ตอนที่ 34 เธอแสดงเก่งเหมือนกันนี่
ตอนที่ 34 เธอแสดงเก่งเหมือนกันนี่
หู่จือวิ่งออกไปและพูดกับเฉินเจียเหอที่กำลังเผาเตียงเตา “พ่อครับ แม่เลี้ยงให้ผมมาบอกว่าเติมน้อยลงหน่อย หล่อนแทบสุกแล้ว”
“อืม เดี๋ยวคืนนี้จะเติมให้น้อยลง”
หลังจากเฉินเจียเหอเผาเตียงเตาเสร็จแล้ว เขาก็ไปยังห้องหลักและถามผู้เฒ่าโจวว่า “คุณตา ครอบครัวเอ้อร์เลิ่งขายเนื้อให้เราไหมครับ?”
ผู้เฒ่าโจวตอบ “ขาย ตาบอกพวกเขาไปเมื่อเช้าว่ารอแกกลับมาก่อน แล้วค่อยบอกพวกเขาว่าจะซื้อเท่าไหร่”
“ขอซื้อยี่สิบชั่งครับ” เฉินเจียเหอกล่าว
แม่เฒ่าโจวมองเฉินเจียเหอด้วยความประหลาดใจ “เจียเหอ ทำไมซื้อเนื้อเยอะขนาดนั้นล่ะ?”
“ก็ไม่เยอะนะครับ ปีใหม่ปีนี้คนเยอะ เลยต้องซื้อเพิ่ม”
จากนั้นเฉินเจียเหอก็ไปที่บ้านของเอ้อร์เลิ่งเพื่อขอซื้อเนื้อ
เนื้อหมูหนึ่งชั่งราคาแปดเหมา ดังนั้นยี่สิบชั่งเท่ากับสิบหกหยวน หลังจากชั่งน้ำหนักแล้ว พ่อของเอ้อร์เลิ่งก็นำกระดูกใหญ่อีกสองถึงสามชิ้นกับตีนเป็ดมาให้เฉินเจียเหอ โดยบอกว่ามันเป็นของแถม
“เจียเหอ รับไปเถอะ พวกนี้ไม่คิดเงิน”
เฉินเจียเหอรีบปฏิเสธ “ลุง ผมรับไว้ไม่ได้หรอก”
“เอาไปให้ลูกกินเถอะ”
“ลุง ชั่งน้ำหนักให้ผมด้วย เดี๋ยวผมจ่ายเงินให้”
พ่อของเอ้อร์เลิ่งกล่าว “ไม่ต้องจ่ายเงินหรอก เราต้องขอบคุณเธออย่างสุดซึ้งที่คอยดูแลเอ้อร์เลิ่ง เธอก็คงเห็นว่าเสื้อผ้าและรองเท้าที่เอ้อร์เลิ่งสวมใส่ล้วนเป็นของที่ได้รับจากเธอ เอ้อร์เลิ่งโชคดีแล้วที่มีเพื่อนแบบเธอ”
พ่อของเอ้อร์เลิ่งอยู่ในวัยห้าสิบต้น ๆ ผมบนศีรษะเปลี่ยนเป็นสีขาว ซึ่งทำให้เขาดูแก่กว่าคนรอบข้างมาก
ลูกชายที่เคยหวังไว้สูงกลับกลายเป็นแบบนี้ พูดจาฟังไม่ได้ศัพท์ เสียสติและทำตัวไร้สาระไปวัน ๆ
ทุกคนในหมู่บ้านหลีกเลี่ยงเขา แต่เฉินเจียเหอไม่ได้รังเกียจเขา แถมยังดูแลเขาอย่างดี
แม้แต่ภรรยาจากในเมืองที่เขาแต่งงานด้วยก็ไม่รังเกียจเอ้อร์เลิ่ง และตัดผมให้เขาด้วย
พ่อของเอ้อร์เลิ่งขอบคุณพวกเขาจากก้นบึ้งของหัวใจจริง ๆ
“เอาไปเถอะน่า นำกลับไปปรุงอาหารให้ภรรยาและหู่จือกินนะ”
เฉินเจียเหอทำได้เพียงนำกระดูกหมูที่พ่อของเอ้อร์เลิ่งให้กลับบ้านไปเท่านั้น
เมื่อผู้เฒ่าโจวเห็นว่าเฉินเจียเหอนำกระดูกกลับมามากมาย เขาก็พูดด้วยรอยยิ้ม “แกซื้อกระดูกมาเพิ่มด้วยหรือ?”
