้เสี่ยวหวานไม่ได้พลันสังเกตเห็นสีหน้าของกู้หนิงอัน ตักเสร็จแล้วจึงเอ่ยกับทุกคนว่า “เอาล่ะ เรามาเริ่มกินกันเถอะ”

กู้เสี่ยวอี้อายุยังน้อยเพียงสี่ขวบ ทำให้กู้เสี่ยวหวานกังวลว่านางจะแยกกระดูกไม่เป็น ตอนตักจึงเลือกส่วนที่มีกระดูกไม่มาก แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังกังวลว่าน้องสาวจะแยกกระดูกไม่เป็นและทำมันติดคอ จึงถามขึ้นอย่างกังวลใจ “เสี่ยวอี้ กินเองได้หรือไม่? กระต่ายมีกระดูกเยอะมาก”

“กินได้ ท่านพี่ไม่ต้องเป็นห่วงข้า” พูดจบ เด็กตัวน้อยก็หยิบตะเกียบขึ้นคีบเนื้อกระต่ายขึ้นมา ครั้นเป่าจนหายร้อนก็นำมันใส่ปาก เนื้อกระต่ายถูกหั่นเป็นชิ้นเล็ก เด็กน้อยเคี้ยวอยู่สองสามครั้งก็กลืนลงท้อง หลังจากได้ลิ้มลองรสชาติ เด็กหญิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้าง “ท่านพี่ อร่อยมาก เนื้ออร่อยมาก!”

กู้หนิงผิงหยิบตะเกียบคีบเนื้อใส่เข้าปากอย่างรวดเร็ว ร้อนจนแทบลวกปาก แต่ก็ไม่สามารถคายมันทิ้งได้ เขายิ้มออกมาจนมองไม่เห็นดวงตา “ท่านพี่ อร่อย… อร่อยมาก!”

กู้เสี่ยวหวานมองเด็กทั้งสองกินด้วยสายตาเปี่ยมรัก แต่พบว่ากู้หนิงอันยังนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น มองดูน้องสาวและน้องชายกินโดยไม่ขยับตะเกียบ “หนิงอัน เหตุใดเจ้าไม่กินเสียที? รออะไรอยู่? เดี๋ยวกับข้าวก็เย็นหมดหรอก”

กู้หนิงอันยิ้ม “ข้าจะรอให้ท่านพี่กินก่อน”

กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า “ได้ พวกเรากินกันเถอะ” จบประโยคก็ใช้ตะเกียบคีบหัวไชเท้าเข้าปาก กู้หนิงอันใช้ตะเกียบคีบเนื้อกระต่ายขึ้นมาหนึ่งชิ้น เขาไม่ได้ใส่เข้าปาก แต่กลับวางมันลงในถ้วยของกู้เสี่ยวหวาน

กู้เสี่ยวหวานชะงักงัน รีบคีบเนื้อกระต่ายคืนให้น้องชาย “เจ้ากินเถอะ ในถ้วยของพี่ยังมี”

“ท่านพี่ พี่กินสิ!” กู้หนิงอันยังคีบเนื้อให้พี่สาว และยังเพิ่มจำนวนให้นางอีก กู้เสี่ยวหวานอุ่นวาบไปทั้งหัวใจ นางพยักหน้าอยู่ในใจ อายุเพียงเท่านี้ก็รู้จักปกป้องครอบครัวแล้ว นี่สิถึงเป็นลักษณะของลูกชายคนโต

กู้เสี่ยวหวานไม่ได้คีบคืนเขาอีก คาดว่าตอนที่ตนเองตักแบ่งให้เด็ก ๆ จะถูกเขาพบเห็นเข้า

กู้หนิงผิงมองท่าทางของพี่ชาย จึงคีบเนื้อในถ้วยตนเองสองชิ้นวางลงในถ้วยของกู้เสี่ยวหวาน “ท่านพี่ ลำบากแย่เลย พี่กินเยอะ ๆ นะ”

กู้เสี่ยวอี้เองก็มองท่าทางของพี่ชายทั้งสอง จึงเลียนแบบท่าทางของเขา คีบเนื้อวางลงบนถ้วยของกู้เสี่ยวหวาน และเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ท่านพี่ กิน…”

กู้เสี่ยวหวานมองเนื้อในถ้วยที่ค่อย ๆ พูนขึ้นสูงของตนเอง น้องชายและน้องสาวทั้งสามคนฉลาดขนาดนี้ก็พลันรู้สึกโล่งใจ จึงเอ่ยอย่างปลอบใจ “พวกเจ้ากินกันให้อิ่มเถอะ ในหม้อยังมีมากมาย!”

