จวนหย่งเฉิงโหวมีชื่อเสียงมากขนาดนี้ ยังต้องประจบตระกูลเฉิน!

หวังซีวางลำดับจวนเจิ้นกั๋วกงในใจใหม่อีกครั้ง

ส่วนฉังเคอยังคงกล่าวอยู่ตรงนั้นต่อ “แต่พอถึงวัยแยกโต๊ะชายหญิงพวกเราก็ไม่ค่อยได้ไปข้างนอกกับพี่ชายสามฉังแล้ว คุณชายทั้งสองท่านของตระกูลเฉินก็ได้เจอเพียงไกลๆ ตอนงานวันคล้ายวันเกิดของจ่างกงจู่เท่านั้น”

“เช่นนั้นเจ้าน่าจะรู้กระมังว่าเขามีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร” หวังซีสืบเรื่องของคนข้างบ้านต่อ

“รู้!” ฉังเคอกล่าวยิ้มๆ “พวกเขาสองพี่น้องมีรูปร่างผอมสูง คิ้วกระบี่ดวงตาเป็นประกายสดใสดุจดวงดารา หล่อเหลายิ่งนัก”

นี่…พูดก็เท่ากับไม่ได้พูดนี่นา!

หวังซีถาม “มิใช่พี่น้องท้องเดียวกัน น่าจะมีความต่างบ้างกระมัง”

“ใช่ๆๆ!” ฉังเคอยิ้มตาหยีพยักหน้าหงึกๆ “คุณชายใหญ่สกุลเฉินสุภาพอ่อนโยน ไม่ว่ากับใครก็ปฏิบัติตัวอย่างมีมารยาท ทำให้คนรู้สึกราวกับนั่งอยู่ท่ามกลางสายลมของฤดูใบไม้ผลิ ตอนเด็กพวกข้าล้วนชอบเล่นกับเขา ยามขี่ม้าเขามักจะย้ำกำชับบ่าวชายข้างกายให้ดูแลพวกข้าด้วย อย่าให้พวกข้าวิ่งไปที่ทุ่งหญ้า เวลากินก็จะถามว่าพวกข้าชอบกินอะไร ยิ่งไปกว่านั้นพอพวกข้าบอกไปเขาก็จดจำเอาไว้ ครั้งถัดไปหากมีขนมหวานหรือผลไม้ที่พวกข้าชอบกิน เขาจะให้สาวใช้ข้างกายเอามารับรองพวกข้า ตอนไปเล่นที่ลานน้ำแข็งก็เหมือนกัน คอยดูว่าพวกข้าสวมใส่เสื้อผ้าหนาพอหรือไม่ บ้างก็กลัวพวกข้าจะลื่นล้มบนน้ำแข็ง เขาเป็นคนดีจริงๆ!”

แต่ที่ข้าถามถึงคือคุณชายรองสกุลเฉิน มิใช่คุณชายใหญ่สกุลเฉิน!

หวังซีมองฉังเคอด้วยสีหน้าปราศจากความรู้สึก จนกระทั่งนางได้สติคืนกลับมา หันมายิ้มให้หวังซีด้วยความกระดากอาย รีบเอ่ยถึงคุณชายรองสกุลเฉิน นางถึงได้ส่งดวงหน้าเปื้อนยิ้มให้ฉังเคอ

“คุณชายรองค่อนข้างถือตัว” ฉังเคอกล่าว กระแสเสียงเจือความตรึกตรองหลายส่วน “เขาเป็นบุตรชายเพียงหนึ่งเดียวของจ่างกงจู่ แม้แต่องค์ชายรองยังยอมลงให้เขา องค์ชายพระองค์อื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถึงแม้ว่าเขาเองก็ดูแลพวกข้าเช่นกัน แต่ทุกครั้งล้วนไม่อดทน มักรู้สึกว่าพวกข้าน่ารำคาญ บางครั้งเวลาคุณชายใหญ่เฉินย้ำกำชับพวกข้า แม้แต่คุณชายใหญ่เฉินเขายังดูแคลนเลย แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากองค์ชายหลายพระองค์ล้วนชอบเล่นกับเขา นอกจากองค์ชายแปดและองค์ชายเก้าที่อายุน้อยข้ายังไม่เคยเจอแล้ว องค์ชายพระองค์อื่นๆ ข้าล้วนเคยเจอมาแล้วทั้งสิ้น…

