ตอนที่ 32 หรือว่าฉันจะช่วยคุณถอด
หล่อนนิ่งอยู่ที่เดิมไปทั้งตัว ในหัวของมู่เทียนซิงก็คิดอะไรออกมาที่น่าจะเป็นไปได้!
หล่อนหมุนตัว สายตามองชายที่กำลังกินพุดดิ้งตรงหน้า พูดว่า:“เมื่อกี้คุณยังไม่อธิบายเลย ว่าคุณลงมาจากรถเข็นแล้วนั่งที่เก้าอี้ตัวนั้นได้ไง!”
รถเข็นอยู่ห่างจากหลิงเล่ 34 เมตร
อีกอย่างระยะห่างนั้นไม่มีผนัง โต๊ะ หรือโซฟาอะไรพวกนี้ที่จะให้เขาจับได้!
มู่เทียนซิงจะบ้าอยู่แล้ว!
จิตใต้สำนึกของหล่อนถอยหลังไป!
ผู้ชายตรงหน้าเป็นปีศาจหรือไง?ทำไมตอนนี้หล่อนคิดว่าหลังมีเหงื่อออก?
หลิงเล่มองท่าทางตกใจของหล่อน สายตาคมดำนั่นก็เหมือนคิดอะไรได้อย่างไว ก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้มพร้อมมองไปที่หล่อนด้วยสายตาเอาใจว่า:“ในบ้านมีประตูหลัง จั๋วหรันพยุงผมเสร็จก็ออกไป ผมให้พวกเขาไปจัดการธุระ มีปัญหาอะไรไหม?”
“งั้นรอยเท้านั่นล่ะ จะอธิบายยังไง?”
มู่เทียนซิงโผเข้าไปชี้ที่รอยเท้านั่นและหยุดตรงระหว่างรถเข็นกับโต๊ะทำงาน รอยเท้านั่นเดินไปทางโต๊ะทำงาน!
จู่ๆ หล่อนก็คิดได้ กลัวว่าหลิงเล่จะฉลาดแกมโกง เงยตามองเขาอย่างเป็นประกาย:“โยนรองเท้าของคุณข้างซ้ายมาให้หน่อยสิ!ฉันจะดูว่าเหมือนกับอันนี้ไหม!”
หลิงเล่นิ่งไป
รอยยิ้มที่หน้านิ่งไป
สักพักเขาก็พูดอย่างน้อยใจ:“ผมพิการจริงๆ คุณเตือนแบบนี้ คุณทำแบบนี้เพื่อจะแก้แค้นผมเหรอ ?แก้แค้นที่ผมทำคุณ?”
“เปล่า ฉันก็แค่”
“ถ้าคุณคิดว่าไปเตือนคนพิการที่ร่างกายของเขาพิการ ทำให้คุณแก้แค้นได้อย่างมีความสุข”
“หุบปาก!”
มู่เทียนซิงยืนขึ้นจ้องเขา:“นี่คุณ ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องแบบนี้!ตอนนี้ฉันก็แค่อยากได้รองเท้าข้างซ้ายของคุณ!”
หลิงเล่นิ่ง หรี่ตามองหล่อน
ท่าทางที่นิ่งไม่แยแสเหมือนเดิม มีแรงกดดันขนาดใหญ่ปกคลุม
มู่เทียนซิงเห็นเขาไม่ขยับก็สูดหายใจเข้า เดินเข้าไปทางเขาด้วยความกล้าหาญ:“ในเมื่อคุณไม่ยอม งั้นฉันถอดให้คุณเอง!คุณอย่ามาพูดว่าฉันรังแกคนพิการนะ!”
ทันใดนั้นเขาก็เงยคางขึ้น แผ่นหลังกว้างๆ พิงที่เก้าอี้อย่างเกียจคร้านเหมือนอารมณ์ดี รอหล่อนเข้ามาอย่างเงียบๆ
ส่วนมู่เทียนซิงมองดูเขาที่กำลังรอตัวเองอย่างสบายๆ ทุกก้าวที่เดินก้าวไป หูก็แดงขึ้นเรื่อยๆ
พอหล่อนยืนอยู่ด้านหน้าเขา หน้าเล็กๆ ของหล่อนก็แดงระเรื่อขึ้นมาเหมือนลูกพีช
หล่อนไม่รู้หรือไง ท่าทางของหล่อนตอนนี้ช่างมีเสน่ห์เย้ายวนเหลือเกิน
“คุณอย่าขยับ ฉันจะถอดรองเท้าให้”
หล่อนก้มลง ร่างกายก็ถูกมือใหญ่ดึงเข้าไปในอ้อมกอดแล้วก็นั่งลงไปที่ขาของเขา ยังไม่ทันตั้งตัว หัวของเขาก็เอื้อมเข้ามาแล้วก็หยุดอยู่ที่ลำคอของหล่อน พูดว่า:“อือ หอมจัง!”
“อ๊า ไอ้บ้า!”
แต่ไหนแต่ไรมามู่เทียนซิงไม่เคยโดนผู้ชายคนไหนทำแบบนี้ใส่!
หล่อนตกใจจนร้องเสียงดัง ออกมาจากอ้อมกอดเขาแล้ววิ่งออกไปจากห้อง!
มองร่างที่ออกไป หลิงเล่ก็ถอนหายใจออกมา สายตาเย็นชามองไปที่รอยเท้าไม่ไกลจากตรงนั้นแล้วก็ยิมออกมาอย่างลำบากใจ
เขายื่นมือไปเปิดลิ้นชัดขวา เปลี่ยนรองเท้า
แล้วจู่ๆ ร่างที่เหมือนจะได้สติก็กลับเข้ามายืนหน้าเขาแล้วจ้อง:“คุณจงใจ!ตั้งใจให้ฉันตกใจวิ่งออกไปเพื่อจะลบรอยเท้านั่น!”
