ตอนที่ 19 อัดอั้นตันใจ
หร่วนซื่อเชื่อในตัวบุตรสาว เร่งรีบมองสำรวจบุตรสาวด้วยแววตารักและห่วงใย “ตกใจแย่เลยสินะ? โชคดีที่ปีนั้นเจ้าไม่ได้ไปถึงขั้นพูดคุยเรื่องงานแต่กับครอบครัวเขา มิเช่นนั้นตกไปอยู่ภายใต้แม่สามีประเภทนี้ คงไม่พ้นถูกย่ำยีเป็นแน่!”
“ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ ดังนั้นท่านแม่ ท่านอย่าเอาแต่คิดจะให้ข้าออกเรือนเลยนะเจ้าคะ ข้ารูปลักษณ์เช่นนี้ ใครเขาจะพึงพอใจล่ะเจ้าคะ” ซ่งอิงรีบกล่าวทันควัน
นางก็แค่เกรงว่าหร่วนซื่อจะคิดไม่ได้ แล้วให้นางแต่งออกไปเป็นภรรยาใหม่ของพ่อม่ายคนอื่น
ต่อให้อีกฝ่ายนิสัยใจคอดีสักเพียงใด…นางก็ยอมรับไม่ได้
“อาซ่งของข้าเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ” หร่วนซื่อถอนหายใจ
ซ่งอิงพลันรู้สึกประหม่า ปรายตาขึ้นมองนาง
“เจ้าในอดีตน่ะ…ทำอะไรเนิบนาบไปหมด ไม่ค่อยทันคน แม่จึงมักกลัวว่าเจ้าจะถูกรังแก เจ้าไปจวนโหวสองปีมานี้…ตอนนี้มองดูแล้วเก่งกาจกว่าเมื่อก่อนขึ้นมาหน่อย ถือว่าเป็นเรื่องดีเช่นกัน” หร่วนซื่อค่อนข้างเศร้าใจไม่น้อย
หากไม่มีจวนโหว เช่นนั้นจะดีเพียงใดนะ?
ครั้งอยู่จวนโหว บุตรสาวประสบพบเจอเรื่องราวมากมายเพียงนั้น ดังนั้นบัดนี้ถึงรู้จักอะไรต่อมิอะไรมากกว่าอดีตขึ้นมาหน่อย ทั้งยังวาจาแกร่งกล้า พละกำลังก็มากขึ้นด้วยเช่นกัน แม้เป็นเรื่องดี แต่นางก็รู้สึกเป็นห่วงอยู่ดี
คงยินดีเสียกว่าหากนางบริสุทธิ์ไร้เดียงสาทั้งชีวิต
ซ่งอิงทอดถอนใจ กล่าวตามจริง แม้นางมีความทรงจำเจ้าของร่าง แต่นางก็ทอดทิ้งทุกสิ่งอย่างในชีวิตก่อนหน้าของตนเองไปหมดแล้ว นางในตอนนี้ก็คือเจ้าของร่าง เจ้าของร่างก็คือนาง แต่ยังคงกลัวส่วนที่แตกต่างในตัวตนจะเปิดเผยออกมาแล้วถูกเข้าใจเป็นปีศาจ จับไปขึงก่อนเผาทั้งเป็น
ได้มีชีวิตอีกครั้ง ใครบ้างอยากจะตาย?
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้มีทั้งบิดามารดา แล้วยังมีอาวุธตัวช่วยอย่างช่องว่างระหว่างมิติอีก นางยังหวังว่าภายภาคหน้าตนเองจะหาเงินได้มากๆ หน่อย จะได้ซื้อบ้านซื้อที่ดิน นอนอยู่บ้านและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขบ้าง
“ท่านแม่ จะอย่างไรคนเราก็ต้องเติบโต ข้าเรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมายที่จวนโหวนั่น ภายภาคหน้าจะทำให้ท่านมีชีวิตสุขสบายได้แน่นอนเจ้าค่ะ” ซ่งอิงแสดงเจตจำนงในทันที
หร่วนซื่อซาบซึ้งใจเกินบรรยาย
ในเวลาเดียวกันนี้เอง ครอบครัวหลี่เต็มไปด้วยความอลหม่าน
หลี่จิ้นเป่าเจ็บปวดจนถึงขั้นกัดปากแตก!
หากไม่ใช่เพราะตนมั่นใจว่านี่เป็นฝีมือซ่งอิง เขาก็เกือบจะคิดว่าตนเองมีอาการป่วยผิดปกติอะไรไปแล้ว!