…อาจด้วยเหตุผลของอายุ องค์ชายใหญ่จึงไม่ค่อยเล่นกับพวกข้าสักเท่าไร ถึงแม้องค์ชายรองจะเล่นกับพวกข้า แต่เขาเป็นบุตรของฮองเฮา จึงไม่ต่างจากคุณชายรองเฉิน ถือตัวและไม่ค่อยสนใจพวกข้าเท่าไรนัก กลับเป็นองค์ชายสามที่ไม่ต่างจากคุณชายใหญ่เฉิน ดีกับผู้อื่นยิ่ง แต่คนที่หน้าตาหล่อเหลาที่สุดกลับเป็นองค์ชายสี่ สูงโปร่งดุจต้นอวี้[1]ท้าลม อากัปกิริยาสง่างาม มีความเป็นสุภาพบุรุษ ประหนึ่งผ่านการบ่มเพาะและขัดเกลามาแล้วเป็นอย่างดี…”

ดวงตาทั้งคู่ของฉังเคอเป็นประกายอีกครั้งหนึ่ง

หวังซีกลับจมอยู่ในภวังค์ความสงสัย

ถ้าองค์ชายสี่หล่อเหลาขนาดนั้นจริงๆ เช่นนั้นมิเท่ากับว่าคุณชายใหญ่เฉินและคุณชายรองเฉินต่างสู้องค์ชายสี่มิได้หรอกหรือ คนรำกระบี่ผู้นั้นหล่อเหลาปานนั้น หรือว่าจะมิใช่เฉินอิงและมิใช่เฉินลั่วด้วย!

แต่คนเป็นองค์ชายผู้หนึ่ง จะหล่อเหลาเพียงนั้นเชียวหรือ

จากข้อมูลที่บิดาของนางมอบให้นางมานั้น องค์ชายสี่ถือกำเนิดมาจากเหลียงผิน[2]

ปัจจุบันพระชายาที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานที่สุดคือซูเฟย

นางอดถามไม่ได้ว่า “ในวังหลังนั้นพระสนมเหลียงผินงดงามที่สุดอย่างนั้นหรือ”

ลูกถ้าไม่เหมือนบิดาก็คล้ายมารดา หรือไม่ก็ละม้ายทั้งสองฝ่าย

ผู้ใดจะรู้ว่าฉังเคอกลับชะงักไปเล็กน้อย กล่าวขึ้นอย่างกระดากอายว่า “ข้า…ข้าไม่เคยเห็นพระสนมเหลียงผินมาก่อน อย่างไรก็ตาม ข้าได้ยินว่าคนที่งดงามที่สุดในวังคือพระสนมหนิงผิน มารดาขององค์ชายเจ็ด แต่องค์ชายเจ็ดหน้าตาปานเด็กสาว ผิวขาวกว่าข้าเสียอีก ข้ายังคงรู้สึกว่าองค์ชายสี่หล่อเหลาเป็นธรรมชาติมากกว่า”

เอาเถอะ! จะหล่อเหลาหรือไม่หล่อเหลา ทั้งหมดล้วนเป็นความรู้สึกส่วนตัวของฉังเคอทั้งสิ้น

แต่องค์ชายสี่คงหน้าตาไม่เลวจริงๆ

หวังซีตัดสินใจไม่ถามเรื่องหน้าตาขององค์ชายทั้งหลายอีก นางดึงหัวข้อสนทนากลับมา สอบถามเรื่องของจวนจ่างกงจู่ต่อ “แล้วเจ้าสนิทสนมกับคนอื่นๆ ในจวนจ่างกงจู่หรือไม่”

