บทที่ 30 ฉันแต่ง ฉันไม่ไป
มู่เทียนซิงเหลือบตาไปมอง
ตู้เสื้อผ้าที่เต็มตู้ เสมือนกับการไล่สีของสีฟ้า เป็นชุดกระโปรงยาว ตั้งแต่ซ้ายสุดไปถึงขวาสุด สีฟ้าไล่จากสีอ่อนไปสีเข้ม ตัวแรกเป็นสีขาวที่ผสมกับสีฟ้าอ่อน ต่อด้วยสีฟ้าอมชมพู สีฟ้า สีน้ำเงิน สีน้ำเงินเข้ม สีคราม
มองดูรวมๆแล้ว ไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยตัว
ถึงเธอจะใส่วันละตัวโดยไม่ซ้ำกัน มันก็พอเธอใส่ทั้งฤดูร้อนทั้งฤดูแล้วหล่ะ!
นึกถึงตอนที่เขาไม่เห็นเงินเป็นเงินนั้น นึกถึงโต๊ะออฟฟิศของเขา นึกถึงคฤหาสน์จื่อเวยของเขาที่มันกว้างใหญ่กว่าที่เธอคิด
มู่เทียนซิงมองฉวีซือเหวินด้วยแววตาที่ตักเตือน:“ตกลงหลิงเล่ทำงานอะไรกันแน่?”
พิการคนหนึ่ง จะร่ำรวยขนาดนี้เลยหรอ?
สีหน้าของฉวีซือเหวินได้แสดงรอยยิ้มอ่อนๆ:“ถ้าเกิดว่าคุณหนูมู่รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้ ก็ลองไปสัมผัสด้วยตัวเองดูสิคะ บนตัวคุณชายสี่มีความลับมากมายเท่าไหร่ ถ้าคุณหนูมู่มีโชคชะตาและพรหมลิขิตที่ตรงกับคุณชายสี่ คุณหนูมู่ก็จะได้รับรู้มันเอง”
มู่เทียนซิงก็ได้ดึงลิ้นชักด้านล่างออกมาอีกด้วย เต็มไปหมดเลย เหมือนกับตู้เสื้อผ้าด้านบน ก็เป็นการไล่สีของสีฟ้าเช่นกัน เป็นรองเท้าทั้งหมด
ตู้ข้างๆอีกตู้ก็เช่นกันแต่เป็นกระเป๋า
เธอถอยหลังไปหนึ่งก้าว ร่างกายนั่งลงบนเตียงทรงกลมอัตโนมัติ พรมปูพื้น และเตียงนอนที่ตนนั่งอยู่ รวมถึงทุกอย่างที่อยู่ภายใต้สายตาของเธอก็เป็นสีฟ้าที่หลากหลาย
มากมายกว่าที่เธอมาดูอาทิตย์ก่อนซะอีก!
“เขาว่างมาก!”
มู่เทียนซิงปวดหัว!
เธออยากกลับบ้าน แต่เขากลับเพื่อที่จะทำให้ตนอยู่ต่อที่นี่ เสียแรงและความใส่ใจไปไม่น้อยเหมือนกันนะ!
เงยหน้าขึ้นมองฉวีซือเหวิน เธอทำท่าทางน่าสงสารแล้วยื่นมือไป:“สามารถเอามือถือของคุณให้ฉันยืมใช้แปปนึงได้มั้ย?”
ทำใจไว้แล้วหล่ะสำหรับคำปฏิเสธของฝ่ายตรงข้าม
แต่กลับคิดไม่ถึงว่า ฉวีซือเหวินจะพยักหน้าแล้วยิ้ม:“แน่นอน ได้สิ!”
มู่เทียนซิงยิ้มแล้ว
ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่อ่อนหวานจริงใจบริสุทธิ์ แววตาที่ประกายแสงก็ได้มีความขอบคุณเธอเป็นอย่างยิ่ง ตั้งหน้าตั้งตามองเธอ:“ได้จริงๆหรอ ขอบคุณนะคะ!”
ฉวีซือเหวินได้หยิบออกมาจากกระเป๋าของตน ยื่นให้เธอ แล้วได้พูดอีกว่า:“แต่ว่า ก่อนที่คุณหนูมู่จะโทรหาที่บ้านให้มารับคุณกลับไป คุณฟังฉันเล่านิทานเรื่องนึงก่อนได้มั้ย?”
“ห๊ะ?”
