บทที่ 39 คันศรราชัน

“มอบให้ข้างั้นหรือ?”

เซี่ยเหยียนตะลึงงันไป นางฝึกฝนศาสตร์การยิงธนูมาสองสามวันแล้ว และนางก็สัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาขึ้นทุกขณะ!

อีกทั้งยังไม่คาดคิดว่าเจ้าธนูนี่ ผู้อาวุโสทรงพลังจะมอบให้โดยเปล่า ๆ

หากเรื่องคันธนูนี้ได้ยินไปถึงคนนอก ข้าเกรงว่าแดนศักดิ์สิทธิ์จะไม่อาจนิ่งเฉยได้ มันเป็นสิ่งที่พิเศษเกินไป และตัวตนของมันก็สูงเกินจินตนาการ

นางรู้ว่าผู้อาวุโสใจกว้าง แต่กระนั้นก็คิดไม่ว่าจะมากถึงเพียงนี้

“เอ่อ ไม่ชอบหรือ…”

เมื่อเห็นสีหน้าของเซี่ยเหยียน หลี่จิ่วเต้าก็จำได้ทันทีว่าเซี่ยเหยียนเป็นผู้ฝึกตน ไม่ว่าลูกธนูของเขาจะสมบูรณ์แบบเพียงใด เซี่ยเหยียนย่อมมองมันเป็นของธรรมดา

“ผู้อาวุโส ข้าไม่ได้ไม่ชอบ!”

ใครเล่าจะรู้ว่าเซี่ยเหยียนนั้นตื่นเต้นมากเพียงใด “ข้าจะตั้งชื่อให้มัน!”

ดูเหมือนว่าเซี่ยเหยียนจะชอบวิธีล่าสัตว์แบบมนุษย์เข้าแล้วสินะ

หลี่จิ่วเต้าลอบยิ้มจาง ๆ

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เซี่ยเหยียนฝึกฝนยิงธนูตลอดทั้งวันคืน ซึ่งแสดงให้เห็นว่านางสนุกกับการออกล่าเช่นนี้ยิ่งนัก!

“เจ้าสังหารเหยื่อด้วยเพียงนิ้วเดียว เช่นนั้นจะลิ้มรสชาติความสำเร็จได้อย่างไร ปกติแล้วเจ้าควรง้างศรยิงธนู แล้วเพลิดเพลินไปกับการล่าเหยื่อสิ”

หลี่จิ่วเต้าคิดว่าการเป็นมนุษย์นั้นคือเรื่องดีอย่างหนึ่ง และความสนุกของการมนุษย์ก็ไม่ด้อยไปกว่าการเป็นผู้ฝึกตนเลย

“ข้าขอคิดสักประเดี๋ยว…”

เซี่ยเหยียนเอียงศีรษะด้วยความฉงน ด้วยไม่รู้ว่าจะตั้งชื่อมันว่าอะไรดี คิ้วบางขมวดมุ่นและรู้สึกอยู่เสมอว่าชื่อที่คิดไม่คู่ควรกับธนูนี้!

‘เช่นนั้นก็เรียกสุ่ม ๆ ไปสิ ไม่เห็นต้องยุ่งยากเลย นี่เป็นแค่ธนูที่ข้าทำขึ้นมาเองเฉย ๆ นะ…’

มุมปากของหลี่จิ่วเต้ากระตุก เซี่ยเหยียนต้องเป็นคนที่แสวงหาความสมบูรณ์แบบเป็นแน่ มิเช่นนั้นแล้วเหตุใดต้องทำหน้ายุ่งเพียงแค่การตั้งชื่อด้วยเล่า?

ผ่านไปเนิ่นนานที่เซี่ยเหยียนยังคงคิดชื่อดี ๆ ไม่ได้ หลี่จิ่วเต้าลอบคิดว่าหากรู้ว่านางเป็นคนที่แสวงหาความสมบูรณ์แบบละก็ เขาคงจะตั้งชื่อดี ๆ ให้ก่อนแล้ว

แต่ตอนนี้ชายหนุ่มไม่สามารถพูดอะไรได้

เมื่อเห็นเด็กสาวกำลังขบคิดอย่างจริงจัง แล้วเขาจะเอ่ยคำใดออกมาได้เล่า?

“เมื่อได้รวมตัวจากราชสำนักทุกทิศทาง จักรพรรดิผู้เป็นที่ยกย่องของโลก ราชาแห่งธนู ล้วนแล้วแต่มาเพื่อพิธีราชาภิเษก คันศรราชันย่อมประจักษ์แด่เหล่าราชาและขุนนาง คันศรราชันคือราชา และธนูคือขุนนาง!”

เซี่ยเหยียนรู้สึกยินดีนักเมื่อนึกถึงพิธีราชาภิเษกแห่งอาณาจักรเซี่ย นางหวนนึกถึงจักรพรรดิผู้เป็นบิดา มากไปกว่านั้นนาม ‘คันศรราชัน’ ก็เด่นหราขึ้นมา และรู้สึกว่าชื่อราชันนั้นเหมาะสมเป็นอย่างมาก

เมื่อตั้งชื่อให้แล้ว…ไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไร มันก็ยังคงเป็นราชัน!