“พูดได้แค่ว่าพอจะรู้จักหน้าค่าตาว่าเป็นอย่างไรเท่านั้น” ฉังเคอระลึกถึงคำพูดที่หวังซีเคยสอบถามนางในระยะนี้ รู้สึกว่าหวังซีดูสนใจเรื่องของจวนจ่างกงจู่มากเป็นพิเศษ คิดว่านางคงมีเรื่องอะไรต้องการขอความช่วยเหลือจากจ่างกงจู่ พึมพำกล่าว “แต่ข้ารู้ว่าผู้ใดสนิทสนมกับจ่างกงจู่ หากเจ้ามีอะไรต้องการขอความช่วยเหลือจากจ่างกงจู่ ขอนางช่วยออกหน้าให้เป็นดีที่สุด”

ชั่วขณะนั้นหวังซียิ่งรู้สึกนับถือฉังเคอเพิ่มมากขึ้น

นางคิดไม่ถึงว่าแม้แต่ข้อนี้ฉังเคอก็รู้ด้วย

“เจ้ารู้ได้อย่างไร” นางเบิกดวงตาโพลงด้วยความประหลาดใจ “คนผู้นั้นเป็นใคร”

ฉังเคอเผยเสียงหัวเราะ ฮ่าๆ อย่างสนิทสนมออกมาให้หวังซีเห็นอีกครั้ง สีหน้าเจ้าเล่ห์ กระซิบข้างหูนางว่า “งานวันคล้ายวันเกิดของจ่างกงจู่ นอกจากช่วงไว้ทุกข์สองสามปีนั่นแล้ว ข้าล้วนเข้าร่วมงานทุกปี หลี่หมัวมัวคนข้างกายจ่างกงจู่โปรดปรานข้าเป็นพิเศษ ทุกครั้งล้วนจัดให้ข้าไปนั่งอยู่ในโถงรับรองเล็กด้านหลังเรือนริมน้ำ ยังแอบให้คนยกนมแพะมาให้ข้าดื่มด้วย เจ้าไปร่วมงานวันคล้ายวันเกิดของจ่างกงจู่ครานี้ ข้าจะแนะนำหลี่หมัวมัวให้เจ้ารู้จัก” กล่าวถึงตรงนี้ นึกถึงเรื่องที่หวังซีอาจมีอะไรต้องการขอร้องจ่างกงจู่ขึ้นมา รีบกล่าวว่า “แต่ว่าหลี่หมัวมัวไม่ค่อยออกจากจวนเท่าไรนัก นอกจากในงานวันคล้ายวันเกิดของจ่างกงจู่แล้วข้าก็ไม่เคยเจอนางมาก่อน นางสงสารข้าที่ครั้งนั้นโดนองค์หญิงฟู่หยางดูถูกดูแคลน ถึงได้ดูแลข้าเป็นพิเศษ ข้าไม่รู้ว่าหากตั้งใจไปพบนางเป็นการเฉพาะ นางจะพบข้าหรือไม่…

…เพราะฉะนั้นข้าว่า หากเจ้าอยากพบจ่างกงจู่ มิสู้ไปหาเฉินซื่อฮูหยินของเฝิงหรูหัวหน้าหน่วยรักษาความสงบของเมืองหลวงทั้งห้าดีกว่า บิดาของนางเคยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยแผนกพืชผักของสำนักกิจการการเกษตร ได้ยินว่าตอนจ่างกงจู่ประสบเคราะห์ร้าย เขาเคยช่วยเหลือจ่างกงจู่มาก่อน ได้ยินว่าที่เฝิงหรูได้เป็นหัวหน้าหน่วยรักษาความสงบของเมืองหลวงทั้งห้า ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะอาศัยการแนะนำของจ่างกงจู่ ทุกครั้งที่จวนจ่างกงจู่จัดงานเลี้ยง ที่นั่งของเฝิงฮูหยินล้วนอยู่ใกล้จ่างกงจู่มากที่สุด ในเมืองหลวงก็เคยมีคนได้รับการสนับสนุนและแนะนำจากจ่างกงจู่ผ่านนางมาก่อนเช่นกัน หากเจ้ามีเรื่องอะไรก็ไปหานางได้”