ไม่ทันไรหมอก็มาถึง
ทว่าหลังจับชีพจรอยู่เนิ่นนานก็ไม่พบว่าจะมีปัญหาอะไรใหญ่โต จึงกล่าวว่าต้องการดูแผลที่อยู่บนเรือนร่างหลี่จิ้นเป่า หลี่จิ้นเป่าได้นึกคำนึงมากมายเสียที่ไหนกัน จึงถลกเสื้อเปิดออกให้หมอตรวจดู
ร่องรอยเขียวช้ำจนเป็นสีม่วง ดูสาหัสมากจริงๆ
“บาดเจ็บผิวภายนอกค่อนข้างสาหัส แต่ดีที่ไม่ถึงเส้นเอ็นหรือกระดูก ไม่ร้ายแรงอะไร เจ็บแค่สองวัน ทายาสลายรอยฟกช้ำหน่อยก็หายดีแล้ว” หมอกล่าว
หลี่จิ้นเป่าใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย ยามซ่งอิงหมายเตะเข้ามายังกล่องดวงใจเขา โชคดีที่เขาหลบหลีกได้อย่างรวดเร็ว แม้จะเตะถูกเข้าแล้วเช่นกัน แต่ปวดเพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น มิเช่นนั้นก็คง…
เขาไม่กล้าคิดเลย!
“ท่านหมอ ท่านว่านี่เป็น…รอยคนหยิกใช่หรือไม่” ทันทีที่หลิวซื่อกลับมาก็เอ่ยปากถามทันที
“ใช่! เป็นซ่งอิง นางเด็กสาวสารเลวนั่นหยิกข้า!” หลี่จิ้นป่าวส่งเสียงโวยวายขึ้น
หมอใช้สายตาพิลึกมองหลี่จิ้นเป่าแวบหนึ่ง “นี่พ่อหนุ่มน้อย อย่าเที่ยวพูดจาเหลวไหลไป…ร่องรอยบาดเจ็บเจ้านี้จะเป็นฝีมือเด็กสาวตัวเล็กๆ ไปได้อย่างไรกัน รอยบาดเจ็บภายนอกที่หนักหน่วงเพียงนี้ เกรงว่าจะสะดุดล้มไปชนอันใดเข้า หรือไม่ก็เจอสัตว์ดุร้ายอะไรเข้าแล้วกระมัง เด็กสาวคนหนึ่ง…เกรงว่าจะทำได้ไม่ถึงขั้นนี้หรอก”
หลี่จิ้นเป่าเผยสีหน้างุนงงไปไม่ถูก “เป็นนางต่างหาก!”
“เป็นไปไม่ได้หรอก” หมอยังคงยืนกรานคำเดิม
เขาเป็นคนหมู่บ้านนี้เช่นกัน เพียงแต่อยู่ค่อนข้างไกล แต่ยามที่เดินพ้นประตูเข้ามาก็ได้ยินคำบอกกล่าวความเป็นมาเป็นไปของเรื่องราวบ้างแล้วเช่นกัน
เด็กสาววัยสิบกว่าปีคนหนึ่งจะหยิกจนกลายเป็นสภาพเช่นนี้ได้? ฮ่า เช่นนั้นไม่ใช่เป็นปีศาจแปลงตนมาแล้วหรือ จะมีพละกำลังมากมายเพียงนั้นได้ที่ไหนกันล่ะ
หลี่จิ้นเป่ารู้สึกเพียงเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ
อัดอั้นตันใจจริงๆ!
ส่วนบุรุษหนุ่มหมู่บ้านเดียวกันที่ส่งเขากลับมา ไม่อาจมองดูพฤติกรรมเช่นนี้ของเขาได้เช่นกัน จึงกล่าวอย่างยึดมั่นในความชอบธรรมยิ่ง “จิ้นเป่า เจ้าอย่าไร้เหตุผลเพียงนี้ได้หรือไม่ ตอนที่เจ้านอนร้องโอดครวญอยู่บนพื้น ดีแค่ไหนที่เอ้อร์ยานางมาเรียกพวกเราไป ข้ารู้หรอกว่าเจ้าก็แค่เกรงว่านี่จะเป็นบุญคุณหนึ่ง แล้วคนเขาจะตามตอแยเจ้าไม่เลิกรา แต่เอ้อร์ยานางไม่ใช่คนเช่นนั้นนี่!”
“ก็นั่นน่ะสิ ข้าแนะนำพวกเจ้าหน่อยนะ ไปขอโทษเอ้อร์ยานางให้เรียบร้อย บุรุษคนหนึ่ง ใส่ร้ายป้ายสีเด็กสาวที่บอบบางไร้ทางสู้คนหนึ่ง ละอายแก่ใจบ้างหรือไม่!?”
