ตอนที่ 33 คิดไม่ถึงไตร่ตรองมาล่วงหน้า ปากเล็กๆ ถูกกินแล้ว
มู่เทียนซิงจะร้องไห้
เบ้าตาของหล่อนแดงและพูดโทษตัวเอง:“สุดท้ายฉันก็ผิดเอง รอยเท้านั่นคนละไซส์กับรองเท้าของคุณชายสี่!”
ฉวีซือเหวินถอนหายใจ!
หล่อนถอดถุงมือออก รินน้ำให้มู่เทียนซิงแล้ววางให้บนโต๊ะ พูดว่า:“คุณอย่าเสียใจนะ คุณชายสี่โดนหัวเราะเยาะตั้งแต่เด็ก น่าจะชินแล้ว”
น้ำตาของมู่เทียนซิงที่ทนไม่ไหวก็ไหลลงมาเพราะคำนี้
ฉวีซือเหวินพูด:“ดังนั้น คุณทำแบบนี้กับเขาก็ไม่เป็นอะไร ถึงแม้ในใจเขาจะเสียใจก็ไม่พูดออกมา เขาจะเก็บไว้เงียบๆ คนเดียว คุณหนูมู่ คุณไม่ต้องคิดมาก”
“ฮือฮือ~ฮือฮือฮือ~”
มู่เทียนซิงเริ่มสะอึกสะอื้น ไหล่เล็กๆ ห่อไปมา
ฉวีซือเหวินก็ทำเหมือนมองไม่เห็นแล้วพูดไปอีกว่า:“เฮ่อ คิดถึงตอนคุณชายอายุ6ขวบเริ่มฝันร้ายก็ร้องไห้จนเรียกหาแม่ ตอนนี้คิดๆ ดู ดีที่แม่ของคุณชายสี่ไม่อยู่แล้ว ไม่งั้นถ้าคุณนายเห็นคุณชายสี่เป็นแบบนี้จะต้องปวดใจตายแน่ๆ !”
“โฮฮฮ~!โฮฮฮฮ~!”
เสียงร้องไห้ของมู่เทียนซิงก็เริ่มหนักขึ้น
หล่อนโทษตัวเอง พอคิดว่าหลิงเล่ลำบากตั้งแต่เด็กๆ ในใจก็ยิ่งเจ็บปวด
ฉวีซือเหวินหยิบกระดาษมาเช็ดหน้า พอหล่อนหยุดร้องไห้ก็พูดว่า:“ต่อไปคุณหนูมู่ก็ดีต่อคุณชายสี่มากขึ้นเถอะ!”
“อือ!”มู่เทียนซิงสูดจมูกขึ้น พูด:“ต่อไปฉันจะดีต่อเขา ดีต่อเขามากๆ !”
ฉวีซือเหวินพยักหน้าแล้วหมุนตัวหัวเราะออกมา
แม้ว่าจะฉลาด แต่ก็เป็นสาวน้อยอายุ18ที่ไร้เดียงสา อีกอย่างมู่เทียนซิงก็ยังไม่ทันโลกนี้เท่าไหร่ ตรงไปตรงมาอย่างธรรมชาติโดยไม่มีแผนการสักนิด ดังนั้น แค่ใช้วิธีการแก้ปัญหาให้ถูกวิธีก็ยังโกหกได้!
ตกดึกใกล้เข้ามา แสงจากเมฆดูสวยงาม
มู่เทียนซิงขึ้นไปข้างบน มองไปแวบนึงแล้วก็เดินวนไปมาที่หน้าห้องเขาอย่างลังเล ไร้จุดหมาย
แค่ถามทำไมในใจต้องสับสนด้วย?