หลิงเล่มองหล่อนด้วยท่าทางไม่ยินดี:“รอยเท้ายังอยู่ตรงนั้น”
หล่อนหรี่ตามองอย่างรู้ทัน ทำอะไรไปไม่ดูให้ดีก่อนพูด
ได้ยินดังนั้น มู่เทียนซิงหันไปอย่างไม่เชื่อ รอยเท้ายังอยู่จริงๆ
หล่อนกัดฟันแล้วเข้าไปจับขาใหญ่ๆ ของหลิงเล่แล้วเงยหน้าพูดอย่างดุๆ ว่า:“อย่าขยับ!”
เขานิ่งไปทั้งตัว ตัวของหล่อนอ่อนมากเหมือนวันนั้นในน้ำเมื่อหกเดือนก่อนเลย
ปล่อยให้หล่อนสัมผัสเท้าของตัวเองแล้วถอดรองเท้าตัวเองอีกรอบ ท่าทางของหลิงเล่เหมือนหุ่นเชิดที่แล้วแต่หล่อนจะตกแต่ง
มู่เทียนซิงถือรองเท้าเขา
ท่าทางเหมือนได้ของรักที่มีค่าที่สุดในโลกมาไว้
หล่อนออกไปจากโต๊ะนั้นด้วยรอยยิ้มแล้วไปตรงที่รอยเท้านั้น เอารองเท้าในมือออกมาเทียบกับรอยเท้านั่น
หลิงเล่มองหล่อนนิ่งๆ
มองหล่อนที่วิ่งไปอย่างมีความสุข มองหล่อนที่ไปตรงนั้นด้วยใบหน้ามุ่งมั่น มองหล่อนที่รอยยิ้มค่อยๆ หายไปจากหน้าตาน่ารักนั่นมองหล่อนที่เต็มไปด้วยการขมวดคิ้วอย่างตกใจ ผิดหวัง ส่ายหัว สุดท้ายยืนอย่างน่าสงสารแล้วเงยหน้ามองเขา:“ไม่ใช่รอยเท้าของคุณ”
ประโยคนึงไม่กี่คำ แต่กลับเจ็บเข้าไปในใจของคน
จู่ๆ เขาก็นิ่งไป มีความรู้สึกที่อยากทำเพื่ออะไรหล่อน
แต่กลับนั่งนิ่งๆ อยู่ที่เดิมแล้วพูดเบาๆ :“ผมบอกไปแล้ว ไม่ใช่ผม คุณก็ไม่เชื่อ”
มู่เทียนซิงลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปด้วยความรู้สึกผิด:“ขอโทษ”
หล่อนก้มลงช่วยสวมรองเท้าให้เขาดีๆ พอยืนขึ้นมองไปที่นอกหน้าต่างอย่างละอาย พูดว่า:“งั้น อีกแปปตอนที่จะทานข้าวเย็น เดี๋ยวฉันมาเรียก”
“อือ”
“จั๋วหรัน พวกเขาไม่อยู่บ้าน เดี๋ยวฉันพาคุณลงเอง”
“อือ”
มู่เทียนซิงเดินไปที่หน้าประตู ก้มหัวลงตลอดทาง
มือเล็กๆ จับที่ประตู ก่อนออกไปหมุนตัวช้าๆ แล้วมองไปที่เขา:“ขอโทษจริงๆ นะ”
หล่อนมองเขา นอกจากจะรู้สึกผิดก็ยังเสียใจ
เขาหน้าตาดีขนาดนี้ ถ้าเกิดยืนได้ขึ้นมาก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีมากๆ
มองขายาวๆ ของเขา ก็น่าจะสูง185ขึ้นไป
หวังว่าที่ตัวเองทำไปเมื่อกี้จะไม่ทำให้เขาที่หัวใจบอบบางมีแผลในใจมากเกินไป
หลิงเล่มองหล่อนแล้วถอนหายใจเบาๆ :“ไปเถอะ!”
มู่เทียนซิงออกไปก็ช่วยเขาเปิดประตูนิดๆ
หล่อนลงไปข้างล่างอย่างท้อแท้ หล่อนมาอยู่ที่นี่ไม่มีเพื่อน ไม่มีคนที่คุยเรื่องในใจได้
หล่อนเดินเข้าครัวอย่างไม่ตั้งใจ มองฉวีซือเหวินที่เตรีมมื้อเย็นอย่างตั้งใจ
ฉวีซือเหวินเห็นหล่อนก็ยิ้มให้:“ฉันว่านะ แต่ไหนแต่ไรมาคุณชายสี่ไม่ทานของหวาน คุณเอาไปให้เขา เขาไม่ทานใช่ไหม?”
มู่เทียนซิงส่ายหัว ก้าวเท้าหนักเดินไปที่ด้านหน้าโซฟา นั่งลงแล้วพูดอู้อี้:“พี่อาซือ วันนี้ฉันสร้างเรื่องแล้วแหละ!”
ฉวีซือเหวินยิ้ม:“ยังไงล่ะ คุณชายสี่คงไม่คิดมากหรอก”
มู่เทียนซิงพูดอีกว่า:“ฉันเห็นรอยเท้าที่ข้างบนก็นึกว่าเป็นของเขา ฉันยังถอดรองเท้าเขามาเทียบอีก!”
“อะไรนะ?”ฉวีซือเหวินตกใจ มองมู่เทียนซิงด้วยหน้าซีดๆ มองท่าทางไวๆ ของมู่เทียนซิงแล้วหล่อนก็พยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วถามอย่างระมัดระวัง:“แล้ว แล้วเป็นยังไง?”