ในขณะนี้ท่ามกลางเสียงแมลงที่ร้องอยู่นอกหน้าต่าง เขาเริ่มคิดถึงประสบการณ์ในระหว่างการเดินทางครั้งนี้ของตัวเอง และทบทวนหาข้อบกพร่องของตัวเขาเอง
หลี่ฉางโซ่วยังไม่เก่งกาจพอที่จะจัดการกับเซียนหยวน เขายังไม่เร็วพอที่จะจัดการพวกเขาได้
ยังคงมีข้อบกพร่องของตุ๊กตากระดาษที่ต้องให้เขาปรับปรุง ร่างจำแลงที่เขาสร้างขึ้นมานั้น ยังดูไม่สมจริงอย่างสมบูรณ์แบบ
ส่วนเวทหลบหนีแห่งเบญจธาตุนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ยังคงช้าอยู่เล็กน้อยในระหว่างการเปลี่ยนแปลงเวทหลบหนีของแต่ละธาตุ ยามเมื่อเขาเข้าไปในรากต้นสนโบราณ เขายังพบกับความผันผวนบางอย่างที่ไม่มั่นคงในดิน…
หลังจากตรวจสอบตัวเองมาระยะหนึ่งแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็มีเวลาปรับปรุงข้อบกพร่องเหล่านี้ จนในที่สุดหลี่ฉางโซ่วก็ไม่ต้องออกไปที่ใดอีกต่อไป เขาตั้งใจฝึกบำเพ็ญอย่างขยันขันแข็งอยู่บนภูเขา
ส่วนเรื่องทัณฑ์สวรรค์ของเขาเองนั้น…
หลี่ฉางโซ่วยังไม่รีบร้อน ตราบใดที่เขายังไม่มั่นใจถึงเก้าสิบเก้าส่วนจากหนึ่งร้อยส่วน ว่าเขาจะรอดพ้นจากการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้ หลี่ฉางโซ่วก็จะไม่ทำตามขั้นตอนนี้อย่างแน่นอน
สำหรับหนึ่งส่วนนั่น (ในร้อยส่วน) ให้กับพลังเต๋าสวรรค์ที่อาจถูกใช้จนหมดเกลี้ยงแล้ว
ตึ้ง!
จู่ๆ ก็มีหินก้อนหนึ่งกระแทกเข้ากับผนังไม้ของกระท่อมมุงจากของเขา หลี่ฉางโซ่วคำนวณเวลาด้วยนิ้วมือของเขาและตระหนักว่าบัดนี้เวลาได้ล่วงผ่านยามเซิน[1]*มาแล้ว
หลี่ฉางโซ่วลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากกระท่อมมุงจากตรงไปยังกระท่อมที่ศิษย์น้องหญิงน้อยของเขาพำนักอยู่
……
ในช่วงสิบปีที่ศิษย์น้องหญิงน้อยของเขาเข้าร่วมสำนัก หลันหลิงเอ๋อร์ได้รับทั้งการอบรมสั่งสอน ทั้งบทเรียนเสริม รวมทั้งแนวทางการใช้ชีวิตในช่วงยามเซิน
เมื่อหลี่ฉางโซ่วมาถึงหน้ากระท่อมมุงจากของนาง เขาก็เคาะประตูไม้เบาๆ เพื่อทำให้มันแง้มออกมาเล็กน้อยเองก่อนจะผลักประตูแล้วเดินเข้าไป
ทันใดนั้นผ้าม่านสีชมพูก็กระพือขึ้น แถมพรมใต้เท้าของเขาก็ยังเป็นพรมสีชมพู
เมื่อมองผ่านม่านโปร่งแสง เขาก็มองเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยกำลังนอนอยู่บนเตียงโดยหันใบหน้าของนางเข้าทางด้านใน ชุดกระโปรงที่โปร่งบางบนร่างของนางทำให้ปรากฏเป็นภาพรางๆ ที่งดงาม