แต่ว่าก็แค่ประโยคนึงเท่านั้น
พอเข้าไปก็เห็นหลิงเล่ ประโยคแรกที่จะพูด
ผู้ชายในห้องยังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานแต่ไม่ยุ่งเท่าไหร่แล้ว ตาสีดำคมกำลังชมภาพยนตร์วรรณกรรมก็เห็นเงาเล็กที่ปรากฎในหน้าจอ
หล่อนไปๆ มาๆ จนจะ30นาทีแล้ว ไม่ยอมเข้ามา
นิ้วเรียวยาวเคาะอยู่ที่โต๊ะ ในที่สุดเขาก็คลิกเม้าส์ ปิดคอมและก็ปิดกล้องข้างนอก
“แค่กแค่ก!”
“แค่กแค่กแค่ก!”
แปปนึง ครึ่งวงกลมตรงหน้าก็ดันประตูจากด้านนอกเข้ามา ร่างเล็กๆ ก็เข้ามาในสายตาของเขา
“เป็นอะไรไป?”หล่อนวิ่งเข้ามา หน้าเล็กๆ แดงหน่อยๆ จ้องเขาที่เอามือกุมหน้าออกไว้:“ไออีกแล้วเหรอ?ยังไม่หายหวัดเหรอ?ทำไงดี ฉันไม่ได้เอายามาด้วย ที่บ้านคุณมีไหม?หรือว่าจะให้หมอมาดูคุณ?”
ตาดำหยุดที่ปากที่พูดไม่หยุดของหล่อน ลูกกระเดือกของหลิงเล่เลื่อนขึ้นลง:“หิวนิดหน่อย”
“อ้อ อ้อ อื้อ!”
มู่เทียนซิงถึงคิดขึ้นมาได้ว่า ที่จริงหล่อนจะมาเรียกเขาลงไปทานข้าว
แค่ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดยังไงดี ก็เลยดิ้นรนที่ข้างนอกอยู่นาน ตอนนี้หล่อนดูอารมณ์ของหลิงเล่แล้วก็ไม่ได้ดูเวอร์อย่างที่ฉวีซือเหวินพูด ในใจก็โล่งออกมา
รอยยิ้มบางๆ อยู่ที่มุมปาก สายตาของหล่อนเป็นประกายขึ้นมา
ที่แท้เขาก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนี้ ต่อหน้าเขาก็ไม่น่าอายขนาดนั้น มองดู เรื่องที่ลังเลอยู่นานเมื่อกี้ไม่ใช่ว่าหายไปเรียบร้อยแล้วเหรอ?
ดวงตาที่ลึกซึ้งของหลิงเล่มองไปที่รอยยิ้มที่มุมปากของหล่อน มือที่วางไว้ที่หน้าอกก็ผ่อนคลายลง
มู่เทียนซิงเอารถเข็นเข็นเข้ามาแล้วก็พูดอย่างสับสนว่า:“ฉันน่าจะอุ้มคุณไม่ไหวแน่ แขนของคุณออกแรงได้ไหม?”
หล่อนจำได้ว่าแต่ก่อนต่างเป็นสองพี่น้องตระกูลจั๋วที่ช่วยกันออกแรงประคองหลิงเล่ขึ้นรถเข็น ผู้หญิงตัวเล็กๆ แบบหล่อนจะมีแรงสู้ผู้ชายสองคนได้ไง?
หลิงเล่ขมวดคิ้ว ดวงตาที่ลึกซึ้งมองหล่อนไม่พูดอะไรออกมา
หล่อนรีบไปหน่อย โดนเขาจ้องแบบนี้เลยไปไม่ถูก เดินไปก็จ้องเขา:“พูดสิ!”
“แค่กแค่ก”หลิงเล่ไอออกมาอีกรอบ แล้วพูดอย่างไร้เดียงสาว่า:“คุณอย่ามองผมแบบนี้ และก็อย่าดุผมสิ ตอนนี้ผมเป็นหวัด ป่วย จั๋วหรันพวกเขาไม่อยู่ข้างๆ ผม คุณทำแบบนี้ผมกลัวนะ”
มู่เทียนซิง:“.”
หลิงเล่พูดอีกว่า:“คุณอย่ารังแกผม”
“คุณ!”
