หวังซีมิได้ถามว่าเพราะเหตุใดคนจวนหย่งเฉิงโหวถึงไม่กล้าเลี้ยงแมว

ป่าดงพงไพรกว้างใหญ่ย่อมมีปักษาหลายหลาก

ขอเพียงคนจวนหย่งเฉิงโหวไม่คิดร้ายต่อแมวที่นางเลี้ยงก็พอ

นางทิ้งกระดานหมากยอมแพ้ ต้องการเล่นหมากล้อมกับฉังเคออีกกระดานหนึ่ง

ฉังเคอมองเซียงเย่ที่กำลังออดอ้อนอยู่ตรงหน้าหวังซี ปลายนิ้วคันยิกๆ กล่าวอย่างลังเลว่า “พวกเราพักสักครู่ เล่นเป็นเพื่อนเซียงเย่ครู่หนึ่งก่อนดีหรือไม่ เจ้าเองก็จะได้พักผ่อนด้วย การเล่นหมากก็เหมือนกับการฝึกคัดอักษร มิใช่ว่าใช้เวลานานแล้วจะยิ่งทำได้ดี ฝึกกับพักต้องสมดุลกัน”

หวังซีซึมเซา

ฉังเคอคงรังเกียจที่นางไม่มีพรสวรรค์ในการเล่นหมากล้อมกระมัง!

หวังซีคว้าผิงกั่วจากจานผลไม้ข้างๆ มา กัด กร๊วบ แรงๆ ไปคำหนึ่ง ถึงขจัดอารมณ์กรุ่นโกรธไปได้

ฉังเคอจึงหันไปเม้มปากกลั้นหัวเราะใส่หวังซี นั่งยองลงไปบนพื้นหยอกล้อเล่นกับเซียงเย่อีกครั้ง ยังเอ่ยถามหวังซีว่า “เหตุใดเซียงเย่[1]ถึงมีชื่อว่าเซียงเย่”

หวังซีมองเซียงเย่ที่พยายามประจบประแจงฉังเคอเพื่อปลาแห้งเพียงตัวเดียว คล้ายกับไม่ได้กินปลาแห้งมาแปดร้อยปีนั่นแล้ว รู้สึกขัดเคืองลูกตายิ่งนัก หิ้วคอเซียงเย่จับมันมาวางลงบนม้านั่งหิน พลางกล่าว “เพราะแม่ของมันชื่อปาเจี่ยว[2]”

ฉังเคอตะลึงงัน เอ่ยถามอย่างรวดเร็วว่า “เช่นนั้นพี่น้องชายหญิงของมันก็มีชื่อเรียกเป็นเครื่องเทศให้กลิ่นหอมหมดเลยหรือ ปาเจี่ยวก็เป็นแมวที่เจ้าเลี้ยงเอาไว้หรือ เจ้ามาจิงเฉิงเหตุใดถึงไม่พามันมาด้วย”

หวังซีเกาคางเซียงเย่ ตอบว่า “ปาเจี่ยวเป็นแมวของท่านย่าข้า พี่น้องชายหญิงของเซียงเย่ส่วนใหญ่พวกอาหญิงของข้าเอาไปเลี้ยงแล้ว เหลือเซียงเย่อยู่ที่บ้านพวกข้าเพียงตัวเดียว ท่านแม่ของข้าจึงตั้งชื่อนี้ให้มัน…”

ขณะที่นางกำลังพูดอยู่นั้น หงโฉววิ่งเหยาะๆ เข้ามาด้วยดวงหน้าเริงร่า ตะโกนเรียกหวังซีตั้งแต่ไกลๆ ว่า “คุณหนูใหญ่”

หวังซีและฉังเคอหันไปมอง

หงโฉววิ่งเข้ามา กล่าวกับหวังซีเสียงหอบว่า “คุณหนูใหญ่ คนผู้นั้น คนรำกระบี่ผู้นั้นปรากฏตัวออกมาอีกแล้ว อยู่ในป่าไผ่เจ้าค่ะ”

