บทที่ 37 ชี้ต้นตาย ชี้ปลายเป็น

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 37 ชี้ต้นตาย ชี้ปลายเป็น

ตอนที่ถ้วยชาวางลง ด้านนอกจวนหัวหน้าฐาน เลือดสดหลั่งนอง ศพเกลื่อนเต็มพื้น!

ร่างสวี่ชิงราวพยัคฆ์เหี้ยม ทุกที่ที่ผ่าน ก็ถูกเขาซัดจนเลือดสดซ่านกระเซ็น เลือดนองเต็มพื้นน่าสยดสยอง เดินหน้าพลางสังหาร!

และทิศทางที่เขาตรงไป องครักษ์จวนหัวหน้าฐานแต่ละคนก็กรูกันเข้ามาทุกทิศทาง และมีคนแปลกหน้าในชุดดำอีกนับสิบคน พวกเขาคือผู้บำเพ็ญที่มาจากคาราวานรถ

เป้าหมายของทั้งสองฝ่ายเหมือนกัน ล้วนเป็นสวี่ชิง

สวี่ชิงที่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ สายลมพัดผ่านจนพัดเส้นผมด้านหน้าของเขาขึ้น เขาแบกกระบี่ยาวที่ไม่ค่อยคุ้นชินนักไว้ด้านหลัง กำกริชในมือ ร่างทั้งร่างผสานเข้ากับสายลม พุ่งทะยานตรงไปยังผู้บำเพ็ญจากคาราวานรถระดับรวมปราณขั้นหกคนหนึ่ง

จังหวะที่ตัดผ่าน ศีรษะก็ลอยหวือ!

ขณะที่เลือดสดหลั่งริน องครักษ์ชุดดำจำนวนมากกว่าก็พุ่งเข้ามา

สวี่ชิงมองผู้บำเพ็ญจากคาราวานรถเหล่านี้ ชั่วขณะหนึ่งเขาก็จำขึ้นมาได้ วันที่คาราวานรถมาถึง หัวหน้าเหลยออกมาซื้อกับข้าวด้วยตนเองจริงๆ แต่เพียงไม่นานก็กลับมา

เห็นได้ชัดว่าวันนั้นเขาเจอกับศัตรูคู่แค้น ดังนั้นจึงรีบกลับมาก่อน

สวี่ชิงนิ่งงัน จิตสังหารเข้มข้นขึ้น ระเบิดความเร็วจนถึงขีดสุด พุ่งทะยานไปเบื้องหน้าอย่างไม่หลบซ่อน

ห่างออกไป มีคนยืนอยู่บนชายคาสองคน

สองคนนี้เป็นหนึ่งชราหนึ่งวัยกลางคน ชายชราสวมชุดนักพรตสีน้ำเงิน ส่วนชายกลางคนแต่งตัวดูแคล่วคล่องว่องไว คนหน้ายืนมือไพล่หลัง จ้องมองฉากทั้งหมดบนถนน

ส่วนคนหลังยืนเคี้ยวเชือกเส้นหนึ่งอยู่ในปาก พอสังเกตดีๆ ก็จะเห็นว่านั่นคือสายธนูของกางเขน

สายธนูกางเขนไม่ใช่ของธรรมดา อาวุธทั่วไปไม่สามารถทำอะไรมันได้เลยแม้แต่น้อย แต่คนผู้นี้กลับเคี้ยวจนแตกเป็นเส้นๆ ในปากได้

“น่าสนใจ เป็นพวกฝึกกายาเหมือนกับข้า แต่เขาก็แค่ขั้นหกหรือเจ็ดเท่านั้น น่าจะเล่นด้วยสนุกกว่าคนที่มีแผลเป็นกากบาทบนหน้าคนนั้นหน่อย”

“เจ้าจะไปหรือให้ข้าไป” ชายชราเอ่ยถามขึ้นอย่างสงบ

“ที่นี่เป็นอาณาเขตของสำนักวัชระของพวกเจ้า แล้วหัวหน้าฐานคนนั้นก็เป็นผู้อาวุโสของสำนักวัชระเจ้าอีก แน่นอนว่าต้องให้เจ้าที่เป็นผู้อาวุโสคนใหม่ของสำนักวัชระลงมือ” ชายกลางคนพ่นเศษเชือกออกมาจากปาก เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม

ทั้งสองคนกำลังพูดคุย เสียงครืนครันเสียงหนึ่งก็ดังมาจากถนน และเสียงกรีดร้องก็ดังก้องขึ้น องครักษ์เจ็ดแปดคนกับคนชุดดำที่ล้อมสวี่ชิงไว้ ถอยร่นออกมากันทั้งหมด

แต่ละคนโซซัดโซเซ เลือดสดกระอักออกจากปาก บนตัวทุกคนล้วนมีอาการบาดเจ็บถึงชีวิต ทยอยล้มลงจนกระทั่งมองเห็นสวี่ชิงที่เดินออกมาจากวงล้อมศพเหล่านั้น!

ร่างสวมเสื้อกลับขนสัตว์ที่ไม่รู้ถูกย้อมด้วยเลือดสดไปเท่าไร รองเท้าสานถูกย้อมจนกลายเป็นสีดำ ผมยาวสยายกลางสายลม ดวงตา…เย็นชาราวกับหมาป่าเดียวดายคู่หนึ่ง

เขาทิ้งมือขวาลง บนกริชที่ถือไว้มีเลือดสดไหลย้อยมาตามคม หยดลงบนพื้นดินทีละหยด

ข้างๆ เขามีศพกองอยู่เจ็ดแปดศพ แต่ละศพล้วนตายอย่างน่าเวทนา ไม่ใช่ว่าสวี่ชิงสังหารอย่างโหดเหี้ยม แต่บาดแผลทั้งหมดบนจุดสำคัญมันน่าสังเวชเกินจะกล่าว

และการลงมือของสวี่ชิงเป็นการสังหารเป็นหลัก ไม่มีท่าทางการเคลื่อนไหวที่มากเกินพอดี ดังนั้นจึงทำให้คนเก็บกวาดที่เห็นฉากนี้ ต่างจิตใจสั่นสะเทือนขึ้นมาอีกครั้ง

สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ ดวงตากระหายเลือดแผ่ซ่าน ไม่เหลียวมองศพเหล่านั้น ย่ำดินทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

เป้าหมายก็คือจวนหัวหน้าฐานที่อยู่ห่างจากเขาประมาณสามร้อยกว่าจั้ง

จากการที่เขาเข้ามาใกล้ คนชุดดำของคาราวานรถที่เหลืออยู่สิบกว่าคนและองครักษ์หัวหน้าฐานอีกไม่กี่คนด้านหน้าจวนหัวหน้าฐานก็ทยอยสั่นสะเทือนไปหมด ถอยหลังตามสัญชาตญาณ

และหลังจากสวี่ชิงวิ่งทะยานไปไม่กี่ก้าว ก็เงยหน้าขึ้นไปมองร่างสองร่างที่อยู่บนชายคา

กลิ่นอายของทั้งสองแข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่ที่เขาสังหารมาตลอดทาง ขณะเดียวกันก็เป็นสองคนผู้แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มศัตรูที่เขาเผชิญหน้าด้วยในปัจจุบัน

สวี่ชิงเข้าใจสถานการณ์ในวันนี้เป็นอย่างดีว่า เมื่อเลือกลงมือแล้ว…ก็ต้องสังหารให้เรียบ และตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ ก็เป็นทางผ่านไปจวนหัวหน้าฐานพอดี

ดังนั้นหลังจากที่เขาเดินไปไม่กี่ก้าว จึงยกมือซ้ายขึ้น กระดิกนิ้วกวักไปทางคนทั้งสองบนชายคา

“กำเริบเสิบสานนัก!” ชายชราชุดน้ำเงินหรี่ตาลง สายตาเผยความเย็นเยียบ ร่างไหววูบ ย่ำอากาศจากชายคาลงมาหาสวี่ชิง!

