ตอนที่ 31 พบรอยเท้าของเขา
“พี่สะใภ้เก่งมาก!”
จั๋วซีกับจั๋วหรันนั่งตระหง่านบนโซฟาในห้องโถง
หลิงเล่นั่งบนรถเข็นข้างๆ พวกเขา
ภาพหน้าจอทีวีแอลซีดีกำลังถ่ายทอดสดในห้องของหลิงเล่
บรรยากาศก่อนหน้านี้ค่อนข้างตึงเครียด ภายใต้ฤดูร้อนนั้นในบ้านเปิดแอร์อุณหภูมิเดิมที่ตั้งไว้ แต่วันนี้พี่น้องตระกูลจั๋วกลับรู้สึกว่าหนาวกว่าปกติ
จนมู่เทียนซิงในทีวีพูดขึ้นมาว่า:“ฉันจะแต่ง!ฉันไม่ไปไหน!”
ความรู้สึกหนาวเยือกเย็นนั้นค่อยๆ ละลายหายไปเหมือนกับหิมะในฤดูใบไม้ผลิ
หลิงเล่หยิบรีโมทปิดทีวี
เขาหยิบปากกาขึ้นมาเขียนตัวอักษรลงไปที่กระดาษ
เอาออก
เอากล้องทั้งหมดในห้องของเขาออกไป!
จั๋วซีมองเขาอย่างสงสัย:“คุณชายสี่ เอากล้องออกแล้วความปลอดภัยของท่านล่ะ?คุณชายสามคนนั่นไม่มีความกังวล หลายปีนี้ พวกเขาแอบลงมือทำลับหลังเราหลายรอบและแรงขึ้นทุกครั้ง!”
หลิงเล่ไม่พูดอะไร
นิ้วมือเรียวยาวหยิบแก้วกาแฟส่งให้จั๋วซี ความหมายคือจะให้เขาเติมให้
จั๋วซีรับแก้วไป มองพี่ใหญ่แล้วพูดว่า:“พี่ โนมน้าวคุณชายสี่สิ!”
ศัตรูที่เปิดเผยไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวคือศัตรูที่ซ่อนเร้น พวกเขาป้องกันสิ่งต่างๆ ไว้มากมาย พูดว่าหกเดือนก่อนหลิงเล่จมน้ำที่เมืองชิงเฉิง พวกเขาป้องกันเรื่องที่จะเกิดโดยไม่คาดคิดไว้อย่างดี
ตอนนี้คิดคิดดูก็ยังกลัว ถ้าไม่ใช่ว่ามีมู่เทียนซิง งั้นผลที่ตามมาก็คือหายไป
จั๋วหรันกลับมองน้องชายแล้วพูดด้วยเสียงราบเรียบอย่างคาดไม่ถึงว่า:“เอาออกเถอะ!”
“พี่!”
“คุณหนูมู่คือผู้หญิง ต่อไปจะทำอะไรในห้อง พวกเราคอยติดตามแบบนี้ไม่สะดวกจริงๆ ”พอจั๋วหรันพูดจบก็มองหลิงเล่แล้วพูดอีกว่า:“ตอนที่คุณชายสี่กับคุณหนูมู่ไปมาหาสู่กัน มีบางอย่างที่พวกเราเห็นแล้วก็ไม่สะดวก”
พูดถึงเรื่องนี้ จั๋วซีเลยเข้าใจ
เขาหน้าแดงก้มหน้าลงพร้อมกับหัวเราะ:“อืออือ ผมเข้าใจแล้ว!”