“คุณลุงให้มาเป็นของขวัญครับ”
เฉินเจียเหอมองเห็นแม่ของเขาจากหางตา จึงพูดขึ้นว่า “เขาบอกให้นำมาทำอาหารให้เซี่ยเซี่ยและหู่จื่อ เพื่อขอบคุณที่พวกเขาช่วยดูแลเอ้อร์เลิ่ง”
หลังจากได้ยินสิ่งที่เฉินเจียเหอพูด แม่เฒ่าโจวก็ดีใจมาก
“เซี่ยเซี่ยเป็นเด็กดี หลานก็เห็นว่าเพื่อนบ้านต่างก็ชอบหล่อน”
หลังจากที่หญิงชราชื่นชมหลินเซี่ย นางก็กดเสียงลงต่ำ “มีเพียงคนของเราเองนี่แหละที่สายตามีแต่ไขมันหมู”
โจวลี่หรง “…”
ผู้เฒ่าโจวเข้ามาช่วยเหลือ และรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “เจียเหอ เอาเนื้อไปแช่แข็งในครัวเถอะ อย่าลืมปิดประตูให้ดี เดี๋ยวแมวจะเข้าไปได้ แล้วพรุ่งนี้ค่อยเอาออกมาหั่น”
แม่เฒ่าโจวหันไปพูดกับหลินเซี่ยด้วยรอยยิ้ม “เซี่ยเซี่ย เดี๋ยวย่าจะตุ๋นกระดูกหมูให้เธอกับหู่จือในวันพรุ่งนี้นะ”
แม่เฒ่าโจวกำลังโกรธโจวลี่หรงมาก จึงจงใจทำดีกับหลินเซี่ยต่อหน้าอีกฝ่ายเพื่อแสดงจุดยืนของตัวเอง
หลินเซี่ยพูด “คุณยาย พรุ่งนี้คุณยายเอาไปต้มกินได้เลยนะคะ หนูหางานได้ที่เทศมณฑลและต้องไปทำงานตั้งแต่เช้า กว่าจะกลับมาก็เกือบเย็นแล้ว”
“ทำงาน? เซี่ยเซี่ยทำงานอะไร?” หลังจากได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย ผู้เฒ่าตระกูลโจวทั้งสองก็มองเธอด้วยความประหลาดใจ
หลินเซี่ยตอบพวกเขาว่า “หนูหางานได้ที่ร้านตัดผมในเมือง เถ้าแก่เนี้ยบอกให้หนูทำงานได้จนถึงก่อนปีใหม่ หนูจะไปทำงานที่นั่นราวสี่ถึงห้าวัน และจะไม่กลับมาจนกว่าจะเลิกงานในตอนเย็น”
“เดิมทีหนูคิดจะช่วยคุณยายทำงานบ้านก่อนวันปีใหม่ แต่แม่สามีก็อยู่ที่นี่แล้วไม่ใช่เหรอคะ? งั้นก็ให้แม่สามีดูแลที่บ้าน ส่วนหนูออกไปทำงานหาเงินช่วยเหลือครอบครัวเพิ่มเติม”
หลินเซี่ยทั้งอ่อนโยนและมีน้ำใจ ทำให้แม่เฒ่าโจวไม่สามารถกล่าวห้ามเธอได้ จึงมองไปทางเฉินเจียเหอ “เจียเหอ หลานเห็นด้วยหรือ?”