สำนักกิจการการเกษตรมีหน้าที่ดูแลเรือกสวนไร่นาให้ราชวงศ์

แผนกพืชผัก ฟังดูไพเราะ แต่ความเป็นจริงก็คือการปลูกผักนั่นเอง

ฉังเคอยังกล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “เพียงแต่ข้าไม่รู้ว่าเฝิงฮูหยินชื่นชอบอะไรบ้าง เจ้าคงต้องให้พ่อบ้านของพวกเจ้าไปสืบดู!”

หวังซีรู้สึกผสมปนเปกันหลายอย่าง

เดิมคิดว่าฉังเคอเป็นเด็กน่าสงสารผู้หนึ่ง

คิดไม่ถึงว่าเด็กน่าสงสารผู้นี้จะรู้เรื่องในเมืองหลวงมากกว่าบิดาของนางเสียอีก

ไม่อาจประเมินผู้ใดต่ำไปจริงๆ!

หวังซีอดหยิกแก้มกลมๆ ของนางไม่ได้ กล่าวว่า “ข้ามีเรื่องขอร้องเจ้าเรื่องหนึ่ง ไม่รู้ว่าเจ้าจะมีเวลาว่างหรือไม่”

ฉังเคอไม่แม้แต่จะเอ่ยถามว่าเป็นเรื่องอะไร ก็รีบตอบว่า “ว่าง ข้ามีเวลาว่าง!”

นี่ถูกคนขายแล้วยังจะช่วยผู้อื่นนับเงินอีกนี่นา!

หวังซีถาม “เจ้ายังไม่รู้เลยว่าข้าจะให้เจ้าทำอะไร”

ฉังเคอยิ้มตาหยี พลางกล่าว “ข้างกายเจ้ามีคนมากความสามารถมากมายขนาดนั้นแต่ยังมาขอร้องข้า แสดงว่าต้องเป็นเพราะมีเพียงข้าเท่านั้นที่ช่วยทำให้ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มีอะไรที่ข้าต้องปฏิเสธด้วยเล่า”

ความเป็นจริงก็คือ นางเติบโตมาขนาดนี้ ยังไม่เคยมีคนมาขอความช่วยเหลือจากนางเลยสักคน

นางหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะช่วยเหลือคนที่ดีต่อนางได้บ้าง

“เจ้าบอกมาเถอะว่ามีเรื่องอะไร” นางกล่าวอย่างใจกว้าง

หวังซีกลั้นยิ้ม นึกถึงคำวิพากษ์วิจารณ์ถึงความหล่อเหลาขององค์ชายของนางนั่นแล้ว คาดว่าคงไม่ตกใจเรื่องที่ตนปีนขึ้นไปบนกำแพงเพื่อดูคนรำกระบี่ข้างบ้านหรอกกระมัง

นางหันไปกวักมือเรียกฉังเคอ กระซิบเล่าเรื่องที่ผ่านมาให้ฉังเคอฟัง

ฉังเคอมองหวังซีตาค้าง

“หากเจ้ารู้สึกว่าไม่เหมาะสม เช่นนั้นก็ช่างมันเถอะ” หวังซีลอบถอนใจอย่างผิดหวัง

นางคิดว่าตัวเองจะหาคู่หูได้คนหนึ่งแล้วเสียอีก

“ไม่ ไม่ ไม่” ฉังเคอตะลึงพรึงเพริดไปชั่วครู่อย่างห้ามไม่อยู่ กระทั่งได้สติกลับมา สายตาที่มองหวังซีเป็นประกายระยิบระยับ “ข้ายินดีช่วยเจ้า เพียงแต่ว่า พรุ่งนี้เช้าต้องไปคารวะท่านย่า หลังจากนั้นซือหมัวมัวมักจะให้ข้าช่วยทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้ท่านย่า ข้าไม่รู้ว่าจะเร่งมาทันเวลาหรือไม่!”

