ณ เรือนหยกวสันต์ ภายในห้องริมสุดฝั่งตะวันตกของเรือนประธานที่ใช้สำหรับต้อนรับแขก ฮูหยินผู้เฒ่าและโหวฮูหยินจ้องมองแผนผังที่กางอยู่บนโต๊ะ ทั้งสองคนต่างหายใจไม่ออกเล็กน้อย

ปรับปรุงซ่อมแซมสวมร่มหลิวใหม่!

พวกนางเฝ้าฝันมาตลอด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เฉินลั่วค่อยๆ เติบโตขึ้น เฉินอวี๋ไม่อาจมาไล่ตีบุตรชายได้อีก และเนื่องด้วยเฉินลั่วไม่ถูกกับบิดามารดาจึงย้ายออกไป พอไม่มีบุตรหลานผู้มีอำนาจในเมืองหลวงเข้าออกจวนจ่างกงจู่บ่อยๆ ไม่มีเสียงดังมาจากศาลากวางร้องเหมือนเมื่อก่อนอีก สวนร่มหลิวก็ค่อยๆ กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง

มิใช่แค่พวกนาง แม้แต่หย่งเฉิงโหวเองก็เคยคิดเรื่องนี้ไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้งเช่นกัน

แต่ค่าใช้จ่ายสำหรับซ่อมแซมสวนร่มหลิวก็มิใช่ถูกๆ พวกเขาจะไปเอาเงินก้อนนี้มาจากที่ไหน

บัดนี้ มีโอกาสอันหาได้ยากยิ่งโอกาสหนึ่งมาวางอยู่ตรงหน้าพวกนาง

ฮูหยินผู้เฒ่าก้มหน้าลง ครู่ใหญ่แล้วก็ยังไม่พูดอะไร

โหวฮูหยินมองแล้วร้อนใจ อยากจะตอบตกลงแทนฮูหยินผู้เฒ่าเหลือเกิน

เช่นนี้ ตอนบุตรชายของนางแต่งงานก็ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องเรือนหอแล้ว

เวลาคนจากบ้านเดิมของนางมาเยี่ยมเยียน นางก็ไม่ต้องตระหนี่ถี่เหนียวไร้ซึ่งคุณสมบัติที่คนเป็นอาหญิงพึงกระทำแล้ว

โหวฮูหยินจึงดึงแขนเสื้อของฮูหยินผู้เฒ่าเบาๆ

ฮูหยินผู้เฒ่าคล้ายตื่นขึ้นมาจากภวังค์ในฉับพลัน สายตาที่มองหวังซีดูสับสนเล็กน้อย น้ำเสียงแหบแห้ง “เรื่องนี้ เจ้าได้ปรึกษากับบิดามารดาของเจ้าหรือยัง”

นางรู้ว่าสกุลหวังร่ำรวย แต่นี่มิใช่จำนวนน้อยๆ นางกลัวว่าหวังซีไม่รู้จักหนักเบา ตัดสินใจด้วยตัวเอง ทั้งยังมีความหวังว่านี่อาจเป็นสิ่งที่บุตรสาวผู้ซึ่งตกระกำลำบากอยู่ข้างนอกทว่ายังคงรักใคร่บิดามารดาของนางผู้นั้นยืมมือของหวังซีมาแสดงความกตัญญูต่อนาง

“เรื่องเช่นนี้ไม่ต้องปรึกษาท่านพ่อท่านแม่ของข้าก็ได้เจ้าค่ะ” หวังซีไม่รู้สิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าคิด มองจากมุมของนางแล้ว นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ไม่กระทบเนื้อไม่กระเทือนกระดูกเรื่องหนึ่งเท่านั้น นางตัดสินใจด้วยตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องไปรบกวนผู้อาวุโสในบ้าน ทั้งยังออกหน้ากระทำเรื่องต่างๆ ที่จวนหย่งเฉิงโหวแทนคนสกุลหวังได้เลย นางกังวลเพียงว่าตัวเองจะไม่เป็นที่น่าเชื่อถือในสายตาของคนจวนหย่งเฉิงโหว จึงไม่เห็นเรื่องของนางเป็นเรื่องจริงจัง นางยิ้มหวานหยดย้อยพลางกล่าว “ข้าให้หลงจู๊ใหญ่ของที่บ้านคำนวณมาแล้ว ซ่อมแซมลานบ้านเช่นนี้หนึ่งหลัง ต้องใช้เงินเจ็ดถึงแปดพันตำลึงโดยประมาณ ข้ามีเงินเก็บส่วนตัวอยู่ในโรงรับฝากเงินถึงกำหนดเวลาแล้ว ได้เอาออกมาใช้พอดี เพียงแต่ข้าได้ยินมาว่าการสร้างบ้านเรือนในจิงเฉิงมีกฎระเบียบ เกรงว่าข้าอายุน้อยยังไม่ค่อยรู้ความ อาจมีตรงไหนที่กระทำได้ไม่รอบคอบ คงต้องรบกวนฮูหยินผู้เฒ่าและโหวฮูหยินช่วยชี้แนะด้วยเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าและโหวฮูหยินได้ยินแล้วสูดลมเย็นเข้าไปครั้งหนึ่ง