“จริงหรือ!” หวังซีลุกขึ้นมาอย่างลิงโลด บอกหงโฉวว่า “พวกเรารีบไปดูกันเถอะ” กล่าวจบ พบว่าฉังเคอยังยืนอยู่ข้างๆ จึงเอ่ยถามอย่างลังเลว่า “เจ้าอยากไปดูพร้อมข้าหรือไม่” จากนั้นนึกขึ้นได้ว่าฉังเคอรู้จักสองพี่น้องสกุลเฉินของจวนเจิ้นกั๋วกงข้างบ้านดี ประโยคคำถามจึงพลันเปลี่ยนเป็นประโยคเชื้อเชิญในทันที กล่าวว่า “เจ้าช่วยไปดูคนผู้นั้นให้ข้าหน่อยว่าเจ้ารู้จักหรือไม่”

ระหว่างที่หงโฉวและหวังซีกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นฉังเคอก็ลุกขึ้นมาเฝ้ารอด้วยความหวัง ยังขบคิดว่าถ้าหวังซีไม่ชวนนาง นางจะหาวิธีอะไรตามไปดูด้วยดี เวลานี้ได้ยินหวังซีเอ่ยชวนนาง จะมีเหตุผลอะไรให้ต้องปฏิเสธอีก นางรีบกล่าวซ้ำๆ ว่า “ได้เลย! ได้เลย! ข้าตามไปดูกับเจ้าด้วยสักครั้งหนึ่ง”

ดูว่าคนผู้นั้นจะหล่อเหลาหาใดเปรียบอย่างที่หวังซีกล่าวมาจริงๆ หรือไม่

ทั้งสองคนไปที่สวนร่มหลิวด้วยกัน

สวนร่มหลิวกำลังอยู่ในระหว่างก่อสร้าง นอกจากประตูสวนจะปิดเอาไว้แล้ว ด้านข้างยังล้อมผ้าเตือนเอาไว้ด้วย กลัวว่าสตรีในบ้านจะหลงเข้าไปด้วยความไม่รู้

เมื่อเดินเข้ามาใกล้ ยังได้ยินเสียงพูดคุยของบุรุษดังมาจากด้านในผ้าด้วย

ฉังเคอหวาดกลัวมาก

นับตั้งแต่มารดาของหวังซีหายตัวไป ตระกูลฉังก็ควบคุมดูแลสตรีในบ้านอย่างเข้มงวด ปกติจะไม่อนุญาตให้ติดต่อกับคนแปลกหน้า

หวังซีให้คนไปเรียกหวังสี่มา

หวังสี่อำนวยความสะดวกให้พวกนางไปอยู่ที่มุมตะวันออกเฉียงเหนือของสวนร่มหลิว

ระหว่างทาง หวังซีถามหวังสี่ว่าการซ่อมแซมเป็นอย่างไรบ้าง

หวังสี่กล่าวยิ้มๆ ว่า “พ่อบ้านสองสามท่านล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญในการจัดการ ช่างฝีมือที่เชิญมาก็ค่อนข้างมีชื่อเสียงทั้งสิ้น ซ่อมแซมบ้านอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ว่าค่าแรงไม่น้อยเลย เกรงว่างบประมาณที่ตั้งเอาไว้ก่อนหน้านี้อาจจะไม่พอขอรับ”

ซึ่งก็หมายความว่า ช่างฝีมือเหล่านี้ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ จึงต้องการค่าจ้างมากตามไปด้วย

หวังซียิ้มกล่าว “มีแต่ซื้อผิด ไม่มีขายพลาด ขอเพียงทำงานให้ดี จะเกินงบไปสักหน่อยก็ไม่เป็นไร ทุกคนออกมาทำงาน ล้วนหวังความร่ำรวยกันทั้งนั้น ต่อไปหากพวกเรามีงานอะไรต้องการให้พวกเขาทำอีก เมื่อคนเหล่านี้รู้ย่อมเร่งมาทันทีอย่างแน่นอน ถือเป็นการผูกกรรมดีต่อกันสักครั้งหนึ่งก็แล้วกัน!”

ซื้อกระดูกม้าหนึ่งพันตำลึงทอง[3] ก็ด้วยประการนี้มิใช่หรือ!

หวังสี่รู้ว่าหวังซียังมีบ่อเกลือในนามของนางอยู่อีกสองแห่ง ไม่ขาดเหลือเงินเล็กน้อยก้อนนี้ จึงขานรับคำยิ้มๆ ไปย้ายบันไดทั้งสองอันมาให้ด้วยตัวเอง จากนั้นถึงได้พาบ่าวชายไปเฝ้าดูอยู่ไกลๆ ตรงปากถนน

ฉังเคอพูดไม่ออก

หวังซีช่างร่ำรวยจริงๆ!