ตอนที่ 20 จะเคยชินต่อการละโมบโลภมากมิได้
คนเหล่านี้เอ่ยจบก็ส่ายหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า เผยท่าทีราวกับหลี่จิ้นเป่าไม่เอาไหน ก่อนเดินจากไปอย่างผิดหวัง
หลี่จิ้นเป่าเผชิญความไม่เป็นธรรม แต่ไร้ซึ่งที่ให้ร้องทุกข์จริงๆ
ก็อย่างที่คนอื่นเขาเอ่ยพูด เด็กสาวคนหนึ่งจะทุบตีเขากลายเป็นเช่นนี้ได้เชียวหรือ!?
แม้ว่าทั้งที่เป็นฝีมือซ่งอิง แต่ไม่มีผู้ใดเชื่อเลย!
ถึงขั้นว่าทุกคนล้วนคิดว่าซ่งอิงช่วยชีวิตเขาไว้!
หลี่จิ้นเป่าเดือดดาลจนแทบกระอักเลือด หลิวซื่อปวดใจเสียยิ่งอะไรดี แต่ทางด้านตระกูลหลี่นี้ก็พอเข้าใจเรื่องราวอยู่เช่นกัน จึงเกิดความเกรงว่าผู้อื่นจะคิดว่าแต่ละบ้านของครอบครัวหลี่ล้วนเป็นพวกนิสัยไม่ดี ดังนั้นแม่ย่าตระกูลหลี่จึงรีบจับแม่ไก่แก่ๆ ตัวหนึ่งส่งไปถึงบ้านครอบครัวซ่ง ให้ซ่งอิงไว้เชือดกินบำรุงร่างกาย และถือเป็นของกำนัลแสดงการขอบคุณด้วยเช่นกัน
เดิมทีหร่วนซื่อไม่อยากรับไว้ แต่ซ่งอิงกลับยืนกรานให้หร่วนซื่อรับเอาไว้เสีย
ด้วยเรื่องที่หลี่จิ้นเป่ากระทำจนส่งผลให้เจ้าของร่างเสียชีวิต ลำพังไก่ตัวเดียวยังไม่เทียบไม่ได้กับเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ!
วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล!
ซ่งอิงจึงไม่ได้เก็บเรื่องนี้เอามาใส่ใจมากเกินไป และหันไปจดจ่อวิจัยช่องว่างระหว่างมิติของนาง
ไส้เดือนที่ขุดมา วางไว้ในมุมหนึ่งที่ลานหลังบ้านแล้วนำดินคุณภาพดีเทไว้ด้านบน ก่อนโปรยทับด้วยหญ้าแห้งจำนวนมาก
ในลานหลังบ้าน มีแค่ลูกเจี๊ยบประมาณเจ็ดแปดตัว นอกนั้นก็มีแปลงผักป่าต้นเล็กๆ หย่อมหนึ่ง มองดูแล้วไร้ชีวิตชีวาไปหมด ลูกเจี๊ยบมุดหัวเข้าไปหาอาหารกิน
ซ่งอิงครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนเรียกน้ำจากช่องว่างระหว่างมิติออกมาผ่านจิต อาศัยช่วงที่หร่วนซื่อไม่อยู่ แอบนำมารดผักในแปลงหลังบ้าน
ก่อนหน้านี้ผักในสวนนั่นเพิ่งหว่านเมล็ดลงไปเท่านั้น นอกเสียจากน้ำนี้จะเร่งการเจริญเติบโตได้ มิฉะนั้นด้วยช่วงเวลาหนึ่งก็คงไม่อาจเห็นประสิทธิผลได้
ไม่สู้ใช้แปลงผักป่านี้ทดลองดูเสียก่อน
น้ำซึมเข้าสู่พื้นดิน ซ่งอิงไม่ไปไหนเช่นกัน นางย้ายเก้าอี้ตัวเตี้ยมาแล้วนั่งจ้องมองผักป่า หร่วนซื่อเดินเข้ามา คิดว่าซ่งอิงกำลังมองดูลูกเจี๊ยบ จึงส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาเล็กน้อย
“อาอิง แม่ไปช่วยอาสะใภ้สามเจ้าดำต้นกล้าก่อนละ เจ้าอยู่บ้านก็ดูแลตัวเองด้วย หากรู้สึกไม่สบายก็กลับเข้าห้องไปนอนพักเสีย รู้หรือไม่” หร่วนซื่อบอกกล่าวอย่างห่วงใย
ซ่งอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