เงินเก็บส่วนตัวเจ็ดถึงแปดพันตำลึง หวังซีทำเสมือนเป็นเรื่องไม่สลักสำคัญ บอกจะเอาออกมาก็เอาออกมาง่ายๆ คล้ายกับนี่มิใช่เงินจำนวนมหาศาล แต่เป็นเพียงผิงกั่วลูกหนึ่งที่วางทิ้งไว้ในตะกร้าอย่างลวกๆ เท่านั้น พอบอกจะมอบให้ผู้อื่นก็มอบให้ผู้อื่นอย่างง่ายดาย

สกุลหวังจะตามใจบุตรหลานก็ต้องมีขอบเขตบ้าง

อย่างเช่นหวังซีนี้ ทรัพย์สินของตระกูลมีมากมายเท่าไรก็ไม่พอให้นางถลุง!

ฮูหยินผู้เฒ่าเผยอปากเล็กน้อย อยากจะสอบถามให้กระจ่าง ทว่าโหวฮูหยินชิงเอ่ยปากก่อนฮูหยินผู้เฒ่าอย่างรวดเร็ว “จากที่คุณหนูต่างสกุลกล่าวมา สิ่งที่เจ้าทำ ไม่มีจุดไหนไม่เหมาะสม ไม่พูดถึงอย่างอื่น แค่แผนผังแผ่นนี้ ข้ามองแล้วไม่มีจุดต้องห้ามแม้แต่จุดเดียว เห็นได้ชัดว่าคุณหนูต่างสกุลขบคิดมาเป็นอย่างดีแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นการสร้างบ้านซ่อมแซมเรือนเป็นแผนการของลูกหลานอีกร้อยปี ทว่าคนที่ได้รับความเอื้อเฟื้อกลับเป็นคนจวนโหวของพวกข้า ไม่เพียงข้า แม้แต่ลุงใหญ่ของเจ้าหากอยู่ตรงนี้ก็ต้องขอบคุณเจ้าด้วยเช่นกัน”

นางกลัวฮูหยินผู้เฒ่าจะพูดอะไรออกมาทำให้เรื่องนี้ล้มไม่ท่า จึงลุกขึ้นพลางหยิบแผนผังแผ่นนั้นขึ้นมาโดยไม่กล้ามองฮูหยินผู้เฒ่าแม้แต่ครั้งเดียว ยิ้มแย้มกล่าวว่า “เช่นนั้นป้าสะใภ้ไม่เกรงใจเจ้าแล้ว ข้าจะเอาไปให้ลุงใหญ่ของเจ้าดู ให้เขาส่งคนไปแจ้งกรมโยธา จะได้เลือกวันเริ่มดำเนินการก่อสร้างเร็วขึ้นอีกสักหน่อย”

แน่นอนว่าหวังซีมองความคิดของโหวฮูหยินออก ซึ่งก็ตรงกับความคิดของนางพอดี นางรีบแย้มยิ้มกล่าวว่า “เช่นนั้นก็รบกวนโหวฮูหยินแล้ว ข้าได้ยินหลงจู๊ใหญ่ของพวกข้าบอกว่า ช่วงเวลานี้เหมาะสำหรับการก่อสร้างเป็นที่สุด เดือนหกจะร้อนอบอ้าวกว่านี้ ผ่านพ้นฤดูร้อนไปก็ย้ายเข้าไปอยู่ได้แล้ว หากทางด้านนี้ท่านกำหนดวันได้แล้ว ข้าก็จะได้ไปแจ้งหลงจู๊ใหญ่ของพวกข้าแต่เนิ่นๆ ให้เขาช่วยหาไม้และหินดีๆ เข้ามา จะได้ซ่อมแซมสวนนี้ให้เสร็จเร็วขึ้น”

