พานไซ่หลานชายจากบ้านเดิมของโหวฮูหยินจะมาเรียนหนังสือที่สำนักศึกษาหลวง

มีหลานสาวจากบ้านเดิมของโหวฮูหยินร่วมทางมาด้วย

คนมาถึงแล้วจะพักอยู่ที่ไหน

โหวฮูหยินแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว

ตอนฉังเคอเล่าเรื่องนี้ให้หวังซีฟังนั้น นางกำลังนั่งกัดลูกท้อกินอยู่ใต้ซุ้มองุ่นที่เพิ่งแตกหน่อใหม่อยู่ในลานบ้านของหวังซี

“ครานี้ไม่แน่ว่าพี่สาวรองอาจต้องสละที่ให้คุณหนูสกุลพานจริงๆ แล้วก็เป็นได้!” ตอนนางพูดถ้อยคำนี้ดวงตาทั้งสองข้างเป็นประกาย ท่าทางคล้ายกำลังดูละครเรื่องสนุกอยู่

หวังซีรู้สึกว่านางช่างน่าขบขันยิ่ง

ปกติเห็นนางก้มหน้าก้มตา สงบเสงี่ยมไม่ค่อยพูด ดูเป็นเด็กสาวค่อนข้างขี้อายและสงวนท่าที แต่บัดนี้พอมาถึงสวนหิมะงาม นางก็คล้ายกับเปลี่ยนเป็นคนละคน นอกจากจะพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด และแสดงอารมณ์ความรู้สึกทุกอย่างออกมาทางสีหน้าอย่างเต็มที่แล้ว ยังดูกระฉับกระเฉง ชอบหัวเราะชอบกิน ประหนึ่งเด็กน้อยคนหนึ่งก็ไม่ปาน

หวังซีหยิบผ้าเปียกผืนหนึ่งให้ฉังเคอเช็ดมือ กล่าวอย่างไม่ใส่ใจนักว่า “เจ้าก็กล่าวเกินจริงไปแล้ว! ก็แค่ไม่รู้จะจัดที่พักอย่างไรเท่านั้น ไม่ถึงกับ ‘แทบบ้า’ หรอกกระมัง!”

ฉังเคอรับผ้ามา ยิ้มตาหยีกล่าวขอบคุณนาง เช็ดมือไปด้วย พูดไปด้วยว่า “เจ้าไม่รู้อะไร หากมิใช่เพราะใต้เท้าพาน ไม่รู้ว่าตระกูลพานจะถูกเหยียบย่ำจนกลายเป็นอะไรไปแล้ว ท่านป้าสะใภ้ใหญ่เห็นพี่ชายคนโตผู้นี้เป็นความรุ่งโรจน์มาโดยตลอด จึงรักใคร่พี่น้องสกุลพานสองคนนั้นมากเป็นพิเศษ ทุกครั้งที่เอ่ยถึงพวกเขาสองคน ท่านป้าสะใภ้ใหญ่เสมือนได้รับเกียรติไปด้วย ราวกับสองพี่น้องตระกูลพานต่างหากที่เป็นบุตรชายหญิงของนาง ยิ่งไปกว่านั้น พานไซ่เป็นซิ่วไฉตั้งแต่อายุยังน้อย ทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลพานล้วนฝากฝังไว้ที่เขาแล้ว กล่าวว่าเป็นแก้วตาดวงใจของท่านป้าสะใภ้ใหญ่ก็ไม่เกินจริงนัก คนอื่นๆ ของตระกูลพานมาท่านป้าใหญ่อาจแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ได้ แต่พานไซ่มา อย่าว่าแต่พี่สาวรองเลย เกรงว่าแม้แต่พี่ชายสี่กับพี่ชายห้าก็ต้องสละที่ให้เขาด้วยเช่นกัน”