กู้เสี่ยวหวานคีบหัวไชเท้าขึ้นใส่ปากหนึ่งชิ้น ผักป่าที่เต็มไปด้วยรสชาติของเนื้อ มันช่างอร่อยมากจริง ๆ กู้เสี่ยวหวานเห็นท่าทางลังเลของกู้หนิงอันจึงหรี่ตาลงแล้วยิ้มออกมา พลางเอ่ยเกลี้ยกล่อม “ลองชิมสักชิ้นสิ มันอร่อยมาก”

หัวไชเท้าป่าเวลานี้ แตกต่างจากหัวไชเท้าที่เคยชิมเมื่อชาติที่แล้ว มันมีกลิ่นหอมและมีรสชาติอร่อย

ครั้นเห็นพี่สาวกินเข้าไปแล้ว กู้หนิงอันก็คีบเข้าปากหนึ่งชิ้น เมื่อก่อนเขาไม่เคยกินผักมาก่อน แต่ตอนนี้หลังจากได้กินเข้าไป ดวงตาพลันเบิกกว้าง และพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น “ว้าว ท่านพี่ มันอร่อยมาก”

กู้เสี่ยวอี้เลิกคิ้ว เอ่ยขึ้นอย่างมีความสุข “อร่อยใช่ไหมล่ะ” แค่เห็นท่าทางก็รู้ว่านางจะต้องคิดว่ามันอร่อย

หลังจากกินหมดหนึ่งคำ กู้หนิงอันก็วางตะเกียบลง และพูดอย่างตื่นเต้น “ท่านพี่ หัวไชเท้านี่มันอร่อยจริง ๆ ผู้คนในหมู่บ้านอู๋ซีไม่รู้ว่าผักชนิดนี้สามารถกินได้ ข้ารู้ว่าที่ไหนมีหัวไชเท้าขึ้นเยอะ กินเสร็จแล้วพวกเราไปเก็บมันให้หมด!”

ไม่ง่ายเลยที่พบเจอสิ่งของที่สามารถกินได้ กู้หนิงอันจึงรู้สึกตื่นเต้นมาก

กู้หนิงผิงผู้ซึ่งได้ลิ้มลองรสชาติของหัวไชเท้าป่าแล้วยกมือขึ้นสูง เอ่ยขึ้นอย่างดีใจ “ท่านพี่ ข้าไปด้วย!”

กู้เสี่ยวอี้โพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ท่านพี่ ข้าไปด้วย”

ครั้นได้ยินว่าข้างนอกมีอาหารที่สามารถกินได้ มันก็ทำให้น้อง ๆ ของนางตื่นเต้นยกใหญ่

กู้เสี่ยวหวานได้ยินเสียงตื่นเต้นของน้องชายและน้องสาว คิดว่าในฤดูหนาวนี้ หากเก็บหัวไชเท้าไว้ครึ่งเดือนคงจะไม่มีปัญหาอะไร หลังจากเก็บมันกลับมาไว้ที่บ้าน ฤดูหนาวนี้บ้านของเราก็จะมีอาหารกิน แต่ก็เกรงว่าหากเรื่องที่หัวไชเท้านี้สามารถกินได้รู้ถึงหูของเหล่าชาวบ้านอู๋ซีแล้วทำให้พวกเขาจะออกหาหัวไชเท้าป่าขึ้นมา เช่นนั้นก็จะเป็นเรื่องยาก เพราะอย่างนี้จึงต้องเก็บหัวไชเท้าที่พบเห็นกลับมาทั้งหมด

ขอเพียงเก็บตุนหัวไชเท้าป่าไว้ บ้านของเราก็จะมีเสบียงอาหาร แม้ว่าทั้งบ้านจะไม่มีข้าวหรือบะหมี่ ก็ไม่ต้องหวาดกลัว

บ้านมีธัญพืช หัวใจไร้ซึ่งความกังวล

นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่ต้องทนหิวอีกแล้ว

…………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ต่อไปคิดว่าเสี่ยวหวานคงจะหาทางเก็บหัวไชเท้าป่ามาตากแห้งมาดองไว้แน่นอนเลยค่ะ ไม่อย่างนั้นก็หาทางปลูกมันเองเสียเลย

ไหหม่า(海馬)