“เอาล่ะ~ ไหนๆ ก็เป็นการสอบรอบพิเศษแล้วทั้งที งั้นก็ขอใช้เขตสนามหญ้าทั้งหมดเลยก็ละกัน~”

 

หลังจากที่เอริซาเบธเดินออกมาจากห้องธุรการแล้ว เธอก็กวักมือเรียกนักเรียนทั้งสามคนที่เดินนำออกมาก่อนให้ตามเธอไปทางสนามหญ้าขนาดใหญ่ด้านนอกตัวอาคาร

 

ซึ่งนักเรียนชายที่มีผมสีม่วงเข้มกับนัยน์ตาสีฟ้าก็กอดอกมองดูสนามหญ้าเบื้องหน้าอยู่ข้างๆ เอริซาเบธด้วยสายตาไม่ไว้วางใจสักเท่าไหร่นัก

 

“ฉันขอเดาว่าเธอคงจะไม่ได้กะให้พวกฉันทดสอบพวกนั้นในสนามหญ้าโล่งๆ แบบนี้ใช่หรือเปล่าล่ะ?”

 

“แน่นอนอยู่แล้ว~ จะสอบรอบพิเศษทั้งทีให้ใช้สนามหญ้าโล่งๆ แบบนี้มันก็ธรรมดาเกินไปใช่มั้ยล่ะ! เพราะงั้นพิเน๊ะมาทางนี้หน่อยจ้า~”

 

ซึ่งเอริซาเบธที่ได้ยินแบบนั้นเธอก็ตอบเขากลับไปอย่างร่าเริงก่อนจะหันกลับไปมองทางอาคารเรียนและร้องเรียกชื่อของคนคนหนึ่งขึ้นมา

 

“…ว่าไงคะอาจารย์?”

 

แต่ว่ายังไม่ทันที่จะสิ้นเสียงของเธอก็ได้มีเสียงของเด็กสาวคนหนึ่งพูดขึ้นมาจากข้างๆ ของเอริซาเบธทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีวีแววว่าจะมีใครอยู่เลยซะด้วยซ้ำ

 

“—–!? ก็บอกแล้วไงว่– เอาเถอะ ฉันเรียกเธอให้มาช่วยเตรียมสนามสอบให้หน่อยน่ะ …ว่าแต่ท่าทางอารมณ์ดีเป็นพิเศษเลยนี่ เจออะไรดีๆ เข้าหรือไงน่ะพิเน๊ะ?”

 

เอริซาเบธที่สะดุ้งไปเล็กน้อยทำท่าเหมือนกับจะบ่นใส่เจ้าของเสียงซึ่งมานั่งกอดเข่าอยู่ข้างๆ ตัวเธอตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ แต่ว่าเธอก็หยุดไปกลางคันและหันไปพูดถึงสาเหตุที่เธอร้องหาเด็กสาวข้างๆ ขึ้นมา

 

ซึ่งเด็กสาวที่มีเส้นผมสีเหลืองสว่างจ้าแต่ว่าด้านในกลับแซมไปด้วยสีเขียวอย่างน่าประหลาดในชุดเครื่องแบบนักเรียนสีขาวขนาดใหญ่เกินตัวที่มีกระโปรงสีเขียวคนนั้นก็ได้ลุกขึ้นมายืนและส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ชวนขนหัวลุกออกมา

 

“คิกคิกคิก… สี่คนที่เข้าไปในห้องเมื่อกี้คือคนที่จะมาสอบใช่มั้ยคะ?”

 

“แค่สามน่ะ คุณเอริกะ… ผู้หญิงผมสีแดงคนนั้นแค่พาพวกเขามาส่งเฉยๆ ”

 

ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นเด็กสาวก็เอียงคอเล็กน้อยและเผยรอยยิ้มที่ดูน่าขนลุกออกมาก่อนจะก้มหน้าลงไปหัวเราะคิกคักกับตัวเองอยู่สักครู่หนึ่ง

 

“คิกคิกคิก…แค่สามคนนั้นก็พอแล้วค่ะ…หวังว่าจะได้เป็นเพื่อนกันนะ~”

 

“ฮึ้ย— อะไรของยัยสับปะรดนี่เนี่ย”

 

เสียงหัวเราะของเด็กสาวที่ชื่อว่าพิเน๊ะนั้นถึงกับทำให้นักเรียนชายผมสีม่วงที่ยืนกอดอกอยู่ข้างๆ เอริซาเบธต้องหันไปขมวดคิ้วมองดูด้วยสายตาหวาดระแวง ซึ่งเอริซาเบธที่เห็นแบบนั้นก็อดที่จะพูดขึ้นมาไม่ได้

 

“เอาน่าอัลเบิร์ต ปีนี้พิเน๊ะเขาอยู่ห้องเดียวกับนายด้วยนะ เพราะงั้นสนิทกับเธอไว้ก่อนก็ไม่เสียหายหรอก”

 

“หา!? นี่ล้อกันเล่นหรือเปล่า!? เธอไม่รู้หรอว่าคนอื่นเขาเรียกยัยนี่กันว่าอะไรน่ะ!?”