ให้ฉังเคอทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้ฮูหยินผู้เฒ่า?

ถ้าหากเป็นฉังหนิง ซือหมัวมัวคงไม่กล้าใช้นางตามใจชอบเช่นนี้หรอกกระมัง

แววตาของหวังซีไหวระริก กล่าวเสียงเบาว่า “หลายวันมานี้คนผู้นั้นก็ไม่ปรากฏตัวออกมาเช่นกัน ไม่แน่ว่าต่อไปอาจไม่ได้พบอีกแล้วก็เป็นได้ ช่วงนี้จึงไม่ได้เร่งด่วนนัก”

ฉังเคอกล่าวต่อ “จากที่เจ้าบอกมาคนผู้นี้หล่อเหลาถึงเพียงนี้น่าจะเป็นคุณชายใหญ่สกุลเฉินถึงจะถูก แต่คุณชายใหญ่สกุลเฉินไม่มีทางมาปรากฏตัวอยู่ที่ศาลากวางร้องอย่างแน่นอน เช่นนั้นหากมิใช่คุณชายรองสกุลเฉินก็คงเป็นคนข้างกายของเขา คนข้างกายของเขานั้นข้าเคยเห็นแค่ตอนเป็นเด็กเท่านั้น บัดนี้มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรนั้นยากจะบอกได้ อย่างไรก็ตาม อาจเป็นองครักษ์ข้างกายจ่างกงจู่ก็เป็นได้” นางกล่าว แล้วก็เอ่ยถามหวังซีอย่างฉงนเล็กน้อยว่า “ตอนนั้นเจ้าหาใครสักคนมาวาดภาพเหมือนของเขาได้มิใช่หรือ!”

“เหตุใดข้าถึงคิดไม่ถึงนะ!” หวังซีกล่าวอย่างแสนเสียดาย ให้คะแนนฉังเคอเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน “แต่ว่า ไป๋ซู่นั้นวาดดอกไม้วาดม้ายังพอไหว แต่ถ้าให้วาดคนแล้วธรรมดาสามัญยิ่ง”

ถ้าหากวาดไม่เหมือน จำคนผิดขึ้นมาคงวุ่นวายเป็นแน่

ฉังเคอเองก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องค่อนข้างวุ่นวายเรื่องหนึ่ง

นางปลอบใจหวังซีด้วยจิตใจผ่อนคลายว่า “เรือแล่นถึงหัวสะพานย่อมตั้งตรง[3] ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้คนผู้นั้นอาจปรากฏตัวออกมาให้เห็นอีกครั้ง พอข้าเห็น อาจเป็นคนที่ข้ารู้จักพอดีก็เป็นได้!”

หวังซีหัวเราะร่า รู้สึกว่าฉังเคอช่างเข้ากันได้ดีกับนิสัยของนางเป็นอย่างยิ่ง พลันเกิดความรู้สึกว่าการอยู่จวนหย่งเฉิงโหวก็ไม่แย่นัก รอได้พบซือจูแล้วอาจจะมีเรื่องสนุกอะไรเกิดขึ้นอีกก็เป็นได้

นางจึงเล่าเรื่องที่ตัวเองจะย้ายบ้านให้ฉังเคอฟัง บอกให้ฉังเคอไม่ต้องเป็นกังวล อดทนสักระยะหนึ่งไปก่อน “ข้ากลัวฮูหยินผู้เฒ่าและโหวฮูหยินจะคิดว่าข้าเข้าไปก้าวก่าย จึงอยากรอให้เรื่องนี้วุ่นวายมากขึ้นอีกสักหน่อยแล้วค่อยไปคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าและโหวฮูหยิน”