หร่วนซื่ออุปนิสัยดีงามเกินไปแล้ว บ้านตนเองมีที่ดินเพียงหนึ่งหมู่สามเฟิน จึงทำงานเสร็จสิ้นไปนานแล้ว แต่ทางด้านบ้านสามนั่นที่ดินมากสุด จึงทำไม่เสร็จในช่วงเวลาอันสั้น
ทั้งอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกัน ทั้งเป็นญาติกัน ช่วยเหลือเสียหน่อยก็เป็นสิ่งที่พึงกระทำ แต่ว่า…
ทางด้านบ้านสามนั่นดูเหมือนจะไม่ให้ความเกรงใจกันเกินไปหน่อยแล้ว
ต้องการให้แม่นางช่วยงานก็ไม่เท่าไรหรอก แต่นี่มื้อกลางวันยังต้องให้แม่นางจัดหาให้อีกด้วย
ในมือหร่วนซื่อถือตะกร้าไม้ไผ่ขนาดย่อมใบหนึ่ง ซ่งอิงเดินเข้าไปเปิดผ้าขาวบางที่คลุมตะกร้าอยู่ออกดู ในใจพลันไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “ท่านแม่ คนของบ้านอาสามตอนนี้อยู่ในแปลงนาครบถ้วนสินะเจ้าคะ นอกจากท่านปู่ท่านย่าที่ไปช่วยงาน สมาชิกครอบครัวเขาทั้งคนโตและเด็กๆ รวมหกคน จะกินข้าวก็ต้องให้พวกเราจัดหาให้หรือเจ้าคะ!”
หร่วนซื่อทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย “จะให้แม่ไปแอบขโมยของในห้องครัวอาสามเจ้าก็คงมิได้กระมัง”
นางหน้าบาง บ้านสามไม่มีคนอยู่ นางเดินเข้าไปหน้าตาเฉยจะดูไม่ดีแย่หรือ
บ้านสามไม่เพียงแค่ได้รับส่วนแบ่งที่ดินจำนวนมาก แม้แต่ห้องที่อยู่อาศัยก็มากด้วยเช่นกัน เป็นเรือนฝั่งตะวันตกสองห้อง ฝั่งตะวันออกหนึ่งห้อง ลานหลังบ้านก็เป็นผืนเดียวกับบ้านนาง เพียงแต่ตรงกลางใช้กำแพงดินก่อกั้นขึ้นมา
“ขโมย? ท่านแม่ช่วยครอบครัวพวกเขาทำงาน เห็นแก่สัมพันธ์ฉันญาติมิตรไม่ขอสิ่งตอบแทนใดๆ ก็ไม่เท่าไร แต่จะนำสิ่งของของบ้านตัวเองไปสมทบให้อีกไม่ได้นะเจ้าคะ ปิ่งจื่อ[1]เหล่านี้แม้ไม่ใช่ของราคาแพง แต่มีครั้งหนึ่งก็ต้องมีครั้งที่สอง จะให้ละโมบโลภมากจนติดเป็นความเคยชินไม่ได้! อีกอย่าง ทางด้านบ้านสามนั้นมีบุตรชายวัยฉกรรจ์ตั้งสามคน จะมีก็แต่พี่เสียนที่กินน้อยหน่อย บ้านเราไม่ใช่คนร่ำรวยเช่นกัน ครอบครัวเขากินมื้อๆ หนึ่ง เกรงว่าจะพอสำหรับพวกเรากินสองวันเลยด้วยซ้ำ!” ซ่งอิงกล่าวด้วยความร้อนใจ
คำพูดนางนี้ไม่ได้เกินจริงเลยแม้แต่น้อย
สมาชิกครอบครัวบ้านสาม สามน้องชายอายุมากสุดคือวัยสิบห้าปี เด็กสุดก็สิบขวบแล้ว
ช่วงที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโต มีหรือจะกินในปริมาณน้อยนิด?
ไม่ใช่นางตระหนี่ถี่เหนียว แต่นิสัยเคยชินที่เอารัดเอาเปรียบกันประเภทนี้จะปล่อยปละไม่ได้ บ้านสามขอให้มารดานางไปช่วยงาน ก็ต้องทำตัวอย่างที่ขอให้คนอื่นเขาไปช่วยงานสิ!
[1] ปิ่งจื่อ (饼子) อาหารประเภทแป้งทอด เป็นทรงกลมแผ่นไม่หนาไม่บางจนเกินไป ส่วนผสมหลักในการทำคือแป้งสาลี