“คุณปู่ที่เป็นที่ชื่นชอบของผู้หญิงหลายๆคน ได้แต่งงานกับภรรยาหลายคน พอได้คลอดลูกชายออกมาก็ได้เสียชีวิตไปหมด ไม่มีใครที่อยู่ยาวนาน ตอนนี้เมียน้อยเจิงเชี่ยนคนนี้ ก็เป็นภรรยาใหม่ที่เพิ่งแต่งงานกันได้ไม่กี่ปี แต่กลับไม่มีลูก”
แววตาของมู่เทียนซิงมืดไปทีนึง:“ฉัน ฉันก็เคยได้ข่าวเรื่องที่คุณลุงเป็นตัวซวยของภรรยา แต่แค่ปกติไม่กล้าพูดเท่านั้น”
ฉวีซือเหวินยิ้ม:“พวกคุณชายต่างก็แข่งขันแย่งชิงกันทั้งต่อหน้าและลับหลัง คุณชายสี่อายุน้อยที่สุด และก็ได้กลายเป็นผู้ที่เสียสละมากที่สุด ไม่ว่าจะตอนอายุ6ขวบ ที่พลาดตกน้ำ สู้กับความตาย หรือตอนอายุ17ที่เกิดอุบัติเหตุรถชนทำให้เสียขาทั้งสองข้างไป ทั้งหมดนี้ก็เป็นแผนของคุณชายแต่ละคน”
“อะไรนะ?”
มู่เทียนซิงยืนขึ้นด้วยความตกใจ เธอเคยได้ยินเรื่องที่เศรษฐีแย่งชิงกันอย่างโหดร้าย แต่ไม่เคยคิดว่ามันจะขนาดนี้ ลงมือกับเด็กที่อายุแค่นั้น แล้วยังเป็นน้องชายแท้ๆของตนอีก โรคจิตไร้หัวใจชัดๆ!
“แม่ของคุณชายสี่ว่ายน้ำไม่เป็น แต่เพื่อที่จะช่วยเขา ก็ได้โดดลงไปในทะเล และในขณะที่พยายามผลักร่างกายอันน้อยๆนั้นขึ้นไปบนบก ตัวเธอเองกลับโดนคลื่นน้ำพัดไปใจกลางทะเลเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ได้จมลงไป!”
“คุณหนูมู่ คุณสามารถนึกภาพออกได้มั้ย เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่หลังจากตกน้ำแล้วต้องร้องไห้ตะโกนหาแม่ ไม่ง่ายเลยที่จะได้เห็นแม่มาช่วยตนแล้ว ตนโดนผลักขึ้นไปบนทราย แต่ยังไม่ทันได้ดีใจ เพราะว่าแม่กลับต้องจมน้ำและเสียชีวิตแทน”
มู่เทียนซิงไม่พูดอะไรแล้ว
เธอไม่กล้าไปคิดถึงภาพหลิงเล่ในตอนนั้น ในใจต้องหมดหวังและกลัวขนาดไหนกัน!
“ทุกคนต่างก็คิดว่าคุณชายสี่เป็นใบ้กันหมด คุณปู่ได้เชิญหมอที่ดังที่สุดมารักษานับไม่ถ้วน หลายปีแล้ว เด็กผู้ชายคนนึงได้โตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ เขาไม่เคยเอ่ยปากพูด ไม่มีใครเคยได้ยินเสียงของเขา แม้กระทั่งเสียงที่แตกหนุ่มของเขา เป็นเสียงที่น่าจดจำและน่ารักษาของผู้ชายทุกคนก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
ฉวีซือเหวินพูดถึงตรงนี้ มองมู่เทียนซิง:“ครั้งแรกที่พวกเราได้ยินเสียงพูดของคุณชายสี่ ก็เป็นตอนกลางคืนดึกๆ ที่เขากำลังฝันร้ายแล้วร้องขอความช่วยเหลือ ร้องไห้หาแม่ และในตอนนั้นเองที่ ฉัน จั๋วหรัน จั๋วซี จึงได้รับรู้ว่าที่จริงแล้วคุณชายสี่พูดได้ แต่แค่ว่าพวกเราเก็บเป็นความลับให้เขา”
มู่เทียนซิงหายใจเข้าลึกๆ
ภาพลักษณ์ของหลิงเล่ที่เอาหนังเสือมาปกคลุมตนไว้แบบนั้น ตอนนี้ได้กลายเป็นกระต่ายน้อยที่น่ารักและอ่อนแอในใจของเธอไปแล้ว
ฉวีซือเหวินได้พูดต่อว่า:“คุณชายสี่ค่อยๆเจริญเติบโต ก็ฝันร้ายน้อยลงเรื่อยๆแล้ว และก็ไม่พูดในขณะที่ฝันแล้วด้วย จนกระทั่งอาทิตย์ก่อน เขาเจอคุณที่ทางด่วน นี้แหละที่เขาเอ่ยปากพูดอีกครั้ง พวกเราจึงจะได้ยินเสียงที่น่าจดจำและน่ารักษาของเขา”
มู่เทียนซิงขมวดคิ้ว จับมือถือไว้ด้วยความไม่สบายใจ กัดปากแล้วพูด:“บอกเรื่องพวกนี้ กับฉันทำไม?”
