ฉีหยวนดื่มจนกระทั่งเวลาเที่ยงคืนก่อนจะกลับไปที่ยอดเขาหยกน้อย
หลี่ฉางโซ่วไม่ได้เห็นอาจารย์มีความสุขมากมาเป็นเวลาเจ็ดหรือแปดปีแล้ว เมื่ออาจารย์ของเขาเดินไป ก็จะร้องเพลงเบาๆ ที่หลี่ฉางโซ่วไม่เคยได้ยินมาก่อน
เมื่อเขาเดินผ่านประตูของหลี่ฉางโซ่ว ฉีหยวนก็ร้องตะโกนออกมาว่า “ฉางโซ่ว เจ้ากำลังบำเพ็ญเพียรอยู่งั้นหรือ”
“เรียนท่านอาจารย์ ศิษย์กำลังหยุดพักผ่อนขอรับ วันนี้ขอพักจิตใจและความคิดเพื่อเตรียมฝึกบำเพ็ญใหม่ในวันพรุ่งนี้ขอรับ” หลี่ฉางโซ่วที่กำลังนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่บนเตียงฟาง ลืมตาขึ้นแล้วตอบ ขณะที่เขากำลังจะลุกขึ้นยืนเพื่อไปเปิดประตูให้อาจารย์ เขาก็ได้ยินเสียงอาจารย์หัวเราะออกมาแล้วกล่าวว่า
“พักเถิด พักเถิด อาจารย์จะกลับไปปิดด่านบำเพ็ญเพียรต่อไป ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก เจ้าช่วยศิษย์หลานเสวียนหย่าแห่งยอดเขาพิชิตสวรรค์เอาไว้ด้วยการใช้เวทหลบหนี ซึ่งช่วยสร้างความรุ่งโรจน์ให้ยอดเขาหยกน้อยของเราจริงๆ แต่เจ้าไม่อาจพอใจกับมันให้มากเกินไปได้ ทุกสิ่งควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของการบำเพ็ญเต๋า อย่าใช้เวลาและความพยายามในการฝึกฝนวิชาเวทหลบหนีของเจ้าจนมากเกินไปล่ะ!”
“ศิษย์เข้าใจแล้วขอรับ” หลี่ฉางโซ่วกล่าวตอบจากในบ้านพักของเขา
ผู้เฒ่าฉีหยวนแย้มยิ้มขณะลูบเคราของเขาแล้วเอ่ยแนะนำว่า “อืม จงฝึกฝนอย่างหนักต่อไปเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ระดับฐานพลังของเจ้าเอาไว้ให้ดี เจ้าไม่อาจเร่งรีบฝึกบำเพ็ญมากเกินไป แต่ต้องก้าวหน้าไปเรื่อยๆ เป็นขั้นเป็นตอนอย่างมั่นคงเท่านั้น จึงจะสามารถข้ามผ่านอุปสรรคสำคัญและรุดหน้าไปได้ เจ้าพักผ่อนเถิด อาจารย์จะปิดด่านบำเพ็ญเพียรแล้ว หลิงเอ๋อร์เป็นห่วงเจ้ามากในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้จนดูซีดเซียวทีเดียว อย่าลืมไปปลอบโยนนางสักสองสามคำในวันพรุ่งด้วยเล่า”
“ขอรับ” หลี่ฉางโซ่วตอบรับเบาๆ ด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
ฉีหยวนหัวเราะแล้วจากนั้นก็ร้องเพลงเบาๆ ขณะก้าวกลับไปที่กระท่อมมุงจากของเขา และเมื่อเข้าไปแล้ว เขาก็เปิดค่ายกลหลากหลายเอาไว้รอบบ้านพักของเขา
การฝึกฝนนั้นต้องการความเงียบสงบ จึงจำเป็นต้องวางค่ายกลประเภทป้องกันเสียงรบกวนและค่ายกลประเภทเฝ้าระวังต่างๆ เอาไว้
หลี่ฉางโซ่วมองดูกล่องหยกในคลังเวทจัดเก็บของเขา แล้วถอนหายใจเบาๆ อย่างโล่งอก เขาจะเตรียมตัวอีกสักหลายวันก่อนที่จะเริ่มสร้างหอโอสถซึ่งเขาใฝ่ฝันมาเป็นเวลานานแล้ว ในที่สุดเขาก็จะสามารถเปิดเตาหลอมเพื่อหลอมโอสถสลายเซียนได้
ตราบใดที่เขาสามารถหลอมโอสถสลายเซียนได้สำเร็จ และเกลี้ยกล่อมให้อาจารย์ของเขาใช้โอสถนี้ในยามข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้ ความเป็นไปได้ที่อาจารย์จะมีโอกาสรอดพ้นจากวิกฤตการณ์นี้อาจถึงเก้าในสิบส่วนทีเดียว
สำหรับสิ่งมีชีวิตซึ่งต้องการคงชีพยืนยาวตลอดไปนั้น ย่อมนับเป็นการท้าทายสวรรค์ ดังนั้นการกลายเป็นเซียน จึงต้องข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ทันทีที่ทัณฑ์สายฟ้าฟาดลงมา นั่นคือการตัดสินความเป็นความตายของพวกเขา