“ถูกต้อง ถูกต้อง” โหวฮูหยินขานตอบอย่างปีติยินดี ชำเลืองมองฮูหยินผู้เฒ่าอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่ง เห็นว่าถึงแม้ฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่พูดอะไร ทว่าก็มิได้ขุ่นเคืองใจ จึงรู้สึกโล่งอก รู้ว่าครั้งนี้แม้นจะน่าหวาดเสียวไปบ้างแต่ก็ถือว่านางผ่านไปได้อย่างปลอดภัยแล้ว ฉับพลันนั้นก็ยิ่งเบิกบานเพิ่มมากขึ้น บอกกล่าวฮูหยินผู้เฒ่าเสร็จก็รีบเดินออกจากห้องริมสุดฝั่งตะวันตกของเรือนประธานไป

ฮูหยินผู้เฒ่าลอบถอนหายใจ ได้แต่กล่าวโทษตัวเองที่ไร้ความสามารถ สินติดตัวก็ไม่มากมาย ไม่มีเงินจำนวนมากมาจุนเจือบุตรชายบุตรสะใภ้ อย่างเช่นสถานการณ์นี้ ต่อให้ในใจนางรู้สึกไม่เหมาะสมมากแค่ไหน ก็ทำได้แค่บีบจมูกยอมรับ แต่นางก็รู้สึกละอายใจต่อหวังซีเช่นกัน อายุน้อยแค่นี้ก็ให้นางเอาเงินเก็บส่วนตัวมาจุนเจือตระกูลฉังแล้ว

นางกุมมือของหวังซีเอาไว้อย่างรู้สึกผิด ไม่รู้จะเอื้อนเอ่ยอะไรดี

สกุลหวังทำการค้า

นอกจากร่ำรวยมหาศาลแล้ว พวกเขายังมีคติสำหรับทำการค้าข้อหนึ่ง

เรื่องที่ใช้เงินแก้ปัญหาได้ไม่ถือว่าเป็นปัญหา

หวังซีรู้สึกว่านางใช้เงินเพียงเล็กน้อยก็แก้ปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยของตัวเองได้ ทั้งยังประจบเอาใจจวนหย่งเฉิงโหวได้ด้วย เหตุใดจะไม่ทำเล่า

นางไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองเสียเปรียบ แต่ก็ไม่ยินยอมให้ได้รับเพียงคำชื่นชมสูงส่งแล้วจบลงเงียบๆ โดยไม่เปล่งเสียงเรียกร้องสิ่งตอบแทนในเวลาที่ตัวเองสมควรจะได้รับไปง่ายๆ เช่นนี้เหมือนกัน

“ท่านไม่จำเป็นต้องรู้สึกเสียใจ” หวังซียิ้มร่าพูดปลอบฮูหยินผู้เฒ่า “รอข้าไปจากที่นี่แล้ว ท่านจะได้ย้ายเข้าไปอยู่ที่สวนร่มหลิว แม้นกล่าวว่าเรือนหยกวสันต์ไม่แย่ แต่อยู่ใกล้เรือนแถวตะวันออกของท่านโหวมากเกินไป เมื่อถึงเทศกาลต่างๆ มีเสียงดังจอแจไปหน่อย” จากนั้นนางเอ่ยถึงแผนการของตัวเองขึ้นมา “ด้านหลังสวนร่มหลิวมีซอยกันไฟอยู่เส้นหนึ่งมิใช่หรือ รถม้าผ่านได้คันหนึ่งพอดี ข้ากำลังคิดว่าจะเปิดประตูมุมที่สวนร่มหลิวสักบาน ซ่อมแซมตกแต่งประตูชั้นในใหม่ สร้างเรือนหลังเพิ่มสักหลังและโรงจอดเกี้ยวอีกหนึ่งหลัง จัดที่อยู่ให้พวกบ่าวชาย เวลาออกไปไหนจะได้ไม่ต้องใช้ประตูข้าง จะได้สะดวกขึ้นเจ้าค่ะ”

นางปรับเปลี่ยนเช่นนี้แล้ว หวังสี่และคนอื่นๆ จะได้เข้ามาอยู่ด้วยได้

เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าพักอยู่ไกลออกไป ก็ไม่จำเป็นต้องให้การรับรองพวกญาติๆ ที่มาเยี่ยมเยียนแล้ว