องครักษ์กับคนชุดดำที่เห็นฉากนี้ และเหล่าคนเก็บกวาดที่อยู่ด้านหลังก็ต่างสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง ในความรู้ของพวกเขา มีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับสร้างฐานเท่านั้นถึงสามารถเดินเหินย่ำอากาศได้

และสำหรับพวกเขาแล้ว ระดับสร้างฐานก็เป็นเหมือนเซียนบนฟ้าอย่างไรอย่างนั้น

คนมากมายที่ไม่เคยเห็นมาทั้งชีวิต กระทั่งพูดได้ว่าผู้แข็งแกร่งสร้างฐานคนหนึ่ง สามารถกลายเป็นบรรพชนในสำนักเล็กๆ หรือตระกูลเล็กๆ อย่างสำนักวัชระได้เลยทีเดียว

เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสชุดน้ำเงินคนนี้ไม่ใช่ระดับสร้างฐาน เขาเพิ่งจะแค่ระดับรวมลมปราณขั้นแปดเท่านั้น

การย่ำอากาศของเขาเป็นเพียงการใช้เล่ห์เหลี่ยม ข้องเกี่ยวไปถึงวิชาวายุที่เขาฝึกบำเพ็ญเท่านั้น ไม่มีคุณค่าด้านพลังต่อสู้แต่อย่างใด และคงอยู่ได้ไม่นานเท่าไรอีกด้วย เป็นแค่การดึงดูดความสนใจเท่านั้น

แต่สำหรับคนรอบข้าง ฉากนี้ก็ยังสะเทือนเลื่อนลั่นไปถึงจิตใจอยู่ดี

ทว่าสวี่ชิงไม่สนใจ จังหวะที่อีกฝ่ายย่ำอากาศเข้ามา เขาแอบสาดโปรยพิษ พุ่งร่างทะยานออกไปในพริบตา

ด้วยความเร็วสูงจนพื้นทิ้งภาพคงค้างไว้ จังหวะที่หน้าชายชราชุดคลุมน้ำเงินหน้าถอดสีเพียงครู่เดียว สวี่ชิงก็ปรากฏตัวเบื้องหน้าเขาแล้ว

หนึ่งหมัดซัดออกไป ปรากฏภาพเงาขุย คำรามออกมาไร้ซุ่มเสียง จนทำให้ร่างชรากลางอากาศคิดจะหลบก็หลบไม่ทัน ทำได้เพียงรีบร้อนประกบปางสร้างเกราะป้องกันขึ้นมาเท่านั้น

การป้องกันของเขาถูกซัดจนดังสนั่นแตกออกทีละชุ่น ทำให้ร่างของชายชราต้องถอยหลังด้วยหมัดนี้ของสวี่ชิง และมีเหล็กแหลมสีดำเปล่งแสงเย็นเยียบ พุ่งหวีดหวิวไล่ตามชายชราเข้าไปอีกที

เสียงปึงดังขึ้น

เหล็กแหลมสีดำถูกโล่ใบหนึ่งสกัดไว้

พอโล่แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พลังของเหล็กแหลมก็สลายไปเช่นกัน จนเผยให้เห็นชายชราชุดน้ำเงินกระอักเลือดสดออกมาอย่างน่าเวทนาด้านหลังโล่

สีหน้าชายชราตอนที่จะอ้าปากดูไม่ได้ ทว่าสวี่ชิงก็ใช้เท้าขวาเหยียบพื้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ร่างกายเข้าประชิดตัวเสียงสนั่นอีกครั้ง

ม่านตาของชายชราหดลง โทสะแผ่ซ่าน ระหว่างที่มือทั้งสองยกขึ้น ก็ปรากฏลมพายุขึ้นรอบด้านในพริบตา พัดกวาดไปทั่วสารทิศ

เขาสูดลมหายใจหนัก สายลมเหล่านั้นก็ทะลักเข้าไปในปาก จนใบหน้าเขาแดงก่ำ ในดวงตาเผยความโหดเหี้ยม คิดจะอ้าปากแล้วพ่นออกมา

แต่พริบตาต่อมา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ดวงตาปูดโปน ผิวหนังดำคล้ำขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีอาการเหมือนติดพิษ ร่างกายสั่นกระตุกอย่างรุนแรง

“เจ้า…”

ไม่รอให้เขาพูดจบ สวี่ชิงที่ไม่ผ่อนความเร็วลงแม้แต่น้อยก็เข้าประชิดตัวในพริบตา

กริชในมือแดงฉานเป็นสีแดงขึ้นราวกับเหล็กที่ออกจากเตาอย่างไรอย่างนั้นภายใต้ความเร็วของเขา ปาดผ่านอย่างรุนแรงที่คอของชายชรา

เลือดสดหลั่งทะลัก กรีดร้องเสียงแหลม ศีรษะของเขาก็ถูกมือซ้ายของสวี่ชิงคว้าไว้ ระหว่างพุ่งไปด้านหน้าก็กระชากหัวเขาจนหลุดออกจากร่าง

ทั้งหมดนี้รวดเร็วเกินไป!