เงินตั้งเจ็ดถึงแปดพันตำลึง พูดว่าเอาออกมาก็เอาออกมาง่ายๆ ใช้เกินกว่านั้นก็ไม่ถือเป็นปัญหาอะไร ไม่แปลกที่ท่านย่าและท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของนางล้วนปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี

หากมีวันใดที่นางได้ใช้ชีวิตอย่างหวังซีเช่นนี้ก็คงดี

ฉังเคอส่ายศีรษะอยู่ในใจ ปีนขึ้นไปบนบันไดกับหวังซี

บอกว่าอยู่ข้างๆ ลานบ้านติดกันก็จริง แต่ลานบ้านของทั้งสองครอบครัวต่างปลูกต้นไม้เอาไว้เป็นจำนวนมาก ทอดตามองข้ามไปเช่นนี้ เห็นเพียงเงาร่างคนสวมชุดองครักษ์สีดำคนหนึ่งเท่านั้น

หวังซีกลับยกกล้องส่องทางไกลขึ้นตั้งใจมองดีๆ ครู่หนึ่งก่อน

ไม่เหมือนกับคนรำกระบี่ที่สวมชุดตัวกลางผ้าไหมสีขาวในวันนั้น วันนี้คนผู้นั้นสวมชุดองครักษ์สีดำด้านบนปักลายสิงโตกลิ้งลูกกลมด้วยไหมสีน้ำเงินไพลินและสีเหลืองขมิ้นสีฉูดฉาด ในมือขาวเนียนละเอียดดุจหยกสลักนั้นถือคันธนูสีดำสนิทคันใหญ่เอาไว้ สายธนูสีดำแนบอยู่บนริมฝีปากสีกุหลาบทว่าเห็นมุมปากได้ชัดเจน เป็นความงามประเภทหนึ่งที่ดูยืดหยุ่นสบายๆ ทว่าก็ไม่ขาดความเด็ดเดี่ยวมั่นคง

โดยเฉพาะตอนเขาเอี้ยวตัว ร่างสูงสง่าประหนึ่งไผ่เขียว แววตามุ่งมั่นและคมเฉียบ คนทั้งร่างดูคล้ายกับลูกศรที่กำลังจะหลีกลี้ออกจากคันธนูดอกนั้น มีพละกำลังพร้อมจะทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่ย่อท้อและไร้ซึ่งความหวาดกลัว

หวังซีหวีดร้องอยู่ในใจ

คนงามไม่ว่าท่วงท่าอะไรล้วนดูงดงามไปหมด!

เหมาะสมแล้วจริงๆ ที่ทำให้นางสนใจได้

หวังซีทอดถอนหายใจอยู่ในใจอีกคำรบหนึ่ง ถึงได้ยื่นกล้องส่องทางไกลส่งให้ฉังเคอ “เจ้าใช้เจ้านี่ดู เจ้านี่มองเห็นได้ชัดเจน”

ถึงแม้ฉังเคอจะมาจากครอบครัวชั้นสูง ทว่าไม่เคยเห็นกล้องส่องทางไกลมาก่อน

นางรับมาถือไว้ในมือ พยายามขยับกล้องส่องทางไกลในมือไปด้วย เอ่ยถามไปด้วยว่า “นี่คืออะไร แล้วใช้อย่างไร”

เพียงแต่ว่าไม่รอให้หวังซีอธิบายรายละเอียดให้นางฟัง นางก็สุ่มหาจนเจอวิธีใช้ที่ถูกต้อง

“สวรรค์!” ภาพทิวทัศน์ที่อยู่ไกลขนาดนั้นกลับชัดเจนแจ่มแจ้งราวกับมาปรากฏอยู่ตรงหน้านาง ทำให้นางตกใจมาก เกือบจะตกจากขั้นบันไดไปแล้ว

โชคดีที่หงโฉวและชิงโฉวล้วนติดตามอยู่ข้างๆ พวกนาง ขณะที่ร่างของนางกำลังส่ายไปมานั้นก็รีบคว้าตัวนางเอาไว้ได้ทันเวลา ทำให้นางเสียขวัญไปครั้งหนึ่งเท่านั้น ไม่นานก็กลับไปยืนอย่างมั่นคงได้อีกครั้ง

หวังซีถามนาง “ใช่คนที่เจ้ารู้จักหรือไม่”