สิ่งที่ดีเลิศที่สุดก็คือบริเวณที่เลือนรางไม่ชัดเจน ซึ่งอาจทำให้คนรู้สึกอยากแหกกฎ
ทว่าความคิดหนึ่งได้ถูกสกัดกั้น การยับยั้งความคิดสกปรกที่น่ารังเกียจไม่ให้เติบโตต่อไปนั้นย่อมเป็นสิ่งที่น่าให้อภัยได้มากที่สุด
อย่างไรก็ตามหลี่ฉางโซ่วไม่ได้ละสายตาจากนางแต่อย่างใด เขานั่งบนที่นั่งหลักของเจ้าบ้านและกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “เลิกแกล้งหลับได้แล้ว ปกติเจ้าไม่ได้นอนหลับด้วยท่าทางที่งดงามเช่นนี้”
จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงออดอ้อนมาจากทางด้านหลังผ้าม่านว่า “ศิษย์พี่ ข้าเพิ่งเรียนรู้วิธีการสกัดผงยาถอนพลังเซียน และยามนี้ข้าก็รู้สึกเวียนหัวและมึนงงมากจนไม่อาจทำอันใดได้อีก ร่างกายของข้าก็อ่อนกำลังไร้เรี่ยวแรงใดๆ เจ้าค่ะ”
หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าพลางลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ค่อยคุยกันพรุ่งนี้ หาใช่เรื่องใหญ่อันใดไม่”
“ไม่นะ!” หลิงเอ๋อร์ระเบิดเสียงร้องลั่นออกมาทันที แล้วรีบกล่าวออกมาอย่างไม่พอใจเล็กน้อยว่า “นั่งลงก่อนเจ้าค่ะ! ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้แล้ว! เหอะ! วันนี้ท่านต้องอธิบายให้ชัดเจนว่าเหตุใดท่านถึงกลับมาช้ามากเช่นนี้!”
จากนั้นก็มีเสียงพึ่บพั่บมากมายดังขึ้น หลันหลิงเอ๋อร์รีบสวมชุดกระโปรงยาวก่อนจะเดินออกมาจากทางด้านหลังม่านแล้วไปนั่งทางด้านซ้ายของโต๊ะพร้อมกับจ้องมองไปที่หลี่ฉางโซ่วอย่างฉุนเฉียว
หลี่ฉางโซ่วอดจะยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ขณะกล่าวว่า “พวกเราพบเรื่องไม่คาดฝันจริงๆ เจ้ารู้จักหยวนชิงแห่งยอดเขาพิชิตสวรรค์หรือไม่”
“อื้ม” หลิงเอ๋อร์กะพริบตาแล้วกล่าวว่า “ศิษย์ของยอดเขาพิชิตสวรรค์ที่เดินทางไปดินแดนเทวะอุดรกับท่านในวันนั้น เขาครองอันดับที่สองอยู่ในรุ่นของเรา ว่ากันว่า เขาสุภาพอ่อนโยนยิ่ง”
“จงจำไว้ว่าความอ่อนโยนของบุรุษมักเป็นเพียงแค่ท่าทีภายนอกเท่านั้น ในการเดินทางครั้งนี้ เขาวางแผนทำร้ายโหย่วฉินเสวียนหย่า แต่กลับถูกโหย่วฉินเสวียนหย่าสังหารเขาแทน”
หลี่ฉางโซ่วส่ายหน้าและจัดเรียงภาพที่ปรากฏอยู่ในความทรงจำที่เขาเห็นจากความทรงจำของเศษซากวิญญาณเหล่านั้น