กล่าวถึงตรงนี้ นางนึกถึงตัวเอง อดทำหน้าขื่นไม่ได้ กล่าวว่า “ท่านย่าคงไม่ให้พี่สาวรองเข้าไปอยู่ที่เรือนหยกวสันต์ด้วยหรอกกระมัง กล่าวตามจริงแล้ว เรือนหยกวสันต์ก็คับแคบไปสักหน่อยจริงๆ ก่อนหน้านี้ท่านย่าตั้งใจจะให้ข้าเข้าไปอยู่ที่ห้องกั้นข้างๆ ห้องชั้นในของนาง สุดท้ายเห็นว่าข้าโตแล้ว บางเรื่องไม่ค่อยสะดวกจริงๆ จำต้องหาห้องที่เรือนปีกให้ข้าหนึ่งห้อง ด้วยเหตุนี้ สาวใช้ใหญ่ข้างกายท่านย่าสองคนจึงต้องเบียดเสียดอยู่ด้วยกัน พี่สาวรองมีคนปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายมากกว่าข้า หากนางย้ายเข้าไปอยู่ด้วยอีกคน ข้าว่าสาวใช้เด็กของท่านย่าคงต้องเบียดเสียดกันอยู่ห้องละห้าถึงหกคนเป็นแน่”

หวังซีเคยลิ้มลองรสชาตินี้มาก่อน เอ่ยด้วยความรู้สึกเห็นใจเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้ว่า “นั่นก็ช่วยไม่ได้แล้ว ผู้ใดใช้ให้จวนหย่งเฉิงโหวตั้งอยู่ที่เขตเสี่ยวสือยงด้วยเล่า หากอยู่ที่อื่น ไม่แน่ว่าอาจขยับขยายให้กว้างขวางกว่านี้ไปนานแล้ว”

เพื่อนบ้านซ้ายขวาแต่ละคนล้วนมีหน้ามีตากว่าจวนหย่งเฉิงโหวทั้งสิ้น ต่อให้จวนหย่งเฉิงโหวอยากซื้อบ้านมาขยับขยายจวน ก็ต้องมีที่ด้วยถึงจะทำได้

ฉังเคอถอนหายใจ กล่าวว่า “ยังคงเป็นจวนจ่างกงจู่และจวนเจิ้นกั๋วกงที่เก่งกาจ ด้านหลังจวนจ่างกงจู่ไม่พอทำเป็นสวนดอกไม้ ก็เพียงขยับไปกินพื้นที่ซอยเอ้อเถียวครึ่งถนน พื้นที่จวนเจิ้นกั๋วกงไม่เพียงพอ ก็ขยับไปกินพื้นที่ซอยซ่วนเหมียวข้างๆ อีกครึ่งหนึ่ง กล่าวไปกล่าวมา ยังคงเป็นจวนของพวกเราที่เก่งกาจไม่เท่าผู้อื่น”

หวังซีถามอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า “ตระกูลพานรู้หรือไม่ว่าจวนหย่งเฉิงโหวคับแคบ”

“รู้!” ฉังเคอพยักหน้า จิ้มลูกหลี[1]จากจานผลไม้มาอีกชิ้นหนึ่ง “ตอนท่านปู่เสียชีวิตตระกูลพานส่งคนมาร่วมแสดงความเสียใจ ตอนนั้นคนตระกูลพานยังพูดว่า พวกลูกพี่ลูกน้องชายของข้าล้วนโตกันแล้ว ต้องพิจารณาเรื่องแต่งงานสร้างครอบครัว ความหมายโดยนัยก็คือให้ท่านลุงใหญ่แยกครอบครัวของข้าออกไป แต่ท่านพ่อของข้าไม่อยากไปเป็นชาวไร่ที่ชานเมือง จึงแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าท่านลุงใหญ่และท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของข้าคิดอย่างไร ก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน ครอบครัวของข้าจึงรั้งอยู่ที่นี่” พูดจบ นางถอนหายใจยาวเหยียดออกมาครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นอย่างปวดใจว่า “ข้าคิดว่าข้าคงอยู่เรือนหยกวสันต์ได้ไม่นาน ต้องวางแผนเสียแต่เนิ่นๆ ถึงจะใช้การได้ ไม่รู้ว่าครั้งนี้หากข้าแสร้งร้องไห้อีกจะยังได้ผลอยู่หรือไม่” จากนั้นถอนหายใจ เฮ้อ หนักๆ ออกมาครั้งหนึ่ง กินลูกหลีเข้าปากไป