พริบตาต่อมา สวี่ชิงโยนศีรษะที่ติดพิษจนเป็นสีม่วงคล้ำในมือไปข้างๆ ชายกลางคนที่ยืนอยู่บนชายคาที่สีหน้าดูไม่ได้ กระทั่งในดวงตายังมีแววพรั่นพรึงออกมา

จากนั้นจึงยกมือซ้ายขึ้น กระดิกนิ้วเรียกไปทางเขาเหมือนเมื่อครู่

เวลาเหมือนหยุดลงชั่วขณะ

จะคนเก็บกวาดก็ดี หรือเหล่าองครักษ์ก็ดี และยังมีคนจากในคาราวานรถเหล่านั้นก็ต่างมีคลื่นโหมโถมฟ้ากระหน่ำกลางจิตใจกันหมด แต่ละคนถลึงตามองค้าง สั่นเทาขึ้นมาอย่างยากจะพรรณนาไปทั้งร่าง

“แข็ง…แข็งแกร่งเกินไปแล้ว…”

“พิษหรือ…พิษที่รุนแรงเหลือเกิน!” ในกลุ่มคนเก็บกวาด มีคนงึมงำออกมาเสียงสั่น

ชายกลางคนบนชายคา หายใจหอบถี่

“สำนักวัชระมีแต่ขยะหรือไรกัน ตอนลงมือยังต้องโอ้อวดด้วยหรือ!!”

เขาเข้าใจดี ว่าชายชราชุดน้ำเงินไม่ได้อ่อนแอเพียงนี้ วิชาวายุของอีกฝ่ายน่าตกตะลึงอย่างมาก แต่ความผิดก็อยู่ที่ตอนโอ้อวดย่ำอากาศจนเสียโอกาสไปนั่นล่ะ แล้วยังดูแคลนศัตรูจนไม่รู้สึกถึงพิษของอีกฝ่ายจนสูดเข้าไปเต็มท้องอีก

ว่ากันถึงที่สุดแล้ว เพราะความสุขสบายของผู้บำเพ็ญในสำนัก ทำให้ด้านความโหดเหี้ยมและความเฉียบแหลมของพวกเขา ยังสู้เหล่าคนเก็บกวาดที่ลับคมมาภายใต้การดิ้นรนเอาตัวรอดไม่ได้อยู่โข

ชายกลางคนคิดถึงจุดนี้ก็ล้วงเอายาลูกกลอนแก้พิษต่างๆ นานาออกมาแล้วกลืนลงไปทีเดียวจนหมด

จากนั้นก็เคี้ยวกร้วมๆ ทั้งตัวก็เกิดเสียงกร๊อบๆ ขึ้นมาทันที

ร่างกายที่เดิมทีก็ใหญ่โตอยู่แล้ว เวลานี้กลับเปลี่ยนเป็นล่ำสันกว่าเดิม สาวเท้าก้าวใหญ่กระโจนลงมาจากชายคาราวกับเหยี่ยว พุ่งเข้าหาสวี่ชิง

สวี่ชิงก้มหน้า ผมดำบดบังดวงตาเขาเอาไว้ ร่างกายของเขาก็พุ่งตัวอย่างรวดเร็วเข้าประชิดตัวศัตรูเช่นกัน

กระทั่งพริบตาต่อมา ร่างของเขาก็ระเบิดความเร็วกระแทกเข้าไปตรงๆ พร้อมกัน

เสียงตูมดังสนั่น ชายกลางคนทางนั้นสั่นสะท้านไปทั้งร่าง สีหน้าเผยความตกตะลึงอย่างแรงกล้าออกมา เส้นผมตรงหน้าสวี่ชิงถูกลมพัดกระพือขึ้น จนเผยให้เห็นดวงตาสีเลือดที่เฉียบคม

เขาสัมผัสถึงพลังน่าตกตะลึงที่มาจากอีกฝ่ายแต่ก็ยังสู้ตนเองไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นการฟื้นฟูของเขายังแข็งแกร่งยิ่งกว่า เวลานี้ดวงตาระเบิดจิตสังหาร พลังในร่างกายเพิ่มขึ้นก็ซัดออกไปอีกหมัด!