เฉินเจียเหอแอบพูดในใจว่า หากผมไม่เห็นด้วย ผมจะทำอะไรได้ในเมื่อเธอไม่ฟัง
เฉินเจียเหอกลัวตากับยายจะคัดค้านและสร้างปัญหากับหลินเซี่ย ดังนั้นเขาจึงอธิบายเพียงว่า “คุณยาย น้องสาวของเซี่ยเซี่ยทำงานเป็นบริกรหญิงในร้านอาหารที่อยู่ตรงข้ามร้านตัดผม เซี่ยเซี่ยอยากใกล้ชิดกับน้องสาวและอยากสนิทสนมกัน เราจะเดินทางหลังวันปีใหม่ คราวหน้าคงเจอกันได้ยาก ดังนั้นปล่อยให้หล่อนทำไปเถอะครับ ผมจะไปส่งหล่อนในตอนเช้า และจะไปรับในตอนเย็น”
หลินเซี่ยไม่คิดว่าเฉินเจียเหอจะพูดแบบนี้
เธอมองชายผู้เคร่งครัดตรงหน้าขณะที่รู้สึกตื้นตันจนน้ำตาไหลเกือบไหล
เขาเป็นผู้ใหญ่และมีความสามารถอย่างแท้จริง รู้จักการประนีประนอมความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัวเช่นนี้
หากเธอไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับชีวิตก่อน เธอคงสงสัยว่าเขามีประสบการณ์มากมายในชีวิตแต่งงาน
หลังเฉินเจียเหออธิบายเรื่องนี้ ผู้เฒ่าตระกูลโจวทั้งสองก็เผยท่าทางเข้าใจ ตราบใดที่หลานชายไปรับไปส่งทุกวัน พวกเขาก็ไม่ต้องเป็นกังวล
หลินเซี่ยออกไปทำงานตอนกลางวันก็ดีแล้ว จะได้หลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับแม่สามีไปในตัว
“คนหนุ่มสาวไม่อาจนั่งเฉยอยู่ในบ้านได้จริง ๆ”
จากนั้นสายตาของแม่เฒ่าโจวก็จับจ้องไปที่ถุงในมือของหลินเซี่ย และถามด้วยรอยยิ้มว่า “เซี่ยเซี่ย นั่นถืออะไรอยู่?”
“หนูมัวแต่คุยจนลืมไปเลย คุณยายคะ หนูอยากขอใช้จักรเย็บผ้าในบ้าน หู่จืออยากได้เสื้อผ้าชุดใหม่ หนูเลยไปซื้อผ้าเพื่อมาตัดชุดที่เขาอยากได้น่ะค่ะ”
หลินเซี่ยพูดแล้วก็หยิบผ้าสำหรับตัดชุดให้หู่จือออกจากกระเป๋า และหยิบผ้าแพรออกมาอีกผืน “คุณยายคะ หนูซื้อผ้ามาเผื่อคุณยายด้วย หนูอยากทำเสื้อคลุมให้คุณยายใส่ในช่วงปีใหม่ คุณยายชอบผ้านี้ไหมคะ?”
แม่เฒ่าโจวได้ยินสิ่งที่หลินเซี่ยพูด ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความสุข “ซื้อผ้ามาให้ยายด้วยหรือ? เป็นผ้าแพรคุณภาพดีมากเสียด้วย ยายไม่เคยใส่ชุดจากผ้าดี ๆ แบบนี้มาก่อน”
โจวลี่หรงมองดูการแสดงออกที่เกินจริงของแม่ตัวเอง ราวกับว่าไม่เคยเห็นเสื้อผ้าใหม่มานานหลายทศวรรษ ก็พลันเดินจากไปด้วยสีหน้าบึ้งตึง
หล่อนซื้อเสื้อผ้าใหม่จากเมืองให้แม่ใส่ทุกปี ผ้าผืนนั้นจะดีกว่าเสื้อผ้าที่หล่อนซื้อสักแค่ไหนเชียว?
