บทที่ 15 จับขโมย

“ซวงหวน” ฉินปู้เข่อวิ่งไปอยู่ข้างกายซวงหวนและโอบไหล่ของนางไว้ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่ไหนมีร้านรับจำนำบ้าง”

“ร้านรับจำนำรึ? เต็มถนนใหญ่เลยเพคะ” ซวงหวนเบี่ยงตัวออกจากอ้อมกอดของนาง ถอยไปหนึ่งก้าวด้วยท่าทางนอบน้อม

เจ้านายจะไม่มีระยะห่างกับนางนั้นไม่เป็นไร แต่นางในฐานะสาวใช้ต้องจดจำฐานะของตนเองไว้เสมอ โดยเฉพาะนางที่ถูกส่งมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อื่น ยิ่งต้องรักษาระยะห่างกับชายาอยู่ตลอด

ฉินปู้เข่อหยิบสร้อยไข่มุกมาสองเส้นออกมา และคล้องแขนซวงหวน “ไปกัน พาข้าไปร้านรับจำนำ”

ไม่นานนักฉินปู้เข่อก็หยิบเงินสองถุงออกมาจากร้านรับจำนำด้วยท่าทีมีความสุข

“เสียงของเงินนี่ช่างไพเราะเสียจริง ๆ” นางยกถุงเงินขึ้นมาเขย่าข้างหู ก่อนจะพูดอย่างใจกว้าง “ซวงหวนอยากกินอะไรไหม พี่สาวคนนี้เลี้ยงเอง”

พี่สาว?! พระชายาเป็นคุณหนูจากจวนมหาเสนาบดีจริง ๆ เหรอ ไหนเขาบอกกันว่าคุณหนูรองฉินเป็นหญิงงามและปราดเปรื่องอันดับหนึ่งแห่งต้าเซี่ยไงเล่า นางต้องรู้กฎระเบียบระหว่างนายและบ่าวเป็นอย่างดีสิ แต่พระชายากลับเรียกขานสรรพนามตามสบายมากขึ้นเรื่อย ๆ

ซวงหวนมองนางอย่างพิจารณาก่อนจะหัวเราะอย่างแห้ง ๆ “ขอบพระทัยพระชายาเพคะ เพลานี้สายมากแล้ว เรากลับตำหนักก่อนดีกว่าเพคะ”

“ก็จริง พรุ่งนี้เราค่อยออกมาเดินเล่นให้ไวขึ้นแล้วกัน” พระอาทิตย์ตก ร้านค้าตามถนนก็หายไปเกือบหมดเหลืออยู่ไม่กี่ร้าน ไม่ค่อยคึกคักเท่าไรนัก

ฉินปู้เข่อคล้องถุงเงินไว้กับเอว ก่อนจะตบถุงเงินนั้นเบา ๆ

ปึ้ง!

มีคนหนึ่งที่มองเห็นหน้าไม่ชัดเดินมาชนนางจากด้านหน้า

“ขอโทษด้วย ๆ” คนผู้นั้นโค้งตัวลงเล็กน้อยราวกับขอโทษที่ตัวเองเดินชนนาง

ฉินปู้เข่อโบกมือ “ไม่เป็นไร”

คนผู้นั้นจากไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นฉินปู้เข่อก็จับเอวดั่งติดเป็นนิสัย ก่อนจะร้องออกมา “เงินของข้าล่ะ”

เมื่อหันไปก็เห็นชายชุดเทาคนหนึ่งวิ่งหายไปในฝูงชน

ฉินปู้เข่อวิ่งไล่ตามไปทันใด ทั้งยังแอบก่นด่าในใจ ไอ้คนชั่วช้าบังอาจมาขโมยเงินของข้า เดี๋ยวจะข้าจะแสดงให้เจ้าดูว่าแชมป์ระดับประเทศเป็นอย่างไร!

ชาติก่อนฉินปู้เข่อได้แชมป์สานต่า[1]หญิงกลุ่มน้ำหนัก 70 กิโลกรัมถึง 3 ปีซ้อน เดินบนถนนปกติและเผยกล้ามแขนทีผู้ชายก็ต้องถอยกรูดและหลบทางให้นาง

หากแต่วันนี้นางกลับโดนโจรชิงถุงเงินไปได้ ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป สานต่าที่นางฝึกมา 20 กว่าปีเมื่อชาติก่อนก็คงสูญเปล่า

แม้ว่ากระโปรงของยุคโบราณจะรุงรังน่ารำคาญ อีกทั้งร่างกายของเจ้าของร่างยังอ่อนแอเกินไป แต่ฉินปู้เข่อก็ยังคงกัดฟันและไล่ตามจนขโมยวิ่งหายเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง

“แม่หนู เจ้าวิ่งเก่งดีนี่” หัวขโมยหายใจหอบ

“แน่นอนอยู่แล้ว ข้าต้องเอาเงินข้าคืน” ฉินปู้เข่อยกมือเท้ากำแพง หอบหายใจอย่างเหนื่อยหอบ เมื่อก่อนเจ้าของร่างนี้ทำอะไรบ้าง แค่วิ่งไม่เท่าไรยังหอบขนาดนี้ กลับไปแล้วต้องหมั่นฝึกฝน