การปะทะกันระหว่างฝึกกายา ทั้งเรียบง่ายและโหดร้าย

พวกเขาปะทะกันอย่างต่อเนื่องบนถนน

ขณะที่เสียงครืนครันดังก้องไปทั้งสารทิศ เกิดแรงปะทะขึ้นจนบ้านเรือนพังทลายลงทีละหลังๆ

ผู้บำเพ็ญกลางคนหายใจหอบถี่ขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าขาวซีด ร่างกายสั่นสะท้าน เส้นเอ็นดีดผึงทั้งร่าง ในดวงตามีเส้นเลือดแผ่ซ่าน ปิดบังความสะพรึงและความสิ้นหวังในใจไว้ไม่อยู่

พลังและความเร็วเขาสู้สวี่ชิงไม่ได้ พลังฟื้นฟูก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว

ดังนั้นกระบวนทั้งหมดก็ประมาณสามสิบกว่าอึดใจ หมัดของเขาแตกสลาย เลือดเนื้อเละเทะดูไม่ได้

ท่อนแขนรับไม่ไหว ถูกทำลายด้วยพลังมหาศาลของสวี่ชิง แยกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนเลือดเนื้อเศษกระดูกแตกกระจาย ท่ามกลางเสียงกรีดร้องแหลม สวี่ชิงก็กระโจนร่าง กระแทกหัวเข่าอย่างรุนแรงไปที่หน้าผากชายกลางคน

เสียงปึงดังขึ้น เสียงเนื้อกระดูกถูกบดเข้ามาแทนที่เสียงกรีดร้อง เสียงด้านหลังหยุดลงกะทันหัน ลมหายใจขาดห้วง

ในดวงตาสวี่ชิงยังคงจิตสังหารคุกรุ่น ย่ำลงไปบนศพชายกลางคนที่ล้มลงโดยไม่เหลียวหลังมอง กระโจนพุ่งต่อไปยัง…จวนหัวหน้าฐาน!

องครักษ์กับคนของคาราวานด้านนอกจวนหัวหน้าฐานเหล่านั้น เวลานี้ก็ถูกทำให้สั่นสะเทือนจนขี้หดตดหายไปหมดแล้ว

เมื่อเห็นสวี่ชิงพุ่งเข้ามาราวกับเทพมารที่เลือดสดท่วมตัว ความปรารถนาที่จะอยู่รอดจึงมีมากเหนือสิ่งอื่นใด และไม่รู้ว่าใครเริ่มที่หลบออกไปก่อน เพียงพริบตาเดียวพวกเขาก็แตกฮือไปทั้งหมด

ดังนั้นเหล่าคนเก็บกวาดที่มารวมตัวกันทั้งฐานที่มั่น สายตาสั่นสะเทือนถึงขีดสุด ร่างของสวี่ชิงก็หวีดหวิวจนกระพือลม พุ่งทะยาน…ตรงไปยังประตูใหญ่จวนหัวหน้าฐาน

และพริบตาที่เขาเข้าใกล้ ประตูใหญ่ก็พังทลายกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจากด้านในพุ่งออกมา มีหนึ่งหมัดยื่นออกมา ปะทะเข้ากับสวี่ชิงที่เข้ามาพอดี

เสียงตูมดังสนั่น ร่างของสวี่ชิงถอยหลังเป็นครั้งแรก

ถอยไปสามก้าวเขาก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาราวเหยี่ยว จ้องเขม็งเย็นชาไปยังประตูด้านในที่พังทลายลงเมื่อครู่ หัวหน้าฐานในชุดคลุมยาวสีทองเดินออกมาด้วยสีหน้าปั้นยาก

และด้านหลังของเขา ยังมีชายชราหน้าตาบูดบึ้งเคร่งขรึมในชุดผ้าแพรปักดิ้นอีกคนหนึ่ง!

ในมือชายชรา หิ้วร่างที่สวี่ชิงคุ้นเคยเอาไว้!

พริบตาตอนที่เห็นร่างนั้น สวี่ชิงก็ร่างสั่นเทิ้ม อารมณ์ที่ไม่อาจพรรณนาได้ปะทุขึ้นมาอย่างแรงกล้าในจิตใจ

นั่นคือ หัวหน้าเหลย

ที่กำลังหายใจรวยริน