ฉังเคอไม่พูดอะไรไปครู่ใหญ่ เนิ่นนานกว่าจะวางกล้องส่องทางไกลในมือลง ถามนางด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้ารู้สึกว่าเขาหน้าตาหล่อเหลาจริงๆ หรือ เป็นบุรุษที่งดงามที่สุดเท่าที่เจ้าเคยเห็นมาในชีวิตนี้แล้วจริงๆ หรือ”

“แน่นอน!” หวังซีรู้สึกว่าที่ฉังเคอถามเช่นนี้เป็นเพราะกำลังตั้งคำถามกับรสนิยมของนางอยู่ กล่าวแย้งว่า “ข้าเคยเห็นบุรุษรูปงามมามากมาย อย่างฝานเสี่ยวโหลวนักแสดงเลื่องชื่อของสู่จง เสิ่นปู้ชิงของสำนักศึกษาฝูหรง และคุณชายเจ็ดกวนอวี้ของตระกูลกวนที่จิ่นเฉิง แต่ไม่มีผู้ใดเหมือนเขา องอาจห้าวหาญ ในความถือดีนั้นแฝงความไม่หวาดหวั่นและสงบนิ่งอย่างไม่คิดจะปิดบัง บุรุษน้อยคนนักที่จะมีกิริยาท่าทางเหมือนเขา หล่อเหลาเป็นที่ประจักษ์ชัด และหยิ่งทะนงเหลือหลาย”

ฉังเคอยัดกล้องส่องทางไกลคืนให้หวังซี ทอดถอนใจกล่าว “เจ้าจบสิ้นแล้ว! เจ้าก็เหมือนกับพวกพี่สาวสามของข้า ล้วนคิดว่าเฉินลั่วต่างหากที่สมควรเป็นบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งของจิงเฉิง!”

หวังซีชะงักงัน ถามว่า “เจ้าว่าอะไรนะ คนผู้นั้นคือเฉินลั่ว!”

“ใช่!” ฉังเคอมองนางด้วยความเห็นใจครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเจ้าถึงชื่นชอบเฉินลั่วกันหมด ข้ารู้สึกว่าเฉินอิงดีกว่าเขามากโข อย่างน้อยยามเฉินอิงเห็นพวกข้า ก็จะกล่าวทักทายพวกข้าอย่างอบอุ่นอ่อนโยน สายตาที่เฉินลั่วมองพวกข้านั้น เสมือนพวกข้าเป็นขยะไร้ค่าก็ไม่ปาน มองแต่ละครั้ง ล้วนเป็นการดูแคลนพวกข้าทั้งสิ้น” นางกล่าวด้วยความคับข้องใจเป็นที่สุดว่า “เหตุใดพวกเจ้าถึงชอบให้ผู้อื่นรังแกนัก ผู้อื่นให้ความเคารพไม่ดีหรือ ผู้อื่นใจดีด้วยไม่ดีหรือ ผู้อื่นปฏิบัติด้วยอย่างอ่อนโยนดั่งสายลมฤดูใบไม้ผลิโชยเบาๆ ฝนตกปรอยๆ ไม่ดีหรือ เหตุใดต้องไปเป็นก้อนหินให้ผู้อื่นเหยียบย่ำด้วย”

“เดี๋ยวก่อน!” หวังซีตัดบทการพร่ำบ่นของฉังเคอ “ที่เจ้าบอกว่า ‘พวกเจ้า‘ นั้น นอกจากข้าและฉังเหยียนพี่สาวสามของเจ้าแล้ว ยังมีผู้ใดอีกหรือ”

“ซือจูและฉังหนิงน่ะสิ!” ฉังเคออยากจะเอามือกุมศีรษะเหลือเกิน “สมัยเด็กเวลาซือจูมาเล่นที่บ้านของพวกข้า ชอบวิ่งตามพี่ชายสามเป็นที่สุด เพราะจะได้เจอเฉินลั่ว ด้วยเรื่องนี้ ท่านป้าสะใภ้รองของข้ายังเคยกล่าวติดตลกว่า รอซือจูโตก็แต่งงานกับพี่ชายสามของข้าได้แล้ว น่าเสียดายที่ตระกูลซือไม่เห็นพี่ชายสามของข้าอยู่ในสายตา ไม่อย่างนั้นซือจูคงได้กลายเป็นพี่สะใภ้สามของข้าจริงๆ แล้ว เจ้าไม่รู้หรอกว่าเฉินลั่วน่ารังเกียจมากเพียงใด เขารังเกียจที่ซือจูชอบตามเขา จึงให้ซือจูช่วยถือกระบอกเก็บลูกธนูให้เขา ซือจูก็ถือกระบอกเก็บลูกธนูของเขาเอาไว้อย่างโง่งม รอเขาอยู่ที่ลานฝึกการต่อสู้ ณ ลานบ้านอีกหลังหนึ่งของพวกเขาอย่างเชื่อฟัง หิมะตกลงมาอย่างหนัก ซือจูรออยู่เกือบสองชั่วยาม มือเท้าแทบจะกลายเป็นน้ำแข็งอยู่แล้ว ทว่าเขากลับหนีกลับบ้านไปนอนกินลูกหลีแช่แข็งบนเตียงเตาอย่างสบายอกสบายใจไปตั้งนานแล้ว…