หวังซีเห็นนางชอบ จึงเติมลูกหลีให้นางอีกผลหนึ่ง “เจ้าลองชิมดู ลูกหลีนี้รสชาติไม่เลวเลย ประเดี๋ยวข้าแบ่งให้เจ้าเอากลับไปด้วยสักสองสามลูก”

ฉังเคอเกรงใจเป็นอย่างยิ่ง เอ่ยปฏิเสธไม่หยุด กล่าวว่า “ตอนนี้ข้าพักอยู่ที่เรือนหยกวสันต์ อย่าเลยจะดีกว่า”

หวังซีพลันเข้าใจขึ้นมาในทันที

นางมีชีวิตอยู่ภายใต้สายตาของผู้ใหญ่ มีของกินของใช้ดีๆ อะไร ตามหลักแล้วล้วนต้องแสดงความกตัญญูต่อผู้ใหญ่ก่อน แต่ลูกหลีนี้เป็นของหวังซี เอาไปเยอะ นางก็รู้สึกผิดต่อหวังซี แต่หากเอาไปน้อย ก็ไม่เพียงพอให้แสดงความกตัญญูต่อฮูหยินผู้เฒ่า มิสู้ไม่เอาไปดีกว่า

“ไม่เป็นไร!” หวังซีกล่าวยิ้มๆ “ข้าเองก็ควรแสดงความกตัญญูต่อฮูหยินผู้เฒ่าเช่นกัน เพียงแต่ว่าลูกหลีนี้เพิ่งมาถึง ข้าจึงเอามารับรองเจ้าก่อน ประเดี๋ยวตอนเจ้ากลับ ช่วยข้าเอาไปฝากฮูหยินผู้เฒ่าสักหน่อยก็เหมือนกัน”

ฉังเคอยังคงรู้สึกเกรงใจเป็นอย่างมาก เศร้าสลดลงหลายส่วน ถึงแม้ตอนกลับเรือนหยกวสันต์นอกจากเอาลูกหลีกลับไปแล้วยังเอาลูกท้อไปด้วยก็ตาม แต่ก็ไม่มาหาหวังซีอีกเลยติดต่อกันหลายวัน

แรกเริ่มหวังซีมิได้ใส่ใจ คิดว่าฉังเคอมีธุระอื่นให้ต้องทำ ตอนไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่านางถึงค้นพบว่าฉังเคอที่เพิ่งสนิทสนมกันเล็กน้อยนั้นเริ่มหลบเลี่ยงนาง ถึงได้รู้สึกถึงความผิดปกติ ประกอบกับคนรำกระบี่ก็ไม่ปรากฏตัวออกมาให้เห็นอีกเลย หลงจู๊ใหญ่ที่ไปสืบข่าวคราวก็ยังไม่กลับมารายงานผล นางไม่มีอะไรทำ จึงอดประหลาดใจกับท่าทีของฉังเคอไม่ได้ หาโอกาสหนึ่งไปสอบถามนาง “นี่เจ้าเป็นอะไรไป ระยะนี้มีเรื่องยุ่งมากหรือ”

ฉังเคอก้มหน้าลงด้วยท่าทางไม่กล้ามองนาง เสียงพูดเบาประหนึ่งยุงบิน “รอข้าปักผ้าเช็ดหน้าสองผืนนี้เสร็จแล้วค่อยไปเล่นกับเจ้า”

หวังซีเป็นคนฉลาด ขบคิดเพียงครู่เดียวก็เข้าใจถึงสาเหตุที่นางไม่ไปเที่ยวเล่นกับตนได้ทันที

นางรู้สึกเห็นใจฉังเคอเล็กน้อย

ฉังเคออยู่ในบ้านไม่ได้รับความโปรดปรานขนาดนี้ เบี้ยรายเดือนก็ย่อมไม่มากมายอะไร ได้รับลูกหลีและลูกท้อจากนางแล้วไม่มีของขวัญอะไรตอบแทน ได้แต่ทำเรื่องที่ตัวเองทำได้อย่างการปักผ้าเช็ดหน้ามอบให้นางสองผืน ถึงจะกล้าไปเล่นกับนางต่อได้