ฮูหยินผู้เฒ่าอดตื้นตันใจไม่ได้ จึงมิได้นึกถึงหวังสี่ คิดเพียงว่าหลานสาวของตัวเองผู้นี้ช่างอ่อนโยนเอาใจใส่ คิดอะไรรอบคอบ กตัญญูยิ่งนัก เห็นอายุน้อย แต่ความจริงแล้วไม่ว่าเรื่องอะไรก็รู้จักคิดและวางแผนเผื่อผู้อื่น เป็นคนสมบูรณ์แบบที่หาได้ยากผู้หนึ่ง

“เจ้าช่างเอื้อเฟื้อคิดได้รอบด้านถึงเพียงนี้” ความรู้สึกผิดของฮูหยินผู้เฒ่าคล้ายหลอมละลายกลายเป็นสสารตกลงกลางฝ่ามือของหวังซี มือของนางถูกบีบหนักๆ สองครั้ง ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าว “แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้เจ้าต้องลำบาก ข้ามีหยกเหอเถียนสำหรับถือเล่นที่หาได้ยากยิ่งอยู่สองชิ้น ข้าจะให้ซือหมัวมัวไปหยิบมาให้เจ้าเอากลับไปเล่น” ขณะที่กล่าวนั้น ก็หมายจะเรียกซือหมัวมัวเข้ามา

นี่คงเป็นสมบัติล้ำค่าก้นหีบของฮูหยินผู้เฒ่า ไม่แน่ว่าอาจเตรียมเอาไว้สำหรับฝังไปพร้อมกับนาง

หวังซีรีบยั้งฮูหยินผู้เฒ่าเอาไว้ “ท่านกล่าวเช่นนี้ ทำให้ข้าไม่กล้าเข้าไปข้องเกี่ยวกับการก่อสร้างสวนร่มหลิวแล้ว!” นางยังแสร้งกล่าวอย่างเศร้าสร้อยว่า “ข้ายังคิดจะให้หลงจู๊ใหญ่ช่วยหาเตียงปาปู้[1]ไม้กฤษณาหรือไม่ก็ไม้หนานมู่เนื้อทองมาให้สักหลังหนึ่งด้วย”

แค่ไม้กฤษณากับไม้หนานมู่เนื้อทองก็หายากแล้ว นับประสาอะไรกับเตียงที่ทำจากไม้สองชนิดนี้ โดยเฉพาะไม้กฤษณา มีคุณสมบัติช่วยให้ผ่อนคลาย ดีต่อคนสูงอายุเป็นพิเศษ

ฮูหยินผู้เฒ่าคิดว่าที่หวังซีทำเช่นนี้ล้วนแล้วแต่ทำเพื่อนาง

นางซาบซึ้งใจจนไม่รู้จะพูดอะไรดี

หวังซีฉวยโอกาสนี้กล่าวขึ้นว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ในบ้านก็ไม่น่าจะขาดแคลนที่อยู่แล้วกระมัง มิสู้ใช้โอกาสนี้ปรับปรุงซ่อมแซมสวนร่มวสันต์ที่อยู่ข้างๆ สวนร่มหลิวไปพร้อมกันเลย โดยแบ่งออกเป็นลานบ้านสองหลัง เช่นนี้เมื่อคุณหนูซือมาถึงจะได้เข้าไปอยู่ที่สวนหิมะงาม ส่วนคุณหนูพานก็จะได้เข้าไปอยู่ที่สวนร่มวสันต์กับพี่สาวเคอ หากมีวันใดที่ท่านป้ากลับมาเยี่ยมบ้านเดิม ก็จะได้พักอยู่ที่สวนร่มวสันต์ด้วย”

มีประโยคหนึ่งที่นางไม่ได้พูดออกมา

ถึงวันที่ฮูหยินผู้เฒ่าย้ายเข้าไปอยู่ที่สวนร่มหลิว ถ้ามีคนรุ่นเด็กที่โปรดปราน ก็จะได้จัดให้ไปอยู่ที่สวนร่มวสันต์ ไม่ไกลไม่ใกล้เกินไป มาคารวะเช้าเย็นและอยู่เป็นเพื่อนพูดคุยทุกวันได้พอดี