มู่เทียนซิงกัดฟัน ตอนที่จะเดินไปกลับเห็นร่างของเขาที่ม้วนตัวเพราะหล่อนเถิบเข้าไป ยกมือขึ้นไว้บนหัวเพื่อป้องกันหล่อนจะทำอะไรเขา
“ฉันดุขนาดนั้นเหรอ ทำไมคุณกลัวขนาดนี้”
ในใจสงสัยมากว่าเขาเสแสร้งหรือเปล่า แต่ว่าน้ำเสียงที่หล่อนพูดกลับเห็นชัดว่าลดลงไปเยอะ!
อ่อนโยนจริงๆ !
มุมปากของเขาเหมือนมีอะไรซ่อนอยู่ เขาค่อยค่อยวางแขนลงแต่หน้าจ้องที่หล่อนอย่างตื่นตัว
มู่เทียนซิงเม้มปาก ยื่นมือไปจับแขนของเขา พูด:“คุณเอาน้ำหนักตัวมาที่ตัวฉัน เดี๋ยวฉันลองดู รถเข็นใกล้ขนาดนี้ คุณจับโต๊ะพิงไว้”
“โอเค”
เขาปล่อยให้มือเล็กของหล่อนจับตัวเอง
และเชื่อฟังที่หล่อนบออกให้เอามือยันโต๊ะไว้
มู่เทียนซิงอยู่ด้านข้างพยายามดึงเขาเหมือนดึงแครอท กลับพบว่าแบบนี้ไม่มีประโยชน์
ร่างของเขานิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับ
ลองอีกครั้ง หล่อนย้ายมาด้านขวา จากด้านขวาย้ายไปด้านซ้าย ก็ยังไม่ได้
เหนื่อยจนเหงื่อออก หล่อนบ่นอย่างโมโห:“ก้นของคุณติดเก้าอี้เหรอ?หรือว่าถูกกาวติดไว้?”
หลิงเล่ถอนหายใจเบาๆ มองหล่อน:“ด้านล่างของผมไร้ความรู้สึก ทำให้คุณเหนื่อยแล้ว ขอโทษ!”
ได้ยินดังนั้น หน้าของมู่เทียนซิงก็รู้สึกผิด พูดเบาๆ :“ฉันก็ ก็แค่ใจร้อนไปหน่อย ทำไมดึงไม่ได้เลยนะ”
เหมือนหลิงเล่จะไม่สนใจและก็แนะนำไปว่า:“ไม่งั้นคุณลองมายืนข้างหน้าผม ประชันหน้า สองมือจับช่วงใต้รักแร้ของผม ลองกอดผมขึ้นมาแบบนี้?ทุกครั้งคุณกอดผมจากด้านข้างเพื่อดึงขึ้นมา แต่ว่าผลเป็นไงคุณก็เห็นแล้ว”
หล่อนมองเขาอย่างสงสัย มองเห็นความตรงไปตรงมาของเขา
หล่อนพยักหน้า หล่อนเชื่อฟังแล้วไปที่ระหว่างพื้นกับโต๊ะ ประชันหน้าเขา ตอนที่สองมือค่อยๆ ยื่นไปที่เขาก็พูดว่า:“ฉันไม่ได้ตั้งใจเอาเปรียบ”
“อือ”
สองมือไปที่ใต้รักแร้ของเขา หล่อนพยายามกอดเขาขึ้นมา เหมือนว่ามือสองข้างของเขาก็ออกแรงจับที่รองแขนของเก้าอี้ไว้
ลุกมาแล้ว ลุกมาแล้ว ค่อยๆ ลุกมาแล้ว
ในใจของมู่เทียนซิงภูมิใจมาก ไม่สนใจว่าร่างทั้งสองจะแนบชิดกัน
จู่ๆ แขนของหลิงเล่ก็หมดแรง ทั้งตัวคืนกลับไปที่เก้าอี้ สองมือกอดเอวหล่อนไว้แน่น เอาร่างของหล่อนเข้ามาในอ้อมกอด!
ริมฝีปากใกล้กัน มู่เทียนซิงยังไม่ตอบสนองกลับมา ปากเล็กๆ ก็เข้าไปในปากของชายตรงหน้า