…หากมิใช่เพราะแม่นมของซือจูเห็นท่าไม่ดี คุกเข่าลงขอร้องนาง นางคงจะรออยู่ที่นั่นต่อไป…

…เพราะเรื่องนี้ซือจูป่วยหนักไปครั้งหนึ่ง ผู้ใหญ่ในบ้านต่างตื่นตระหนกไปด้วย ตอนท่านลุงสกุลซือไปต้าถง ถึงได้พานางไปรับราชการด้วย…

…บัดนี้นางกำลังจะกลับมาแล้ว ข้าคิดๆ ดูแล้วให้รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย…

…คิดไม่ถึงว่าเจ้าเองก็รู้สึกว่าเขาหล่อเหลาไปด้วยอีกคน”

ฉังเคอเขย่าไหล่ของหวังซี เหมือนกับว่าเขย่าเช่นนี้จะทำให้หวังซีตื่นขึ้นมาได้ “เจ้าลืมตากว้างๆ มองให้ละเอียดอีกทีจะได้หรือไม่ อย่าถูกล่อลวงด้วยเปลือกนอกของเขา พระพุทธองค์ตรัสว่า รูปงามอย่างไรสุดท้ายก็คือกะโหลกไร้ชีวิต ไม่ว่าผู้ใดล้วนประกอบสร้างมาจากกระดูกเนื้อหนัง เจ้ามองให้ทะลุเปลือกนอกของเขา มองให้ชัดเจนว่าเนื้อแท้ข้างในของเขาเป็นอย่างไรไม่ได้หรือ”

หวังซีหัวเราะฮ่าเสียงดัง กล่าวว่า “นั่นเท่ากับว่าเจ้าเองก็ยอมรับแล้วว่าเขาหล่อเหลาที่สุด! หาไม่แล้วเจ้าก็คงไม่พูดเช่นนี้!”

ฉังเคอมองหวังซีอย่างคนโง่งม

หวังซีจึงนั่งลงบนขั้นบันได จับไหล่ของฉังเคอเอาไว้ กล่าวด้วยถ้อยคำหนักแน่นจริงใจว่า “คนที่งดงามทั้งภายในและภายนอกนั้นมีน้อยนัก ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่าปราชญ์ได้อย่างไร ความงามภายในนั้นสั่งสมเพิ่มพูนให้สมบูรณ์ผ่านการอ่านหนังสือและการฝึกฝนได้ ทว่าความงามภายนอกมนุษย์ไม่มีอำนาจไปกำหนดได้ หลายร้อยปียังไม่มีแม้แต่คนเดียว นี่เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง ที่พวกเราชอบดู พวกเราอยากดู ล้วนเป็นธรรมดาของมนุษย์ เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลราวกับว่าท้องฟ้ากำลังจะถล่มลงมาถึงเพียงนี้ก็ได้”

ฉังเคอมองหวังซีด้วยสายตาคลุมเครือ

หวังซีได้แต่กล่าวโน้มน้าวนางต่อว่า “คนที่รู้สึกว่าเฉินลั่วหน้าตาดีคงมิได้มีแค่ข้าคนเดียวหรอกกระมัง แต่คนที่ถือกระบอกเก็บธนูรออยู่ที่นั่นอย่างโง่งมคงมีแค่ซือจูเพียงคนเดียวเท่านั้น นี่บ่งบอกได้ชัดเจนว่าคนโง่เขลาคือนาง เจ้าไม่อาจพลิกเรือของพวกข้าให้คว่ำทั้งลำเพียงเพราะนางคนเดียว”

แววตาของฉังเคอไหวระริกเล็กน้อย

หวังซีทอดถอนใจกล่าว “ข้าคิดไม่ถึงว่าในเรื่องนี้จะมีเรื่องของซือจูอยู่ด้วย! ทำให้คนประหลาดใจเกินไปแล้ว!”