เห็นได้ชัดว่าฮูหยินผู้เฒ่าเองก็นึกออกเช่นเดียวกัน

แต่เดิมสวนร่มวสันต์และสวนร่มหลิวเป็นลานบ้านหลังเดียวกัน ท่านโหวผู้เฒ่ากินไม่เลือก ให้กำเนิดบุตรชายหญิงจากอนุภรรยามาหนึ่งกอง ในบ้านไม่เพียงพอให้อยู่อาศัย ถึงได้แบ่งลานบ้านนี้ออกเป็นสองหลัง ตั้งชื่อว่าสวนร่มวสันต์และสวนร่มหลิว

เช่นนี้แล้ว บัดนี้เปลี่ยนเป็นหนึ่งลานบ้านใหญ่กับสองลานบ้านเล็กรวมเป็นสามหลัง ช่วยแก้ปัญหาเร่งด่วนให้จวนโหวได้พอดี

ฮูหยินผู้เฒ่าตื้นตันใจ

หวังซีขับเคี่ยวเพื่อผลประโยชน์ของฉังเคอต่อ “ข้าดูแล้วพี่สาวเคอนิสัยอ่อนโยน คุณหนูพานก็มาจากตระกูลบัณฑิต พวกนางย่อมโอนอ่อนต่อกัน เข้ากันได้ดีเป็นแน่เจ้าค่ะ”

นางกลัวว่าเมื่อถึงเวลาฉังหนิงเห็นว่าดีแล้วต้องการเข้าไปอยู่แทน ฉังเคอคงต้องเบียดเสียดอยู่ที่เรือนหยกวสันต์ต่อไป

ฮูหยินผู้เฒ่านึกถึงนิสัยของฉังหนิง อดพยักหน้าตามไม่ได้

จนกระทั่งตอนที่โหวฮูหยินกลับมารายงานนาง นางจึงเอ่ยถึงสวนร่มวสันต์ขึ้นมา “ใช้โอกาสนี้ปรับเปลี่ยนทางด้านนั้นไปด้วยดีหรือไม่ สร้างรั้วดอกไม้กั้นเอาไว้ตรงกลาง แบ่งเป็นลานบ้านสองหลัง ฝั่งหนึ่งให้หลานสาวจากบ้านเดิมของเจ้าเข้าไปอยู่ อีกฝั่งหนึ่งให้อาเคอเข้าไปอยู่ รอพวกอาเคอออกเรือนไปแล้ว เจ้าเจ็ดและเจ้าแปดก็ต้องแยกเรือนพอดี จะได้เอาไว้ให้พวกเขาเข้าไปอยู่”

เช่นนี้ ก็มีพื้นที่ให้บุตรชายของโหวฮูหยินที่ยังไม่ได้แต่งงานสามคนได้ขยับขยายลานบ้านให้กว้างขึ้นแล้ว

โหวฮูหยินยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่ง แต่แล้วก็เอ่ยถามอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจว่า “เช่นนั้นเงินสำหรับสร้างรั้วดอกไม้…”

ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจ

ทั้งๆ ที่คนได้ประโยชน์คือโหวฮูหยิน ทว่านางกลับไม่ยอมออกเงินแม้แต่แดงเดียว

นึกถึงสินติดตัวของโหวฮูหยิน ฮูหยินผู้เฒ่าก็เข้าใจคนหัวอกเดียวกัน กล่าวว่า “ข้าจะคิดหาวิธีเอง เจ้าจัดการตามนี้ไปก่อน”

โหวฮูหยินซาบซึ้งใจยิ่งนัก ขอบคุณแล้วขอบคุณอีก

จนกระทั่งไม้และหินต่างๆ มาถึงจวนแล้ว หวังซีมอบหมายให้หวังสี่ไปช่วยดูแล บอกเขาว่า “เจ้าก็เรียนรู้เอาไว้สักหน่อย ไม่แน่ว่าวันใดอาจได้ใช้ประโยชน์”

สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออย่าให้พ่อบ้านของจวนโหวยักยอกเงินของนาง นางระบุในแผนผังชัดเจนแล้วว่าต้องการใช้เสาลำต้นใหญ่ขนาดคนโอบ อย่าให้พวกเขาเปลี่ยนเป็นลำต้นแคระแกร็นเชียว

หวังสี่ขานรับคำ ขอรับ อย่างนอบน้อม แล้วไปที่สวนร่มหลิว

หวังซีไม่มีอะไรทำ จึงชวนฉังเคอมาเล่นหมากล้อม

ฉังเคอทุกข์ระทม กล่าวว่า “ข้าเล่นหมากล้อมไม่เป็น!”