เขาหมุนตัวแล้วหยิบแก้วเข้าไปในห้องครัว พร้อมกับพึมพำอย่างมีความสุข:“ฮี่ฮี่ ก็ไม่รู้ว่าคุณชายสี่ตัวน้อยจะผลิตมาเมื่อไหร่เนอะ”
จั๋วหรันได้ยินก็ยิ้มออกมา
มีแค่มือใหญ่ๆ ของหลิงเล่ที่จับที่พิงแขนไว้แน่นๆ จนเล็บเป็นสีขาว ไม่รู้ว่าเพราะกังวลหรือว่าตกใจ หรือว่าอย่างอื่น
มู่เทียนซิงนอนหงายที่เตียงขนาดใหญ่ หยิบโทรศัพท์โทรหามู่อี้เจ๋อ
หล่อนพูดว่าไม่กลับไปตอนนี้ หล่อนเคยคิดอย่างจริงจังว่าถึงแม้จะไม่มีงานหมั้น แต่ว่าตอนนี้ทั้งเมืองต่างก็รู้ว่าหล่อนจะแต่งงานกับหลิงเล่แล้ว
ถอนตัวออกกลางคันในตอนนี้ค่อนข้างอันตราย
หลังจากที่มู่เทียนซิงไปแล้ว มู่อี้เจ๋อก็มีประชุมเล็กๆ ขึ้นมา
ถ้าจะถอนหมั้น ข้อเสียต่างๆ ดูเหมือนว่าตอนนี้จะไม่ใช่ตระกูลมู่ที่จะรับได้ แม้ว่าเมิ่งเสี่ยวหลงจะไม่ยอม แต่ว่าสุดท้ายความจริงก็ปรากฎอยู่ตรงหน้า เมิ่งเสี่ยวหลงได้แต่ปลอบใจตัวเอง ค่อยรอมู่เทียนซิงอีกสองสามปี
พอเมิ่งเสี่ยวหลงรับโทรศัพท์ก็พูดกับมู่เทียนซิงว่า:“รักษาตัวเองดีๆ ยังไงเราก็โตกันแล้ว คุณลุงมู่ก็พูดถูก ถ้าพวกเราสองคนยังเชื่อกันและกันใครก็แยกออกจากกันไม่ได้ สองสามปีนี้ถ้าพวกเรายังอยากอยู่ด้วยกันจริงๆ มันจะต้องมีหนทาง”
มู่เทียนซิงจับโทรศัพท์ ในใจรู้สึกหวิวๆ
หล่อนได้ยินที่เมิ่งเสี่ยวหลงพยายามกลั้นอารมณ์ไว้ กลัวหล่อนจะกดดัน กลัวหล่อนจะเสียใจ
เงียบไปสักพักนึง หล่อนก็พูดกับเมิ่งเสี่ยวหลงว่า:“พี่เสี่ยวหลง ขอบใจนะ”
ดูเหมือนว่าเมิ่งเสี่ยวหลงยิ้มแต่กลับยังพูดกับหล่อนอย่างอดไม่ไหวว่า:“แต่ว่า เทียนซิง พี่ไม่อยากเสียเธอไปนะ แต่ก็หวังว่าเธอจะรู้หัวใจตัวเอง ไม่ว่ายังไงก็ตาม ถ้าเธอคาดหวังให้พี่เป็นคนรักของเธอ พี่จะฟันฝ่าขวากหนามไปรักเธอ ถ้าเธอคาดหวังให้พี่เป็นพี่ชายของเธอ สุดหล้าฟ้าเขียวพี่ก็จะปกป้องเธอ”
มู่เทียนซิงอยากร้องไห้
ต่อมาเมิ่งเสี่ยวหลงก็เอาโทรศัพท์ให้เจี่ยงซิน เจี่ยงซินก็พูดให้หล่อนดูแลตัวเองดีๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความทำใจไม่ได้ของแม่ที่มีต่อลูก เหมือนว่ามู่เทียนซิงแต่งงานแล้วอย่างนั้น
พอวางสายเสร็จ มู่เทียนซิงก็ยืนที่หน้าต่างสายตามองดอกยี่เข่งที่โรแมนติกสวยงาม
จู่ๆ ในใจก็สงบขึ้นมา ไม่รู้สึกกลัวอะไรอีก
“ทางในอนาคตต้องพึ่งขาสองข้างของตัวเองเดินออกมา ความสุขในอนาคตก็ต้องพึ่งสองมือของตัวเองสร้าง”
หล่อนพูดอย่างมั่นใจให้ตัวเองฟัง
ด้านหลังก็มีเสียงเบาๆ เข้ามา:“อื้อ”
หล่อนตกใจหันไปก็เห็นสายตาคู่หนึ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ หน้าเล็กๆ ชมพูๆ นั่นอายนิดหน่อย:“คุณ คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ?”