ฉังเคอกล่าว “ข้าเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเจ้าจะเดินตามรอยของซือจู ทำให้คนประหลาดใจเกินไปแล้ว!”

หวังซีถลึงตาใส่ฉังเคอ

เหตุใดเมื่อก่อนถึงไม่สังเกตว่าฉังเคอพูดเก่งขนาดนี้นะ

นางถามฉังเคอเพื่อความแน่ใจ “เจ้ามิได้จำคนผิดจริงๆ ใช่หรือไม่ คนในป่าไผ่ผู้นั้นคือเฉินลั่ว?”

ฉังเคอครวญเสียงเย็น “ต่อให้เขาสลายกลายเป็นเถ้าถ่านข้าก็จำได้ เขาเห็นข้าเป็นสาวใช้เด็ก พูดอะไรทำนองว่าถึงเทศกาลแข่งเรือมังกรแล้ว ข้ายังสวมเสื้อบุฝ้ายอยู่อีก ชีวิตนี้ข้าไม่มีทางลืมสายตาที่เขามองข้าขณะพูดถ้อยคำนี้อย่างแน่นอน”

ตามวิถีปฏิบัติของชนชั้นสูงในจิงเฉิง เมื่อถึงเทศกาลแข่งเรือมังกร ไม่ว่าอากาศในเมืองหลวงจะเป็นอย่างไร ล้วนแล้วแต่เปลื้องเสื้อบุฝ้ายออกผลัดเปลี่ยนเป็นชุดสำหรับฤดูร้อนกันทั้งสิ้น

ก่อนเดินทางมา สกุลหวังเชิญหมัวมัวเกษียณอายุจากวังหลวงไปอธิบายให้หวังซีฟังหลายต่อหลายครั้ง ให้นางอย่าลืมเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นครอบครัวทรงอิทธิพลในเมืองหลวงเหล่านั้นจะคิดว่านางไร้การศึกษา มองนางเป็นเศรษฐีใหม่ไร้อารยะมาจากชนบทได้

หวังซีได้ยินแล้วถอนหายใจอย่างห้ามไม่อยู่ สีหน้ายากจะปกปิดความผิดหวังเอาไว้ได้

……………………………………………………………………….

[1] เซียงเย่ (香叶) ใบกระวาน เครื่องเทศให้กลิ่นหอมชนิดหนึ่ง

[2] ปาเจี่ยว (八角) โป๊ยกั๊ก หรือ จันทน์แปดกลีบ เครื่องเทศให้กลิ่นหอมชนิดหนึ่ง

[3] ซื้อกระดูกม้าหนึ่งพันตำลึงทอง เป็นเรื่องเล่าว่ามีผู้ครองนครผู้หนึ่งต้องการซื้อม้าพันลี้ (ม้าที่วิ่งได้เป็นพันลี้) ด้วยทองหนึ่งพันตำลึง บัณฑิตที่รอการแต่งตั้งผู้หนึ่งเสนอตัวไปเสาะหาม้าพันลี้ให้ผู้ครองนคร แต่ปรากฏว่าม้าพันลี้ที่บัณฑิตไปตามหาจนเจอนั้นตายแล้ว บัณฑิตจึงขอซื้อกระดูกม้าพันลี้กลับมาด้วยทองห้าร้อยตำลึง บัณฑิตให้เหตุผลแก่ผู้ครองนครว่า หากมีข่าวลือแพร่ออกไปว่าท่านซื้อกระดูกม้าพันลี้มาด้วยทองห้าร้อยตำลึง ผู้คนย่อมเชื่อว่าท่านต้องการซื้อม้าพันลี้ด้วยความจริงใจ ถึงเวลาย่อมมีคนนำม้าพันลี้มาส่งให้ถึงหน้าบ้านอย่างแน่นอน หลังจากนั้นไม่เกินหนึ่งปีก็มีม้าพันลี้มาส่งถึงบ้านจริงๆ เรื่องเล่ายังเปรียบเปรยถึง “การใช้เงินดึงดูดคนมีความสามารถ”

ตอนต่อไป