ข้างกายหวังซีเต็มไปด้วยคนคิดประจบเอาใจนางเพื่อหวังผลประโยชน์

มนุษย์เดินสู่ที่สูง สายน้ำไหลลงที่ต่ำ

นางไม่รังเกียจคนที่มีความคิดเช่นนี้ บางครั้งยังจะเปิดประตูให้คนเหล่านั้นสะดวกสบายขึ้นด้วยซ้ำ

เนื่องจากการประจบเอาใจนางก็ถือเป็นความสามารถประเภทหนึ่ง

ที่ทำให้นางรังเกียจก็คือคนที่ได้รับผลประโยชน์แล้วก็ยังไม่รู้จักขอบคุณ คิดว่านางเป็นคนโง่งมประเภทนั้น

ความจริงแล้วนางมิได้ให้ของดีอะไรแก่ฉังเคอเลย ทว่าฉังเคอกลับเก็บเรื่องเล็กน้อยที่ไม่เพียงพอให้เอ่ยถึงเรื่องนี้ไว้ในใจ หวังซีรู้สึกว่านางเป็นคนคบหาได้ผู้หนึ่ง

นางกระซิบกล่าวกับฉังเคอยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นคราวหน้าข้าไม่ให้เจ้าเอาของกลับมาอีกแล้ว กินที่เรือนข้าให้เสร็จแล้วค่อยกลับมา”

นี่ค่อนข้างผิดจากขนบดั้งเดิม

ฉังเคอเบิกดวงตากลมโต

หวังซีจึงหันไปยิ้มให้นาง กระซิบกล่าว “สกุลหวังของพวกข้าก็มิใช่ตระกูลยากจนข้นแค้นอะไร”

รู้ความไม่สะดวกของนาง

ฉังเคออมยิ้ม พยักหน้าไม่หยุด ท้ายที่สุดกล่าวขึ้นว่า “ข้าปักเสร็จแล้วหนึ่งผืน อีกผืนก็น่าจะเสร็จในไม่ช้า ถึงเวลาจะเอาไปให้เจ้าพร้อมกัน”

ผลงานเย็บปักที่นางมอบให้คราก่อนก็งดงามมาก ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นความสามารถเด่นของฉังเคอ

หวังซียิ้มแย้มตอบว่า ได้ ยังกล่าวชื่นชมของที่นางมอบให้เมื่อคราวก่อนด้วย ถามนางว่าหากมีเวลาว่างช่วยปักถุงหอมให้สักถุงได้หรือไม่ “อย่างดอกกล้วยไม้ที่เจ้าปักให้เมื่อคราวก่อนชิ้นนั้นก็สวยมาก”

ฉังเคอประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง “อา! เจ้าชอบจริงๆ หรือ! ข้าเห็นเจ้าแต่งกาย งานเย็บปักล้วนเลิศเลอทั้งสิ้น ยังกลัวว่าเจ้าจะรังเกียจ”

“ไม่เลย ไม่เลย” หวังซีกล่าวยิ้มๆ “ตัวข้าเองไม่เก่งเรื่องพวกนี้ จึงชื่นชมคนที่เก่งเรื่องพวกนี้มากเป็นพิเศษ ข้าดูของของเจ้าแล้วปักได้ดียิ่งนัก”

ฉังเคอจึงรู้สึกว่าหวังซีเป็นคนดีมาก

นางกล่าว “ข้าเองก็มีแค่เรื่องนี้ที่พอจะอวดอ้างได้บ้าง”

ไม่เหมือนฉังหนิง ดีดผีพา[2]ได้ไพเราะ ส่วนฉังเหยียนก็วาดภาพทิวทัศน์ได้งดงาม

“เจ้าวางใจเถอะ ข้าปักผ้าเร็วยิ่งนัก” ฉังเคอกล่าว “ไม่นานก็ปักถุงหอมเสร็จแล้ว”

