วันถัดมา เมอร์ลินกับเลห์แมนเดินทางไปยังเมืองคอนซิออนพร้อมกับอัศวินหลายสิบนาย
เมืองนี้อยู่ไม่ห่างจากเมืองปรากาซมากนัก พวกเขาใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงก็มาถึง
เมื่อพวกเขาถึงที่หมาย พวกเขาก็กวาดสาตามองรอบๆ พบว่าที่เมืองแห่งดูปกติทุกอย่าง พวกพ่อค้า แม่ค้าต่างส่งเสียงเรียกลูกค้าอย่างจอแจ ภายในเมืองคึกคักมาก มีสินค้ามากมายวางจำหน่าย แม้คอนซิออนจะเป็นเมืองเล็กๆ แต่ก็เป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมาก
“พ่อไม่คิดเลยว่าเคานต์เซลินจะยอมมอบดินแดนอันรุ่งเรืองให้กับพวกเรา ด้วยเมืองนี้จะทำให้ตระกูลวิลสันเจริญรุ่งเรืองแน่นอน” เลห์แมรกล่าวพอใจ ความเจริญของเมืองคอนซิออนมันเหนือความคาดหมายของเขามาก
“ตระกูลวิลสันจะต้องรุ่งเรืองแน่นอนแต่ไม่ใช่เพราะดินแดนนี้แต่ด้วยพละกำลังของพวกเราต่างหาก” เมอร์ลินพึมพำเบาๆ
เขารู้สึกสงสัยว่าตระกูลเนลสันจะเจริญรุ่งเรืองด้วยดินแดนที่เฟื่องฟูเช่นนี้รึเปล่า? แต่ถึงเขาจะอยากรู้แต่ก็คงไม่ได้คำตอบอยู่ดี
ยังไงก็ตามตอนนี้เมืองคอนซิออนได้เป็นของเมอร์ลินแล้ว แม้ว่าเคานต์เซลินจะมอบให้เขาเพื่อตอบแทนที่ช่วยชีวิตเขาก็ตามแต่เมอร์ลินคิดว่าที่เขายอมมอบให้ก็เพราะเขานั้นเป็นพ่อมด
พ่อมดส่วนใหญ่นั้นสังกัดอยู่ในองค์กรนักเวทย์ พวกพ่อมดที่ไร้สังกัด พวกเขาก็จะถูกเกณฑ์ไปเข้าร่วมกองทัพของอาณาจักรแบล็กมูน กองทัพที่ว่านี้น่าจะเป็นกองทัพของราชวงศ์
แม้ทุก ๆ เมืองจะปกครองด้วยตัวเอง แต่ขุมอำนาจที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในมือของราชวงศ์ หากไม่เป็นเช่นนั้นอาณาจักรแบล็กมูนคงอยู่ในความโกลาหลอย่างแน่นอน
หากแค่มีพลังอำนาจก็สามารถได้ทุกสิ่งตามนึก
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น มันจึงไม่แปลกเลยที่เคานต์เซลินจะทำทุกวิถีทางเพื่อเอาใจเมอร์ลิน
“ที่ตระกูลเนลสันหายไปอย่างสมบูรณ์อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่มีกองกำลังที่แข็งแกร่ง”
แม้เมอร์ลินจะเดินทางข้ามโลกมาแต่โชคชะตาของเขาได้ผูกพันกับตระกูลวิลสันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตราบใดที่เขาสามารถคงพลังอำนาจไว้ เขามั่นใจว่าเคานต์เซลินจะดูแลตระกูลวิลสันต่อไป