“จริงๆ แล้วทุกสิ่งที่เขาทำล้วนเป็นตัวอย่างของการยอมสูญเสียความยิ่งใหญ่เพียงเพื่อผลประโยชน์เล็กน้อย เขายอมละทิ้งตัวตนของตัวเองในฐานะศิษย์ของสำนักตู้เซียนเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางโลกที่ไร้ความยั่งยืน”
หลันหลิงเอ๋อร์นั่งเท้าคางขณะโน้มร่างพิงกับโต๊ะแล้วถามเสียงเบาว่า “ศิษย์พี่ แล้วเกิดอันใดขึ้นหรือเจ้าคะ”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวช้าๆ ว่า “โหย่วฉินเสวียนหย่าผู้นั้นเป็นองค์หญิงหกของอาณาจักรในดินแดนเทวะทักษิณ ส่วนหยวนชิงผู้นี้ก็เป็นบุตรชายของอนุในตระกูลที่มีอิทธิพลมากของอาณาจักรนั้น เขาถูกเรียกขานว่า คุณชายสี่…
มารดาของหยวนชิงอาจจะเป็นอนุก็จริง แต่นางก็มีอำนาจแข็งแกร่งยิ่ง นางเป็นนายหญิงน้อยจากตระกูลที่มีอิทธิพลมากอีกตระกูลหนึ่ง และตัวนางเองก็มีอิทธิพลอยู่บ้าง…
จากนั้นคนเหล่านี้ก็ตั้งเป้าไปที่องค์หญิงหกซึ่งถูกส่งมาเป็นศิษย์ของสำนักตู้เซียน ตราบใดที่หยวนชิงสามารถอภิเษกกับองค์หญิงหกได้ ไม่เพียงแต่เขาจะกลายเป็นราชบุตรเขยของอาณาจักรในดินแดนมนุษย์นี้เท่านั้น แต่เขายังจะมีอำนาจมากขึ้นในตระกูลของเขาเอง ในขณะเดียวกันเขาก็อาจจะก้าวขึ้นครองอาณาจักรในภายภาคหน้าได้ ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้หยวนชิงเข้าสู่สำนักตู้เซียนได้เช่นกัน…
ทว่าหยวนชิงเองก็ไม่สามารถทำได้สำเร็จ เป็นเวลานานกว่าหกสิบปีแล้วที่เขาก็ยังไม่อาจพิชิตใจสาวงามได้ ผู้ที่ให้การสนับสนุนเขาอยู่เบื้องหลังจึงกังวลใจ และในที่สุดพวกเขาก็ไม่อาจรอได้อีกต่อไป จึงตัดสินใจยอมเสี่ยง…”
หลี่ฉางโซ่วเล่าสรุปสั้นๆ ว่าเกิดอันใดขึ้นก่อนหน้านี้ให้ศิษย์น้องหญิงน้อยของเขาฟัง
“บัดนี้ไม่เพียงแต่คนเหล่านี้จะขโมยไก่ไม่ได้ แต่ยังเสียข้าวสารไปอีกกำมือ[2] พวกเขาล้มเหลวและยังย่อยยับมหาศาล และคาดว่าแม้แต่ทั้งสองตระกูลที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ผู้ปกครองอาณาจักรนั้นย่อมต้องจัดการถอนรากถอนโคนพวกเขาทั้งหมดเพื่อระงับโทสะของสำนักตู้เซียน”
เมื่อมองไปที่ใบหน้าน้อยๆ ซึ่งมีท่าทีครุ่นคิดของหลันหลิงเอ๋อร์ หลี่ฉางโซ่วจึงเอ่ยถามอย่างอบอุ่นว่า “เสี่ยวเอ๋อร์ เจ้าเรียนรู้อันใดจากเรื่องนี้บ้างหรือไม่”
“อืม…”
หลันหลิงเอ๋อร์ครุ่นคิดก่อนจะกล่าวอย่างเฉียบขาดว่า “สตรีไม่ควรเป็นอนุ! มิฉะนั้นมันจะเป็นความยากลำบากอย่างยิ่งในการต่อสู้แย่งชิงอำนาจจัดการเรือน!”
“แค่กๆ!”