หวังซีไม่ได้ต้องการให้นางปักถุงหอมให้ตนจริงๆ รีบกล่าวขึ้นว่า “เจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ข้าจะวาดลายสักลายหนึ่งก่อน หรือไม่ พวกเราช่วยกันหารือว่าจะปักถุงหอมกันอย่างไรดีหรือไม่”

“ได้เลย ได้เลย!” ฉังเคอรับคำอย่างยินดี ยังเผลอกล่าวออกมาว่า “ท่านย่าอารมณ์ไม่ค่อยดี ข้าเองก็ไม่อยากป้วนเปี้ยนอยู่ต่อหน้านาง ทำให้นางรำคาญใจสักเท่าไรนัก แต่นอกจากที่นี่ ข้าก็ไม่มีที่ไหนให้ไปได้แล้ว ได้ไปเยี่ยมเจ้าที่เรือนนับว่าดีจริงๆ”

หวังซีรู้สึกอดสู ไม่คาดคิดว่าชะตาของฉังเคอจะลำบากถึงเพียงนี้

นางครุ่นคิดว่าเมื่อไรจะได้ย้ายบ้าน

คิดไม่ถึงว่าวันต่อมาฉังเคอจะเอาสะดึงและปลอกนิ้วสำหรับเย็บปักมาหารือกับนางเรื่องจะปักถุงหอมลายอะไรดี

หวังซีถึงรู้ว่าโหวฮูหยินไม่เพียงจัดให้คุณชายสี่ฉังไปอยู่ที่เรือนของคุณชายห้าฉังชั่วคราวก่อนเท่านั้น ยังคิดจะให้ฉังหนิงไปอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าด้วย

ฮูหยินผู้เฒ่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก อยากให้ฉังหนิงไปเบียดอยู่กับฉังเหยียน

“แต่ครั้งนี้คุณหนูพานมาเพื่อดูตัวกับตระกูลของใต้เท้าหลิวรองเสนาบดีกรมโยธา” ฉังเคอบอกหวังซี “คุณหนูพานมาครานี้อย่างไรก็ต้องมีผู้อาวุโสอยู่เป็นเพื่อนด้วยคนหนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ไม่อาจละเลยคุณหนูพาน เพราะฉะนั้นครั้งนี้ต่อให้พี่สาวรองไม่ยินยอมอย่างไรก็ไม่มีทางเลือกแล้ว แต่ถ้าเป็นเช่นนี้ พี่สาวสามถูกลากมาเกี่ยวข้องด้วย นางย่อมไม่พอใจเป็นแน่ เรื่องนี้ ข้าคิดว่าอย่างไรก็ยังไม่จบ ต้องมีเรื่องเกิดขึ้นอีก”

หวังซีกลับอยากรู้เรื่องดูตัวของคุณหนูพาน นางถาม “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

นางให้ชิงโฉวไปสืบข่าว ทว่าสืบข่าวคราวอะไรไม่ได้เลย

ฉังเคอหัวเราะคิกเจือความเจ้าเล่ห์เล็กๆ เอาไว้ “เมื่อเช้าตรู่ตอนท่านป้าสะใภ้ใหญ่มาคุยกับท่านย่า ข้านั่งปักผ้าเช็ดหน้าอยู่ข้างๆ”