หลี่จิ่วเต้าคิดในใจว่าเซี่ยเหยียนเป็นองค์หญิงจริง ๆ ด้วย คนธรรมดาจะตั้งชื่อเช่นนี้ได้อย่างไร

นี่เป็นธนูธรรมดาทั่วไป อย่าได้ใช้คำพูดเกินจริงอย่างกับว่ามันเป็นราชาแห่งธนูทั้งมวลสิ…

ซึ่งหมายความว่าแถวนี้ไม่มีผู้ฝึกตน เพราะหากมีผู้ฝึกตนและได้ยินชื่อดังกล่าว เกรงว่าเขาคงหัวเราะจนฟังหักไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม หลี่จิ่วเต้ายังคงปรบมือกล่าวชม “ที่มาของชื่อช่างดียิ่ง ทั้งลึกซึ้ง มีความรู้รอบ มันเหมาะกับธนูคันนี้มาก”

เขาไม่กล้าเอ่ยวาจาไม่ดี

หากมันแย่ ด้วยนิสัยแสวงหาความสมบูรณ์แบบของเซี่ยเหยียน นางจะต้องคิดหนักเรื่องชื่ออีกครั้งแน่นอน…

“ขอบคุณผู้อาวุโส!”

เมื่อได้ยินว่าหลี่จิ่วเต้าตกลงกับชื่อนี้ เซี่ยเหยียนก็แย้มยิ้มกว้างขึ้นอีก

นางยกคันธนูในมือขึ้นและเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ต่อจากนี้ไปข้าจะเรียกเจ้าว่าคันศรราชัน!”

ในขณะนี้ กระแสไออุ่นดูเหมือนจะไหลเข้าสู่ร่างกายของนางผ่านมือ และดูเหมือนว่านางจะมีความเกี่ยวข้องอันใกล้ชิดกับคันธนูมากขึ้น!

“ข้าจำนายท่านได้แล้ว”

เซี่ยเหยียนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา นางนึกถึงคัมภีร์โบราณที่เคยอ่านตอนก่อน ยิ่งยศของอาวุธวิเศษสูงเท่าใดก็ยิ่งมีจิตวิญญาณมากขึ้นเท่านั้น และมีคำกล่าวว่ามันจำนายของมันได้

หลังจากที่จำนายของมันได้แล้ว ก็จะไม่มีใครใช้คันธนูนี้ได้นอกจากนาง

ในสถานการณ์นี้ มันคล้ายกับบันทึกโบราณที่จดจำเจ้านาย นางเหมือนจะผสานเป็นหนึ่งกับคันธนู นางคือธนูและธนูก็คือนาง!

“เมี้ยว~”

ลั่วสุ่ยส่งเสียงร้องด้วยความอิจฉา

เมื่อใดกันผู้อาวุโสจึงจะมอบอาวุธวิเศษให้กับนางบ้าง!

“เอาละ ฝึกฝนให้หนัก และมุ่งมั่นเพื่อไปสู่ระดับต่อไป!”

หลี่จิ่วเต้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ข้าจะฝึกฝนอย่างหนักแน่นอน!”

เซี่ยเหยียนพยักหน้าและใช้คันศรราชันโลดแล่นในเนินเขาเขียว มองหาเหยื่อและฝึกยิงธนู

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งผ่านไปแล้วสองวัน

ยามเช้าตรู่ แสงตะวันลอดผ่านสายหมอก สะท้อนแสงตะวันหลากสีส่องลงมายังพื้นโลก

เซี่ยเหยียนตื่นจากฝันที่เต็มไปด้วยพลัง รอยยิ้มร่าเริงบังเกิดขึ้นบนใบหน้าของนาง

ตั้งแต่ได้พบกับหลี่จิ่วเต้า นางไม่รู้เลยว่าตนเองมีความสุขและสนุกสนานมากเพียงใด!

เสี่ยวหลานคอยอยู่เคียงข้างเด็กสาวแต่เนิ่น ๆ เมื่อเห็นนางตื่นขึ้นก็รีบช่วยพยุงกายขึ้นมาล้างหน้าล้างตา

“ไม่ใช่ว่าบอกไปแล้วหรือเสี่ยวหลาน เจ้าไม่ต้องทำอย่างนี้อีกต่อไป แค่ฝึกฝนให้หนักก็พอ”

เซี่ยเหยียนพูดอย่างอับจนหนทาง

เด็กสาวปฏิบัติต่อเสี่ยวหลานเหมือนน้องสาว และเนื่องจากนางกลายเป็นศิษย์สายตรงของเจ้าสำนัก นางจึงจัดให้เสี่ยวหลานฝึกฝนในสำนักไท่หัวได้

แต่เสี่ยวหลานยังคงทำเช่นตอนอยู่ในวังทุกวัน อยู่ข้างเตียงตั้งแต่หัวค่ำและรอให้นางลุกขึ้นไปล้างหน้า

“ฮิ ๆ ข้าชินแล้วเจ้าค่ะ นอกจากนี้การปรนนิบัติท่านก็ไม่ได้ทำให้การฝึกฝนของข้าล่าช้าแต่อย่างใด ข้าปรนนิบัติท่านเสร็จก็ไปฝึกต่อ เพราะอย่างนั้นแล้วข้าสบายมากเจ้าค่ะ!!”