แต่อย่างไรก็ตาม หากเมอร์ลินเสียชีวิตหรือหายตัวไป เขากลัวชะตากรรมของตระกูลวิลสันจะมีจุดจบแบบเดียวกับตระกูลเนลสัน
เมอร์ลินที่ไม่สนใจการบริการเมืองคอนซิออน เขาจึงเขาให้เลห์แมนจัดการเรื่องนี้ จากนั้นเขาก็กลับปราสาทเพียงลำพัง…
ในตอนเช้าของฤดูหนาว เมื่อคืนฝนที่ตกลงมาพร้อมกับหิมะอย่างหนัก มันได้สงบลงในตอนรุ่งสาง กลุ่มเมฆเรียงตัวบนเส้นขอบฟ้าและแสงอรุณได้สาดส่องจากนภาลงสู่ผืนปฐพี
วันนี้เป้นที่ท้องฟ้าแจ่มใสซึ่งไม่ค่อยมีบ่อยนักในฤดูหนาว
*ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!*
เสียงเคาะประตูดังขึ้น สาวใช้ในชุดสีเทาได้ส่งเสียงออกมาเบาๆ “ท่านบารอน ชุดของท่านพร้อมแล้วเจ้าค่ะ”
“เข้ามา”
*แอ๊ด!*
สาวใช้ผลักประตูไม้ออกอย่างเบามือ เธอก้มหน้ามองพื้น มือของเธอถือเสื้อผ้าเดินเข้ามาใกล้ ๆ ด้วยความเคารพ
“ท่านบารอนนี่คือชุดสำหรับงานเลี้ยงของท่านในค่ำคืนนี้ คุณผู้หญิงตั้งใจช่วยพวกเราตัดชุดตลอดทั้งคืนเลยเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าวอย่างรวดเร็ว เธอดูกังวลมากอย่างเห็นได้ชัด
“เธอกลัวฉันรึเปล่า?”
เสียงอันแผ่วเบาได้เข้ามาใหหูของสาวใช้ทำให้เธอรู้สึกประหม่า นี่เป็นครั้งแรกที่เธอใกล้กับท่านบารอนขนาดนี้
แม้ว่าคนรับใช้จะบอกว่าท่านบารอนเป็นคนใจดีและเป็นมิตรมากแต่สาวใช้ติดภาพจำของพวกขุนนางนิสัยไม่ดีจึงทำให้เธอมีท่าทีเช่นนี้
“ไม่เป็นไร วางเสื้อผ้าไว้แล้วออกไปได้”
เมื่อได้ยินคำพูดของท่านบารอน สาวใช้ได้วางเสื้อผ้า จากนั้นก็โค้งเล็กน้อยก่อนจะวิ่งออกไป
เมอร์ลินยิ้มอย่างขมขื่นและได้ส่ายหัวเบาๆ อย่างช่วยไม่ได้ เมอร์ลินรู้สึกว่าเขาต้องเปลี่ยนทัศนคติของพวกสาวใช้ พ่อบ้าน ลุงแพรตต์ หรือแม้แต่เมซี่ส์ที่มีต่อเขา ไม่อย่างนั้นเขาก็คงรู้สึกอึดอัดมากขึ้นเรื่อย ๆ เขารู้สึกถึงกำแพงที่ขวางกั้นตัวเขากับคนอื่นๆ ไว้ เมื่อสถานะทางสังคมเปลี่ยน อะไร ๆ ก็คงเปลี่ยนตาม
เขาได้หยิบชุดขึ้นมา “โอ้ มันดูดีมาก”
ชุดนี้ได้รับการออกแบบโดยมาดามหน้าอกใหญ่และใช้เวลาทำไม่กี่วันก็ออกมาเสร็จสมบูรณ์
นอกจากการออกแบบแล้วเนื้อผ้าของชุดนั้นดีมากแล้วอีกอย่างยังสามารถเพิ่มความอบอุ่นให้กับผู้สวมใส่ได้อย่างดี
หลังจากเมอร์ลินได้ลองสวมใส่ เขาได้ลองยืนหน้ากระจก เขารู้สึกว่าตัวเองดูแตกจากปกติไปอย่างสิ้นเชิง เขาดูมีความสง่างามและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ดวงตาสีฟ้าของเขาที่โดดเด่น หากใครได้สบตาของเขา ไม่ว่าใครก็ต้องหลงเสน่ห์อย่างแน่นอน