“ตอนเที่ยง เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นคุณชายนั่งรอคนคนนึงลงมาทานข้าวด้วยความคาดหวังมาก ทานข้าวกับเขา เมื่อก่อนเขา ไม่ทานที่ออฟฟิศอย่างง่ายดาย ก็นั่งทานบนรถเข็น แต่ว่าวันนี้ คุณชายสี่นั่งรับประทานที่โต๊ะเก้าอี้รับประทานอาหารโดยเฉพาะ และเป็นเวลาที่นานมากมากมาก”
“พี่ซือเหวิน~”
“คุณหนูมู่ ฉันขอร้องคุณเถอะนะ คิดซะว่าเป็นการแลกเปลี่ยนกันก็ได้ อยู่ข้างกายคุณชายสี่เถอะ อาทิตย์ก่อนที่คุณอยู่ที่นี้ ก็ตกลงแต่งงานด้วยแล้วไม่ใช่หรอ?ใช่งานหมั้นยังไม่ได้เริ่มขึ้น แต่ว่าทั้งเมืองมีใครไม่รู้บ้างว่าพิการของตระกูลหลิงจะแต่งงานกับคุณหนูของตระกูลมู่?ถ้าคุณยกเลิกงานแต่งตอนนี้ละก็ คุณชายสี่ที่กว่าจะหาประตูของแสงสว่างเจอก็ต้องพังทลายและมืดมนลงไปทันที!ตอนที่คุยเรื่องการแต่งงานกัน ก็ไม่มีใครบีบบังคับตระกูลมู่ หรือบีบบังคับคุณสักหน่อย คุณตอบตกลงเอง แล้วจะมายกเลิกเนี่ยนะ ที่ผ่านมาคุณชายสี่ก็เป็นตัวตลกของทุกคนอยู่แล้ว จากนี้ไป จะให้เขาออกไปเผชิญหน้ากับสังคมยังไง?”
“ฉัน……”
“คุณหนูมู่ สำหรับการแต่งงานครั้งนี้ คุณกับคุณชายสี่ก็ได้คุยกันแล้วไม่ใช่หรอ?ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คุณจะกลัวอะไรอีก?กลัวว่าพิการคนนี้จะทำร้ายชื่อเสียงของคุณ หรือกลัวคุณชายสี่เห็นแก่ตัวจะจับคุณไว้ตลอดชีวิตไม่ปล่อย?คุณหนูมู่ คุณชายสี่เป็นคนที่จิตใจบริสุทธิ์ เขาไม่ใช่คนแบบนั้น!”
“ฉัน……”
“คุณหนูมู่ ตอนที่คุณปู่ได้คุยเรื่องงานแต่งกับพ่อของคุณ แน่นอนว่าพ่อของคุณก็ได้กลับบ้านไปปรึกษากับคุณแล้ว แต่ว่าคุณปู่กลับบอกคุณชายสี่เป็นคนสุดท้ายว่าต้องแต่งงานกับคุณ!แต่งไม่แต่ง คุณชายสี่ไม่มีสิทธิ์เลือก ยกเลิกไม่ยกเลิก คุณชายสี่ก็ไม่มีสิทธิ์เลือก เขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกันมีชีวิตเหมือนกัน ร้องไห้เป็นหัวเราะได้ พอตอนนี้รักแรกของคุณกลับมา คุณก็จะเตะงานแต่งนี้ออก คุณชายสี่ผิดอะไรหรอ?”
“ฉัน……”
“คุณหนูมู่、”
“พอแล้ว!หยุดพูดเถอะ!”มู่เทียนซิงปิดตาลงแล้วถอนหายใจยาวๆ!
ตอนนี้เธอถึงจะรู้ว่า บ้านหลังนี้คนที่ชอบบีบบังคับคนอื่นไม่ได้มีเพียงจั๋วหรันคนเดียวเท่านั้น ยังมีฉวีซือเหวินอีกคน ไม่แปลกใจเลยที่ได้เป็นผัวเมียกัน!
“ฉันแต่ง!ฉันไม่ไป!”
มู่เทียนซิงรู้สึกชาไปทั้งหัว เธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตนเป็นอะไรไป แต่ว่านึกถึงรถเข็นนั้น นึกถึงแววตาที่คมลึกนั้น ใจของเธอก็ไม่ขัดขืนและปฏิเสธอีกเลย
สิ่งที่หลงเหลือ ก็คือความเป็นห่วงที่มีให้กับผู้ชายคนนั้น!