เสี่ยวหลานหัวเราะ

“ศิษย์พี่ บิดาของท่านอยู่ที่นี่แล้ว ตอนนี้เขากำลังรอศิษย์พี่อยู่ที่ห้องโถง!”

ศิษย์หญิงคนหนึ่งพลันวิ่งเข้ามา

“ท่านพ่ออยู่ที่นี่หรือ”

เซี่ยเหยียนตกตะลึงด้วยไม่คาดคิด

แต่ในไม่ช้า นางก็เข้าใจว่าเหตุใดท่านพ่อถึงมาที่นี่

“เจ้าหนิงเจี๋ยนั่นไปสู่ขอแต่งงานจริง ๆ สินะ!”

ท่านพ่อคงไม่มาหาโดยไม่มีปัญหาใด ๆ นับประสาอะไรกับการมาด้วยตัวเองเช่นนี้ นางนึกถึงหนิงเจี๋ยทันที องค์ชายนั่นเคยบอกว่าจะไปอาณาจักรเซี่ยเพื่อขอแต่งงานอีกครั้ง

“ไปกันเถิด”

นางกับเสี่ยวหลานมาถึงห้องโถงใหญ่ ในเวลานี้เจ้าสำนักไท่หัวกำลังสนทนากับบิดาของนางอยู่

เจ้าสำนักให้การดูแลเขาเป็นอย่างดี ช่างเป็นเกียรติยิ่งนัก จักรพรรดิเซี่ยคิดไม่ถึงมาก่อน ผู้เป็นบุตรสาวต้องมีความสำคัญมากในสำนักไท่หัว มิฉะนั้น ชายแก่อย่างเขาจะคู่ควรกับการต้อนรับเช่นนี้ได้อย่างไร

อาณาจักรเซี่ยไม่คุ้มค่าแก่การกล่าวถึงต่อหน้าสำนักไท่หัวเลย…

“เซี่ยเหยียนมาแล้ว ฮ่า ๆ คุยกับพ่อเจ้าดี ๆ เล่า”

เจ้าสำนักหัวเราะเบา ๆ และเดินออกจากห้องโถง เสี่ยวหลานก็ตามไปด้วย ยามนี้จึงเหลือเพียงเซี่ยเหยียนกับจักรพรรดิเซี่ยในห้องโถงเท่านั้น

“ท่านพ่อ เหตุใดถึงมาด้วยตัวเองเล่า การเดินทางนั้นยาวไกลนัก หากต้องการอันใดก็ค่อยส่งคนมาแจ้งเหยียนเอ๋อร์ก็ได้ แล้วข้าจะกลับไปหาท่านเอง…”

เซี่ยเหยียนเป็นทุกข์มากเมื่อเห็นท่าทางลำบากใจของจักรพรรดิเซี่ย

อาณาจักรเซี่ยอยู่ไกลจากสำนักไท่หัวมาก ซ้ำยังไม่มีวงเวทเคลื่อนย้าย เขาคงเดินทางอย่างยาวนานจนไม่ได้หยุดพัก ทำให้ตามเนื้อตัวของผู้เป็นบิดาเต็มไปด้วยฝุ่น

“พ่อเกรงว่าลูกจะไม่กลับน่ะสิ…”

จักรพรรดิเซี่ยถอนหายใจ “เหยียนเอ๋อร์ พ่อต้องขอโทษเจ้า ข้าไม่ได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้…”

เขายังให้อภัยตัวเองไม่ได้

ในฐานะจักรพรรดิของอาณาจักร เขากลับไม่สามารถแม้แต่จะปกป้องธิดาของตัวเองได้ เขาช่างไร้ความสามารถและไร้อำนาจโดยแท้

นี่เป็นปัญหาทั่วไปของจักรพรรดิ เขามีภาระคอยถ่วงมากเกินไปและมักไม่สามารถทำอะไรได้ตามความต้องการ

“ท่านพ่อ เหยียนเอ๋อร์รู้และเข้าใจว่าทำไมท่านถึงมาที่นี่ แต่ไม่ต้องกังวลไป อาณาจักรเซี่ยจะไม่เป็นไร”

เด็กสาวมองไปที่จักรพรรดิเซี่ย และเอ่ยอย่างมั่นใจพร้อมแววตามุ่งมั่น