เขามองดูกระจกอย่างไม่เชื่อสายตาว่าเขาจะเป็นคนเดียวในกระจก
เขาได้มองกระจกต่อเพียงชั่วครู่ จากนั้นเขาก็เดินลงไปชั้นล่าง เขาเห็นทุกคนอย่างกันแต่เมื่อเขาสังเกตดีๆ มีใครบางคนหายไป เขาสงสัยและถามไปว่า
“แล้วแอวริลล่ะ เธออยู่ไหน”
ทันทีที่เขาพูดจบ เมอร์ลินก็ได้ยินเสียงจากชั้น เม่อเขาเงยหน้าขึ้นไปดู เขาก็พบกับแอวริลในชุดกระโปรงอันวิจิตร เธอจับขอบประโปรงเบาๆ แล้วลงจากบันได
เมอร์ลินจ้องมองตะลึงไปพักหนึ่ง แม้เขาจะเจอแอวริลเพียงไม่กี่ครั้งแต่เธอก็เป็นหญิงสาวที่สวยมาก ยิ่งเธอสวมใส่ชุดที่เหมาะสมกับเธอ ความงดงามก็ยิ่งเด่นชัดขึ้นไปอีก มันทำให้เขาไม่อาจละสายตาไปจากเธอได้
“วันนี้เธอสวยมาก เอาล่ะ เราไปกันเถอะ”
เมอร์ลินเข้ามาและพูดกับแอวริลเบาๆ เธอได้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะจับแขนของเมอร์ลินเบาๆ จากนั้นพวกเขาก็เดินไปที่รถม้าที่เตรียมไว้ข้างนอก
จากนั้นมอสส์ก็ขับรถม้าไปยังปราสาทของเคานต์เซลินอย่างช้า ๆ
ในรถม้าได้มีเมอร์ลินอยู่กับแอวริลสองต่อสอง เขารู้สึกได้ถึงกลิ่นกายที่ผสมกับน้ำหอมของเธอ เขามองไปที่เธอและรู้สึกว่าเธอค่องข้างประหม่าอย่างชัดเจน เธอนั่งอย่างนิ่ง ๆ และไม่กล้าสบตามองเขา
“อย่าประหม่าไปเลย มันก็แค่งานเลี้ยงธรรมดา ๆ เท่านั้น” เมอร์ลินปลอบแอวริลขณะจับไปที่มือของเธอ
แอวริลเกร็งเล็กน้อยแต่ในไม่ช้าเธอก็ผ่อนคลายลง เธอพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เมอร์ลินรู้ว่าตอนนี้ความกังวลของเธอได้เบาบางลงไปบ้างแล้ว
“ท่านบารอน เรามาถึงปราสาทแล้วขอรับ”
“แอวริลไปกันเถอะ”
เมอร์ลินจับมือแอวริลและลงจะรถม้า เขามองเห็นรถม้ามากมายจอดอยู่ด้านนอกของปราสาท มีพวกขุนนางที่สวมชุดหรูหรากำลังเดินเข้าไปด้านในโดยที่พวกเขาพูดคุยกันระหว่างทาง
“หื้ม?” เมอร์ลินขมวดคิ้ว ดูเหมือนเขาจะมองเห็นคนรู้จักแต่เขาจำไม่ได้ว่าเป็นใคร
“เมอร์ลินเกิดอะไรขึ้นเหรอ?” แอวริลสังเกตเห็นสีหน้าแปลก ๆ ของเมอร์ลน เธอจึงถามอย่างสงสัย
“ไม่มีอะไรหรอก บางทีฉันอาจจะจำผิดไปเองก็ได้ เรารีบเข้าไปด้านในกันเถอะ ฉันไม่รู้ว่างานเลี้ยงจะเริ่มตอนไหน”
จากนั้นเขากับแอวริลก็เดินเข้าไปในปราสาท