หลี่ฉางโซ่วอดที่จะเอามือก่ายหน้าผากของเขาไม่ได้ “แล้วมีอันใดอีก”
“แผนของหยวนชิงนี้หยาบมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ทรงอิทธิพลของตระกูลใหญ่เหล่านี้ยังประเมินพลังของสำนักตู้เซียนและคุณภาพของศิษย์สำนักตู้เซียนต่ำมากเกินไป”
หลันหลิงเอ๋อร์เริ่มวิเคราะห์อย่างจริงจังว่า “ข้าคิดว่าวิธีที่ถูกต้องของแผนการก็คือ การระงับใจจากโหย่วฉินเสวียนหย่า อดทนต่อความปรารถนาของพวกเขาเป็นเวลาหลายพันปี เพื่อรอจนกระทั่งหยวนชิงฝึกบำเพ็ญจนกลายเป็นเซียนเทียน
และหลังจากลงจากยอดเขาสำนักแล้ว ให้ไปเป็นผู้บงการที่ซ่อนอยู่ในเงามืดคอยชักใยอยู่เบื้องหลังผู้ปกครองอาณาจักรในดินแดนมนุษย์ และด้วยอำนาจของเขาย่อมสามารถแย่งชิงทรัพยากรทางการเงินของอาณาจักรนี้ได้ นำมามอบให้แก่สำนักเพื่อเพิ่มสถานะและความสำคัญของเขาในสำนักตู้เซียน ด้วยวิธีนี้เขาจะประสบความสำเร็จทั้งด้านการฝึกบำเพ็ญเซียนและการแสวงหาอำนาจในดินแดนมนุษย์!
การที่อยากจะเถลิงอำนาจในฐานะราชบุตรเขยนั้นช่างเพ้อฝันยิ่ง! เพราะราชาแห่งอาณาจักรเหล่านี้ย่อมไม่ขาดโอรสผู้สืบทอดของพวกเขาอย่างแน่นอน”
หลี่ฉางโซ่วถึงกับเงียบงัน…
“ช่างมันเถิด ให้เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าสนุกไป เจ้าเองก็มาจากตระกูลใหญ่ในดินแดนมนุษย์เช่นกัน ข้าจึงอยากเตือนเจ้าเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้ระมัดระวัง”
“ฮิๆ” หลิงเอ๋อร์หัวเราะคิกคักแล้วกล่าวว่า “ไม่ต้องห่วงหรอกเจ้าค่ะศิษย์พี่ หลิงเอ๋อร์จะไม่ไปที่ใดหากไม่มีศิษย์พี่เจ้าค่ะ”
หลี่ฉางโซ่วอดที่จะส่ายศีรษะและหัวเราะออกมาไม่ได้ “ส่งถุงโอสถมาให้ข้า ข้าจะเติมผงโอสถให้เจ้า คราวนี้เจ้าคงใช้มันไปไม่น้อย”
หลิงเอ๋อร์มีท่าทีสำนึกผิดออกมาทันที และค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งตัวตรงพร้อมกับยกขาเรียวยาวทั้งสองของนางขึ้นชิดกันเพื่อนั่งคุกเข่า พลางวางมือทั้งสองประสานกันลงบนเข่า สายตาคู่งามหลบเลี่ยงไม่ยอมสบตาเขา นางกำลังแสร้งทำเป็นว่า…เชื่อฟัง น่ารัก และออดอ้อนอย่างน่าสงสาร
ผงพิษและโอสถพิษที่ศิษย์พี่ให้ ข้าเพิ่งใช้มันยามออกไปในครั้งนี้ ดังนั้นข้าไม่ได้ทำให้สูญเปล่านักกระมัง…
…………………………………………………………………………………………………………………
[1] ยามเซิน ช่วงเวลาระหว่าง 15:00-16:59 น.
[2] ขโมยไก่ไม่ได้ แต่ยังเสียข้าวสารไปอีกกำมือ หมายถึง ฉวยโอกาสไม่สำเร็จยังขาดทุนอีกต่างหาก