หวังซีได้ยินแล้วกระตือรือร้นขึ้นมาในทันที กล่าวว่า “เจ้าเล่นหมากล้อมไม่เป็นหรือ ข้าจะสอนเจ้าเอง วางใจเถอะ ง่ายนิดเดียว”

ไป๋กั่วยกโต๊ะมาวางใต้ซุ้มองุ่นภายในลานบ้าน ไป๋ซู่ไปหยิบกระดานหมากล้อมมา ฉังเคอถือหมากสีขาวเอาไว้อย่างสั่นกลัว เล่นหมากด้วยความกดดันไปครึ่งชั่วยาม ถึงค้นพบว่าเมื่อเปรียบเทียบหวังซีกับนางแล้ว ฝีมือพอๆ กัน ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว!

ฉังเคอร่าเริง หัวเราะคิกคักไม่หยุด ฉวยโอกาสกินหมากของหวังซีไปสี่ตัว

กระดานหมากดีๆ ของหวังซีพลันแหว่งไปมุมหนึ่ง

นางโกรธจนแก้มทั้งสองข้างป่องคล้ายปลาทอง กล่าวขึ้นว่า “เจ้าเล่นหมากล้อมไม่เป็นมิใช่หรือ”

ฉังเคอตอบยิ้มๆ ว่า “ข้าเล่นไม่เป็นจริงๆ! แต่ข้าก็ไม่คาดคิดว่าฝีมือการเดินหมากของเจ้าจะย่ำแย่ยิ่งกว่าของข้า”

หวังซีรู้สึกว่าฉังเคอพูดจาทำร้ายจิตใจคนมากไปแล้ว ตัดสินใจจะตั้งใจเดินหมากดีๆ เอาชนะฉังเคอให้ได้

นางเอามือเท้าคางนั่งตรึกตรองอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานานว่าตาถัดไปควรเดินหมากอย่างไรดี

แรกๆ ฉังเคอยังอดทนรอนางได้ จนกระทั่งอาซีถือปลาแห้งตัวเล็กๆ มาป้อนเซียงเย่ ฉังเคอก็นั่งไม่ติดที่อีก แรกเริ่มหยิบปลาแห้งมาส่งเสียงเมี้ยวล่อหลอกเซียงเย่เบาๆ ก่อน ต่อมาอุ้มเซียงเย่ขึ้นมาป้อนอาหารอยู่ในอ้อมแขน

หวังซีโมโหยิ่ง กล่าวกับฉังเคอว่า “มีคนเล่นหมากแบบเจ้าด้วยหรือ เจ้าไม่เคารพคู่แข่งเลยแม้แต่นิดเดียว”

“อ้อ!” ฉังเคอรีบวางเซียงเย่ลงบนพื้น เอ่ยบอกเซียงเย่ว่า “เจ้าไปเล่นคนเดียวก่อน” แล้วกลับมานั่งตัวตรงที่โต๊ะอีกครั้ง

เซียงเย่กลับจำได้ว่าฉังเคอเคยป้อนปลาแห้งให้มันมาก่อน พาดตัวอยู่ตรงชายกระโปรงของฉังเคอส่งเสียงร้อง เมี้ยวๆๆ ไม่หยุด

“เจ้ามันคนทรยศ!” หวังซีเกาคางเซียงเย่

เซียงเย่หงายท้องนอนอยู่บนพื้นขาทั้งสี่ชี้ฟ้าปล่อยให้หวังซีถูไถนวดฟั้นมัน

ฉังเคออิจฉา นั่งยองดูอยู่ข้างๆ มองหวังซีด้วยความนับถือพลางกล่าว “เจ้าช่างเก่งกาจจริงๆ บ้านของพวกข้ามีเพียงเจ้าที่กล้าเลี้ยงแมว”

………………………………………………………………………

[1] เตียงปาปู้ เตียงแบบโบราณที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มองจากด้านนอกเป็นเตียงสี่เสา ด้านบนปิดทึบ ด้านข้างบ้างปล่อยโล่งบ้างติดกระดานไม้แกะสลัก เมื่อเดินเข้าไปด้านในจะคล้ายกับเป็นห้องอีกห้องหนึ่ง โดยมีเตียงยกระดับสูงขึ้นไปหนึ่งชั้น เตียงปาปู้บางหลังมีพื้นที่สำหรับวางโต๊ะเก้าอี้และของใช้จิปาถะบริเวณหน้าเตียงด้วย

ตอนต่อไป