ตั้งแต่โบราณกาลในบรรดาผู้ที่ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์เพื่อบรรลุสู่เซียนนั้น ล้วนไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวอย่างมั่นใจเต็มที่ว่าพวกเขาจะข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ไปได้สำเร็จอย่างแน่นอน
แต่เนื่องจากอาจารย์เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อนครั้งหนึ่งในช่วงต้นๆ ของการบำเพ็ญ ทำให้ฐานพลังเต๋าของเขาได้รับความเสียหาย ดังนั้นขอบเขตพลังในการฝึกบำเพ็ญและการทะลวงด่านของเขาจึงไม่เสถียร และพลังวิญญาณของเขาก็อ่อนแอลงเหลือราวครึ่งหนึ่งของผู้บำเพ็ญธรรมดาที่อยู่ในขอบเขตคืนกลับเต๋าวิถีขั้นเก้า
หากหลี่ฉางโซ่วไม่พบวิธีอื่นที่จะช่วยเขาได้ เมื่อเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์อาจารย์ของเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน
ถึงกระนั้นฉีหยวนก็ยังคงยืนกรานจะต้านทานทัณฑ์สวรรค์เพื่อบรรลุสู่เซียน…
ฉีหยวนไม่ได้เป็นเพียงแค่อาจารย์ของหลี่ฉางโซ่วกับหลิงเอ๋อร์เท่านั้น แต่ยังเป็นปรมาจารย์ผู้นำแห่งยอดเขาหยกน้อยอีกด้วย และเป็นปรมาจารย์ผู้นำยอดเขาเพียงคนเดียวในสำนักตู้เซียนที่ยังไม่บรรลุสู่เซียน จึงเป็นผลให้บรรดาปรมาจารย์อาวุโสผู้นำยอดเขาคนอื่นๆ ไม่เคยแจ้งการตัดสินใจต่างๆ ของพวกเขาให้ยอดเขาหยกน้อยได้รับทราบเลย
เมื่อเปรียบเทียบกับจิ่วจิ่วที่มาเข้าร่วมสำนักตู้เซียนหลังจากที่ฉีหยวนเข้าสำนักมาได้หลายปี ทว่าบัดนี้นางได้กลายเป็นเซียนเสิ่นและทิ้งให้ฉีหยวนตามหลังนางห่างไกลแล้ว
ก่อนที่จะบรรลุสู่เซียน ผู้บำเพ็ญมนุษย์จะต้องมีอายุไม่เกินสามพันปี นี่คือขีดจำกัดแห่งเต๋า ซึ่งอันที่จริงแล้วฉีหยวนยังมีเวลาอีกหลายร้อยปีหรืออาจมากกว่าหนึ่งพันปี
แต่หลี่ฉางโซ่วก็รู้ว่าอาจารย์ของเขาไม่ต้องการระงับขอบเขตพลังของเขาอีกต่อไป นับประสาอะไรกับที่จะยอมรอเวลาจนกระทั่งอายุขัยไม่เพียงพอที่จะฟันฝ่าให้บรรลุสู่เซียน
บางครั้งหลี่ฉางโซ่วก็สัมผัสได้ว่าอาจารย์ของเขามีความคิดว่าเป็นการเสาะหาความตายภายใต้ทัณฑ์สวรรค์ และต้องการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตของตัวเองให้รอดด้วยหัวใจมนุษย์!
ทั้งหมดนี้ฟังดูสูงส่งและทรงพลังมาก แต่ในสายตาของหลี่ฉางโซ่วแล้ว ความคิดของอาจารย์เขานั้นทั้งดื้อรั้นและโง่เขลาอย่างยิ่ง
และนั่นคือเหตุผลที่หลี่ฉางโซ่วได้เริ่มเตรียมการอย่างลับๆ มาตั้งแต่เมื่อสิบห้าปีก่อนแล้ว…
ดังนั้นหลี่ฉางโซ่วจึงตัดสินใจละทิ้งหลักการของเขาเป็นครั้งแรก โดยออกจากที่ปลอดภัยบนยอดเขาของสำนักและไปยังดินแดนเทวะอุดร หลังจากค้นพบหญ้าสลายเซียน แล้วได้ตรึกตรองเล็กน้อย เขาจึงตัดสินใจที่จะเสี่ยงและวางแผนจัดการเจ้าอสรพิษคลื่นครามสามตา อวี่เหวินหลิง และคนอื่นๆ
แก่นหลักของแผนแรก ‘การช่วยอาจารย์ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์’ ที่หลี่ฉางโซ่วจัดเตรียมไว้คือ การใช้หญ้าสลายเซียนเพื่อหลอมโอสถสลายเซียน