หลังจากหอบเสร็จแล้วเจ้าหัวขโมยก็หัวเราะลั่น “เจ้าเป็นผู้หญิงแล้วยังไม่มีผู้ช่วย จะเอาเงินคืนจากข้าได้อย่างไร ข้าดูแล้วหน้าตาเจ้าก็สวยดี มาอยู่กับข้าสักคืนสิ นอกจากข้าจะคืนเงินให้ทั้งหมดแล้วข้าจะให้เงินเจ้าเพิ่มด้วยเป็นไง”

“ถุย” ฉินปู้เข่อที่หายเหนื่อยแล้วถกกระโปรงขึ้นมัดไว้กับขาอ่อน ก่อนจะหมุนคอและสะบัดข้อมือ

นางกลัวว่าร่างกายของเจ้าของร่างจะบอบบางเกินไป ประเดี๋ยวจะทำให้ตัวเองเจ็บเอา

“ฮ่าๆ ๆ แม่นี่นิสัยแก่นเซี้ยวไม่น้อย ข้าชอบยิ่งกว่าเดิมเสียอีก” หัวขโมยย่างกรายเข้ามาหาฉินปู้เข่ออย่างหื่นกระหาย

ฉินปู้เข่อกำหมัด และกระโจนเข้าไปต่อยหน้าหัวขโมย ก่อนที่หมัดขวาจะซัดเข้าคางเขาอย่างแรง นางพลิกตัวทุ่มหัวขโมยตีลังกาและหมอบอยู่ที่พื้น

“ฟู่ว” ฉินปู่เข่อนั่งลงบนหลังของหัวขโมยและเป่าลมใส่กำปั้น เจ้าของร่างนี่บอบบางเหลือเกิน ต่อยคนอื่นไปสองหมัดก็เล่นเอาเจ็บมือชะมัด

“เจ้าบังอาจขโมยเงินของข้ารึ ขโมยอีกสิวะ ยังคิดจะมานอนกับข้าอีก ไม่สำเหนียกเลยว่าตัวเองเป็นใครก็ไม่รู้”

ฉินปู้เข่อแย่งถุงเงินในมือหัวขโมยมาและลุกขึ้นยืน นางเท้าเอวพร้อมปากที่พ่นคำด่าออกมาไม่หยุด เท้าก็มิได้ปล่อยว่างเตะไปที่ตัวหัวขโมยโดยไม่พลาดเลยสักครั้ง

“ท่าน…” หน้าปากซอยนั้น ซวงหวนหายใจหอบเหนื่อยมองภาพตรงหน้าพร้อมมุมปากที่กระตุกอย่างไม่เป็นธรรมชาติเท่าไหร่

ฉินปู้เข่อรีบลุกขึ้นและปล่อยชายกระโปรงลง นางลองชั่งเงินในมือดูก่อนจะกล่าวอย่างดีใจ “ดูสิ ข้าได้เงินคืนแล้ว”

“ข้าน้อยตกใจหมด ตำลึงเงินหายไปก็ปล่อยให้หายไปเถิดเพคะ คราหน้าพระชายาได้โปรดอย่าทำเช่นนี้อีก มันอันตรายจริง ๆ นะเพคะ” ซวงหวนลูบหน้าอก ท่าทางยังนึกกลัวกับเหตุการณ์เมื่อครู่อยู่

ฉินปู้เข่อแสดงสีหน้าจริงจังและพูดอย่างเคร่งขรึม “แบบนั้นไม่ได้หรอก ปล่อยไปโดยไม่ทำอะไรเป็นการกระทำที่ปล่อยให้คนชั่วลอยนวล และสนับสนุนให้เขาได้ทำชั่วต่อ ข้ายอมไม่ได้”

มิหนำซ้ำ เงินนี่แลกมาด้วยสร้อยคอมุกหนึ่งเส้นเลยนะ สินสอดของนางจะว่าเยอะก็ไม่เยอะ น้อยก็ไม่น้อย อนาคตยังอีกไกลต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด

หลังจากกลับมาถึงสวนเฉินอวี้แล้ว ฉินปู้เข่อก็ทำความสะอาดตนเองเล็กน้อยและล้มตัวลงนอนทันที ร่างกายนี้อ่อนแอเกินไป ตอนจับขโมยเมื่อค่ำได้ผลาญพลังงานของนางไปจนหมดสิ้น

“พระชายา? พระชายา?” ซวงหวนเรียกผ่านม่านเตียง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีเสียงตอบกลับก็หยิบธูปสั้นออกมาจากแขนและจุดที่หัวเตียงของนางก่อนจะออกไป

สวนชิงอวี้

ซวงหวนรายงานทุกอย่างที่เห็นในวันนี้

“นางไม่ได้ใช้วิชาตัวเบา และไล่ตามหัวขโมยทันด้วยการวิ่งรึ แล้วยังเล่นงานอีกฝ่ายจนหมอบด้วยกำปั้นล้วน ๆ?” อู๋เหินถามอย่างแปลกใจ “แล้วชายารู้วรยุทธหรือไม่รู้กันแน่ล่ะ?”

หมี่โม่หรู่หมุนถ้วยชาในมือและเลิกคิ้ว “ลองดูก็รู้”

[1] สานต่า เป็นรูปแบบศิลปะการป้องกันตัวและกีฬามวยใช้เท้าอย่างหนึ่งของจีน