หลิงเล่หมุนรถด้วยตัวเองแล้วเข้ามาใกล้หล่อน รู้สึกถึงความกังวลของหล่อนก็หยุดลง:“ผมจะรักคุณ”
สี่คำที่เหมือนคาถานั่น กักขังวิญญาณของเขาไว้ก็ทำให้ใบไม้ผลิของหล่อนสดใสขึ้นมา
หล่อนยิ้มออกมา:“คุณนี่เหมือนที่เขาพูดถึงกันจริงๆ อารมณ์เหวี่ยงไปมา เอาใจยาก!”
ตาของเขาเป็นประกาย หมุนรถหันหลังให้หล่อนแล้วออกไป
บ่ายทั้งวันนี้ หลิงเล่กับพวกของเขาไม่ได้มารบกวนมู่เทียนซิงอีก
หล่อนเดินดูไปรอบๆ ดูนี่ ดูนั่น ตอนนี้เองหล่อนก็ป้อนนมเจินเจิน
ยอมรับชะตากรรมที่จะอยู่กับหลิงเล่อักหลายปี หล่อนก็เริ่มลองยอมรับหลิงเล่
หล่อนให้ฉวีซือเหวินทำคุกกี้กับพุดดิ้งให้หล่อนในครัว เทน้ำพุทราแล้วพิงลงที่โซฟาห้องโถงอย่างไม่สนใจ ดูทีวีไปกินขนมไป
ไม่รู้เหมือนกัน ในหัวมีแต่สายตาที่ทำให้คนหลงใหลคู่นั้น
หล่อนคิดแล้วคิดอีก ในที่สุดตัวเองก็ถือถาดขึ้นไปข้างบน
ประตูที่เพิ่งเปิดออก มู่เทียนซิงก็มองเห็นรถเข็นสีเงินถูกคนทิ้งไว้ไม่ดูแลที่ด้านข้าง ส่วนหลิงเล่นั่งอยู่ที่เก้าอี้หนังหมุนได้สีดำที่หน้าคอมอย่างตั้งใจ
หน้าจอคอมหันชนหน้าประตู ทำให้มู่เทียนซิงไม่สามารถสอดแนมเนื้อหาในนั้นได้
สายตาหล่อนดูสงสัย:“ฉันไม่เห็นจั๋วหรันกับจั๋วซีทั้งบ่าย คุณลงมาจากรถเข็นแล้วมานั่งเก้าอี้นี้ได้ไง?”
สายตาเย็นชาของหลิงเล่มองไปที่ถาดในมือหล่อน ขมวดคิ้วนิดๆ :“ให้ผมเหรอ?”
หล่อนพยักหน้า เดินเข้าไป ถือถาดวางที่มือซ้ายเขาอย่างระมัดระวัง
ก่อนหล่อนจะเข้ามาใกล้มือของหลิงเล่ก็เปลี่ยนอย่างไวเหมือนจะปิดแท็บอะไรลง
“พุดดิ้งที่อาซือทำ ฉันว่าอร่อยมากเลย ทั้งบ่ายคุณอยู่ที่นี่น่าจะหิวแล้วใช่ไหม?”
หล่อนหยิบออกไปทางเขาด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
หลิงเล่จ้องพุดดิ้งตรงหน้าไม่พูดอะไร เหมือนจะยังไม่หิว
หล่อนกลับพูด:“คุณลองชิมดู!อาจจะชอบได้!”
เขาเงยหน้ามองหล่อน หยิบช้อนมาอ้าปากแล้วกินเข้าไป
มู่เทียนซิงยิ้ม หมุนตัวออกไปแต่พบว่า ภาพที่ถูกแสงสาดเข้ามาพื้นที่สะอาดๆ นั้นคือ คือรอยเท้า?