มิน่าข่าวของนางถึงฉับไวนัก

คาดว่าในยามปกติฮูหยินผู้เฒ่าก็ดี โหวฮูหยินก็ดี ล้วนไม่เห็นนางอยู่ในสายตา

หวังซีถอนหายใจอยู่ในใจ

ฉังเคอกลับกล่าวต่อว่า “เรื่องนี้ยังมิได้กำหนดแน่ชัด ตระกูลหลิวเพียงเสนอความคิดนี้ขึ้นมา ตระกูลพานเองก็อยากคว้าการเกี่ยวดองครั้งนี้เอาไว้ แต่หลิวฮูหยินผู้เฒ่าเคยเห็นคุณหนูพานครั้งเดียวตอนนางอายุหกถึงเจ็ดขวบ ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ ไม่รู้ว่าคุณหนูพานเป็นอย่างไรบ้างแล้ว คุณชายหลิวแต่งสะใภ้สองบ้าน[3] ตระกูลหลิวย่อมไม่ยอมกำหนดงานแต่งงานอย่างง่ายดาย ตระกูลพานเป็นตระกูลบัณฑิต ต่อให้ในใจอยากได้มากเพียงใด ก็ไม่อาจแสดงออกอย่างชัดเจนได้ จึงอ้างว่าคุณชายพานต้องมาเรียนหนังสือที่สำนักศึกษาหลวงในจิงเฉิง แต่ความจริงแล้วเป็นการส่งคุณหนูพานมาให้ตระกูลหลิวดูตัวที่จิงเฉิงต่างหาก”

ซึ่งก็หมายความว่า การเกี่ยวดองครั้งนี้ยังไม่เริ่มขั้นตอนแรกด้วยซ้ำ!

หวังซีมองชิงโฉวครั้งหนึ่ง บอกชิงโฉวเป็นนัยว่า ดูความสามารถของผู้อื่นอย่างฉังเคอคนนี้

ชิงโฉวดวงหน้าแดงก่ำ

หวังซีกล่าว “ถ้าหากเป็นเช่นนี้ ก็ต้องมีผู้อาวุโสอยู่เป็นเพื่อนด้วยสักคนหนึ่งจริงๆ ถึงจะถูก ไม่แปลกที่พี่น้องสกุลพานต้องมาพักอยู่ที่จวนหย่งเฉิงโหวเท่านั้น!”

ส่วนเรื่องที่ฉังหนิงจะทำอย่างไร ฉังเหยียนจะมีปฏิกิริยาอย่างไร นางไม่มีอำนาจไปสั่งการใครได้ สรุปแล้วไปๆ มาๆ ก็เพียงแค่เล่ห์เพทุบายไม่กี่อย่างเท่านั้นเอง

หวังซีห่วงเรื่องที่ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรจากคนรำกระบี่ข้างบ้านมากกว่า

นางครุ่นคิด เอ่ยถามฉังเคอตรงๆ ว่า “เจ้าเคยเห็นคุณชายรองสกุลเฉินหรือไม่”

“เคยเห็น!” ฉังเคอตอบ “ตอนเด็กพวกข้าเจอกันบ่อยๆ พี่ชายสามของข้าอยากไปเล่นกับสองพี่น้องสกุลเฉิน จึงชอบพาพวกข้าไปด้วย เนื่องจากถ้าเขาพาพวกข้าไปด้วย สองพี่น้องสกุลเฉินก็ไม่อาจสนใจแต่จะเล่นของตัวเอง จะเอาลูกกวาดหรือไม่ขนมมาหลอกล่อให้พวกข้านั่งอยู่ข้างๆ ก่อน พี่ชายสามจะฉวยโอกาสนั้นพูดคุยกับพวกเขา เขาจึงได้สนิทสนมกับสองพี่น้องสกุลเฉินด้วยประการฉะนี้”

หวังซีเบิกดวงตากว้างอ้าปากค้าง

นางเคยเห็นคนใช้วิธีนี้เข้าหาพี่ชายใหญ่ของนางมาก่อน คิดไม่ถึงว่าคุณชายสามฉังจะใช้อุบายนี้ต่อหน้าสองพี่น้องสกุลเฉินด้วย

……………………………………………………………………..

[1] ลูกหลี สาลี่

[2] ผีพา เครื่องดนตรีประเภทสายของจีนชนิดหนึ่ง

[3] แต่งสะใภ้สองบ้าน คือการแต่งภรรยาสองคนในเวลาเดียวกัน เนื่องจากบ้านหลักไม่มีทายาทชาย ทายาทชายบ้านรองจึงแต่งภรรยาสองคน โดยภรรยาทั้งสองมีตำแหน่งเท่าเทียมกัน ภรรยาคนหนึ่งถือเป็นสะใภ้ของบ้านหลักและภรรยาอีกคนหนึ่งถือเป็นสะใภ้ของบ้านรอง

ตอนต่อไป