ฉังเคอกลับเข้าใจดี กล่าวว่า “เจ้าไม่อาจพูดเร็วเกินไปจริงๆ หาไม่แล้วท่านป้าสะใภ้รองจะต้องคิดว่าเจ้าเสแสร้งแกล้งทำเป็นคนดี และท่านป้าสะใภ้ใหญ่จะผลักเรื่องนี้ไปที่เจ้าทั้งหมด เจ้าอุตส่าห์ซ่อมแซมลานบ้านให้พวกข้า นอกจากพวกนางจะไม่ซาบซึ้งแล้ว อาจจะคิดว่าเจ้าเสแสร้งก็เป็นได้”

มิใช่ว่าเมื่อก่อนไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน

หวังซียิ่งให้ความสำคัญต่อฉังเคอมากขึ้น ดึงนางไปดูแผนผังสวนร่มหลิวที่ตัวเองวาดเอาไว้ก่อนหน้านี้ “เจ้าคิดว่าเป็นอย่างไร มีตรงไหนที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ เช่นนี้เจ้าก็จะได้ย้ายไปอยู่สวนร่มวสันต์ ให้คุณหนูซือไปอยู่สวนหิมะงาม”

ฉังเคอจึงรู้ว่าเพราะตัวเองหวังซีถึงได้เตรียมตัวจะไปคุยเรื่องนี้กับฮูหยินผู้เฒ่าเอาไว้ล่วงหน้า เห็นหวังซีเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ราวกับได้เข้าไปอยู่ที่สวนร่มหลิวแล้ว และอีกไม่นานนางก็จะได้เข้าไปอยู่สวนร่มวสันต์แล้วก็ไม่ปาน ไม่คาดคิดว่าเมื่อมองอย่างละเอียด หลังผ่านการปรับปรุงซ่อมแซมแล้ว สวนร่มวสันต์ที่อยู่ข้างๆ จะกลายเป็นลานบ้านที่น่าอยู่มากหลังหนึ่ง แปดถึงเก้าในสิบส่วนโหวฮูหยินจะต้องจัดให้คุณหนูพานเข้าไปอยู่ที่สวนร่มวสันต์ เกรงว่านางยังต้องอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่าต่อไป ฉังเคอไม่อาจทำให้หวังซีรู้สึกหดหู่ ได้แต่คร่ำครวญอยู่ในใจแทน สงบจิตใจลงมาดูแผนผังของหวังซีอีกครั้ง

อย่าว่ากระนั้นเลย นางค้นพบจุดที่ไม่เหมาะสมจุดหนึ่งจริงๆ

นางชี้ไปยังจุดที่หวังซีตั้งใจจะสร้างศาลา พลางกล่าว “ตรงนี้อยู่ใกล้จวนจ่างกงจู่มากเกินไป อาจต้องสงสัยว่าสอดแนมได้ อย่าสร้างศาลาเป็นดีที่สุด ปลูกดอกไม้ต้นไม้ดีกว่า”

หวังซีจำได้รางๆ ว่าราชสำนักมีกฎเกณฑ์เช่นนี้อยู่ นางตรึกตรอง หากคนรำกระบี่ผู้นั้นปรากฏตัวออกมาอีก นางจะกำจัดหญ้าข้างๆ ต้นหลิวระย้าแถวนั้นให้โล่งเตียน หาหินมาปู นำโต๊ะและม้านั่งหินมาวาง ทำเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ยามจำเป็นยังได้ดูคนรำกระบี่ข้างบ้านต่อไปด้วย

นางแก้ไขแผนผังอีกครั้ง รู้สึกว่าสมบูรณ์ดียิ่งแล้ว จึงไปพบฮูหยินผู้เฒ่ากับโหวฮูหยิน

…………………………………………………………………………..

[1] ต้นอวี้ ต้นยูคาลิปตัส

[2] ผิน พระสนมเอกในองค์จักรพรรดิมีศักดิ์รองจากฮองเฮา หวงกุ้ยเฟย กุ้ยเฟย และเฟยตามลำดับ

[3] เรือแล่นถึงหัวสะพานย่อมตั้งตรง เปรียบเปรยว่าทุกปัญหามีทางออกเสมอ

ตอนต่อไป