เมื่อถึงเวลาที่อาจารย์ของเขาต้องข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ ตราบใดที่อาจารย์สามารถต้านทานทัณฑ์สายฟ้าแรกและสร้างกระแสพลังวิญญาณอมตะขึ้นมาได้ เขาก็จะสามารถกลืนโอสถสลายพลังเซียนได้โดยตรง โอสถนั้นจะช่วยให้เขาแสร้งทำเป็นตายและเปิดใช้งาน ‘การข้ามผ่านด้วยความตาย’ หลังจากนั้นเขาก็จะสามารถหลีกเลี่ยงทัณฑ์สวรรค์ที่จะตามมาได้
หากไม่อาจต้านทานทัณฑ์สวรรค์ พวกเขาสามารถทำให้ทัณฑ์สายฟ้ากระจายหายไปได้ด้วยความตายและพวกเขาจะกลายเป็น ‘เซียนจั๋ว’
แม้ว่าฐานพลังและพลังวิเศษของเซียนจั๋วจะด้อยกว่าเซียนหยวนธรรมดามาก แต่ก็มีอายุขัยใกล้เคียงกัน และพวกเขาก็ยังสามารถฝึกฝนเพื่อขึ้นไปต่อได้
ตามบันทึกโบราณนั้นขอบเขตพลังสูงสุดที่เซียนจั๋วจะสามารถฝึกบำเพ็ญได้คือ ขอบเขตเซียนเสิ่นเท่านั้น ดังนั้นวิถีนี้จึงมักถูกเรียกอีกอย่างว่า ตี้เซียน (เซียนพิภพ) เพื่อแยกความแตกต่างจากเซียนเทียน(เซียนสวรรค์)
ส่วนหนึ่งของแผนแรกนี้ หลี่ฉางโซ่วสามารถวางแผนชีวิตของอาจารย์ของเขาในช่วงหลายปีหลังจากนั้นได้
เมื่ออาจารย์ของเขากลายเป็นตี้เซียนและบำเพ็ญเพียรนานนับร้อยๆ ปี อาจารย์ก็จะสามารถไปที่ศาลสวรรค์ที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นซึ่งยังไม่มีกำลังคนและต้องการกำลังคนอย่างเร่งด่วน ณ ที่นั้น เขาย่อมจะได้รับตำแหน่งหน้าที่ อาทิ เป็นเจ้าที่ ในฐานะเทพแห่งแผ่นดิน เทพแห่งขุนเขา หรือเทพแห่งสายน้ำ ภายในดินแดนเล็กๆ ตราบเท่าที่เขาจะเพลิดเพลินไปกับเครื่องบูชาที่มีกลิ่นหอม และจะมีอายุขัยยืนยาวเทียบเท่ากับเซียนเสิ่นธรรมดา
หากอาจารย์ของเขาสามารถสร้างความสำเร็จในผลงานมากยิ่งขึ้น และได้รับกุศลกรรมเพิ่มจากศาลสวรรค์ เขาก็อาจจะมีอายุขัยยืนยาวกว่าเซียนเทียนบางคนด้วยซ้ำ
อีกประการหนึ่ง อาจารย์ของเขาไปยังศาลสวรรค์ก็สามารถสร้างเครือข่ายในศาลสวรรค์ได้ และเมื่อหลี่ฉางโซ่วและศิษย์น้องหญิงของเขาพร้อมแล้ว พวกเขาก็สามารถไปที่ศาลสวรรค์เพื่อหางานสบายๆ ได้เช่นกัน จากนั้นในอนาคตพวกเขาก็จะสามารถขึ้นเป็นผู้อาวุโสขององค์กรจัดการสามอาณาจักร แล้วจากนั้นก็ลาออกไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุขจนแก่เฒ่า
ช่างเป็นแผนที่สมบูรณ์แบบยิ่ง
การหลอมโอสถนี้ไม่นับว่าซับซ้อนยุ่งยากเท่าใดนัก หากเขาสามารถขอให้เซียนเสิ่นอย่างอาจารย์อาจิ่วจิ่วมาช่วยได้ และหากเขาสามารถเตรียมส่วนผสมได้มากขึ้น เขาย่อมจะสามารถหลอมโอสถนี้ออกมาได้เสมอ ทว่า…
อาจารย์ของเขาเป็นผู้บำเพ็ญที่เป็นแบบอย่างในสำนัก เขาเป็นคนประเภทที่ยอมเผชิญหน้ากับการทนทุกข์และความตายดีกว่าเสียชื่อเสียง ดังนั้นการเกลี้ยกล่อมให้เขาใช้วิธีนี้เพื่อเอาตัวรอดย่อมยากเสียยิ่งกว่าการควานหาหญ้าสลายเซียนจริงๆ
แต่ถึงกระนั้นในฐานะศิษย์ของเขา หลี่ฉางโซ่วย่อมต้องอดทนแบกรับต่อกรรมนี้ นี่เป็นความรับผิดชอบที่เขาไม่อาจหลีกเลี่ยงไปได้
และหากวิธีนี้ไม่ได้ผลจริงๆ เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากทำได้เพียงแค่ต้องหลอกล่อและหลอกลวง ด้วยการห่อโอสถสลายเซียนเป็นเม็ดขนมและบอกท่านอาจารย์ของเขาว่านี่คือเม็ดโอสถเซียนคงชีพ
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว หลี่ฉางโซ่วก็แย้มยิ้มออกมาทันที