เห็นแม่เฒ่าโจวมีความสุขมาก หลินเซี่ยก็มีความสุขเช่นกัน “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวหนูตัดเสื้อให้ใส่นะ”
“เซี่ยเซี่ย หลานมีความสามารถขนาดนี้ได้ยังไง? นอกจากตัดผมได้เก่งมาก แล้วยังทำชุดได้ด้วยเหรอ?”
เด็กสาวที่มีความสามารถขนาดนี้ เสิ่นเสี่ยวเหมยกลับเรียกเธอว่าคนโง่โดยไม่มีเหตุผล
หลินเซี่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “หนูอยากเรียนเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่ยังเด็กแล้วค่ะ”
“หลังกินข้าวเย็น ก็ให้เจียเหอเอาจักรเย็บผ้าไปไว้ในห้องสิ”
หลินเซี่ยเดินไปยังห้องครัวเพื่อยกอาหารออกมา โจวลี่หรงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เธอแสดงเก่งเหมือนกันนี่ และยังรู้วิธีเอาใจผู้เฒ่าเหล่านั้นด้วย แต่ฉันขอบอกไว้เลยนะว่า มันไร้ประโยชน์”
“คุณป้าคะ คุณตาคุณยายชอบฉันมากโดยที่ฉันไม่จำเป็นต้องเสแสร้งแกล้งทำเลย ถ้าฉันต้องเสแสร้ง ฉันคงทำต่อหน้าคุณป้านั่นแหละค่ะ”
“ไม่ว่าคุณจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม เฉินเจียเหอและฉันแต่งงานกันแล้ว หากคุณเต็มใจรับฉัน ฉันจะเรียกคุณว่าแม่ แต่ถ้าไม่ยอมรับตัวตนของฉัน เช่นนั้นเราจะทำตัวแบบน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลองแบบนี้เอาไว้ค่ะ”
สิ้นเสียงหลินเซี่ย เธอก็เดินออกไปพร้อมกับชาม
เฉินเจียเหอเข้ามาช่วยยกอาหารด้วย เขาเห็นโจวลี่หรงโกรธมากจนช้อนในมือสั่นเทา
“เจียเหอ แกรู้ไหมว่าหลินเซี่ยหน้าไหว้หลังหลอก ต่อหน้าตากับยายก็ทำอีกอย่าง ลับหลังก็ทำอีกอย่าง หล่อนแสร้งทำตัวเป็นนางฟ้าตัวน้อยต่อหน้าพวกเขา แต่พออยู่กับฉัน หล่อนก็กล่าวคำเย้ยหยัน นี่คือวิธีปฏิบัติต่อผู้หลักผู้ใหญ่เหรอ? แกตาบอดไปแล้วหรือไง?”
“แม่ หลินเซี่ยไม่ใช่คนแบบนั้น ผมไม่เชื่อหรอกว่าหล่อนจะมาเย้ยหยันแม่ แต่แน่นอนว่าหล่อนไม่ใช่ลูกพลับนิ่ม ถ้ามีคนมารังแกหล่อน หล่อนจะไม่ยอมให้ถูกรังแกฝ่ายเดียว นี่คือความรู้สึกพื้นฐานที่สุดของการป้องกันตนเองในฐานะมนุษย์”
เฉินเจียเหอยกสำรับอาหารขึ้นและกำลังจะเดินออกไป โจวลี่หรงก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า
“เรามีเรื่องต้องคุยกันหลังอาหารเย็น แล้วแกจะต้องเปลี่ยนใจ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
แม่สามีนี่ก็กีดกันเก่งเหลือเกิน อยากโดนคุณยายจี้ปมสมัยสาวๆ อีกไหมคะ
ไหหม่า(海馬)