 

“คิกคิก…ยินดีที่ได้รู้จักนะอัลเบิร์ต ถึงจะไม่เท่าหนึ่งในสามคนนั้น แต่อัลเบิร์ตเองก็ดูน่าสนใจอยู่พอสมควรเหมือนกันนะ…”

 

อัลเบิร์ตที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดชมหรือว่าดูถูกเขาอยู่กันแน่นั้นก็ได้มองเด็กสาวท่าทางประหลาดๆ ตรงหน้ากลับไปด้วยสายตารังเกียจ

 

แต่ดูเหมือนว่าพิเน๊ะจะไม่ได้สนใจในท่าทีรังเกียจของเขาเลยแม้แต่น้อย เธอทำเพียงแค่ยืนยิ้มเอียงคอมองดูอัลเบิร์ตอยู่สักพักก่อนจะหันกลับไปหาเอริซาเบธอีกครั้งหนึ่ง

 

“ว่าแต่อาจารย์จะให้หนูช่วยเตรียมสนามสอบหรอคะ~?”

 

“อื้อ เดี๋ยวเธอใช้เจ้านี่เตรียมสนามหญ้าให้เหมาะกับการใช้เป็นสนามสอบหน่อยสิ”

 

เอริซาเบธตอบกลับไปพร้อมกับหยิบเอาคริสตัลสีเหลืองก้อนหนึ่งออกมาเพื่อที่จะส่งให้กับพิเน๊ะ

 

แต่ว่าในจังหวะเดียวกันนั้นเองพวกเธอก็ได้เห็นเอริกะวิ่งออกมาจากตัวอาคารและพุ่งตรงไปยังทางออกทางทิศใต้ของโรงเรียนอย่างรีบร้อน

 

“เดี๋ยวนะ—นั่นมันคุณเอริกะไม่ใช่หรอน่ะ?”

 

“เอ๋? นั่นสิ? เห็นบอกว่าวันนี้จะโดดงานนี่นา? ทำไมถึงรีบกลับไปแบบนั้นล่ะนั่น อ๊ะ…”

 

เมื่อพวกเขาเห็นเอริกะวิ่งออกจากโรงเรียนไปด้วยท่าทีรีบร้อนแบบนั้นอัลเบิร์ตก็ได้ถามขึ้นมาอย่างสงสัย ซึ่งเอริซาเบธก็ได้ตอบกลับไปอย่างงงๆ เช่นกัน แต่ว่าทันใดนั้นเองพิเน๊ะที่ไม่ได้สนใจหญิงสาวผมแดงที่วิ่งออกไปเลยนั้นก็ได้คว้าเอาก้อนคริสตัลสีเหลืองในมือของเอริซาเบธไป

 

“ฮื๊ม~ เรื่องนั้นช่างมันเถอะค่ะ~ แล้วอาจารย์จะให้หนูเปลี่ยนสนามเป็นยังไงดีล่ะคะ~?”

 

พิเน๊ะที่คว้าเอาก้อนคริสตัลสีเหลืองมาถือเอาไว้นั้นได้เอ่ยปากถามเอริซาเบธขึ้นมา พร้อมๆ กับที่เธอได้ส่งพลังวิซเข้าไปจนมันส่องแสงสว่างจ้าออกมา

 

“ตามใจเธอเลย ขอแค่ไม่ใช่สนามโล่งๆ แบบนี้ก็พอ แล้วก็อย่าให้คริสตัลก้อนนั้นพังล่ะ”

 

“…ขอแค่อย่าให้คริสตัลพังงั้นหรอคะ? งั้นหนูทำตามใจเลยก็ละกันนะ …คิกคิกคิก”

 

เมื่อได้ยินคำอนุญาตจากเอริซาเบธแล้วพิเน๊ะก็ยิ้มกว้างพร้อมกับหัวเราะด้วยน้ำเสียงสยองขวัญออกมาอีกครั้งและชูก้อนครัสตัลที่กำลังเรืองแสงอยู่นั้นขึ้นสูงเหนือหัวของเธอ ก่อนที่เธอจะปักก้อนคริสตัลอันนั้นลงใส่สนามหญ้าเบื้องหน้าในทันที

 

ซึ่งอัลเบิร์ตที่เห็นท่าทีประหลาดๆ ชวนขนหัวลุกของพิเน๊ะแบบนั้นก็เหลือบไปมองนักเรียนหญิงอีกสองคนที่กำลังยืนดูกันอยู่อย่างเงียบๆ ด้านหลังของเขา

 

“เห็นแบบนั้นแล้วพวกเธอคิดว่าไงล่ะ ยัยสับปะรดเนี่ย?”

 

ครึก! ครึก! ครึก!

 

แต่ว่ายังไม่ทันที่พวกเธอจะได้ตอบอะไรกลับมา สนามหญ้าเบื้องหน้าของพวกเขาก็ได้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงก่อนที่มันจะขยับไปมาราวกับว่าเป็นของเหลว

 

และทันใดนั้นเองพื้นหญ้าบางส่วนของสนามก็ได้ยกตัวขึ้นมาเป็นแท่นสี่เหลี่ยมสูงเหนือหัวจำนวนมากที่ตั้งอยู่ติดๆ กันโดยเว้นระยะห่างจากกันเอาไว้เล็กน้อยโดยและยังเว้นพื้นที่ตรงกลางเบื้องหน้าของเธอเอาไว้เป็นทางยาว

 

เมื่อพวกเขามองดูสภาพของสนามหญ้าที่ถูกพิเน๊ะใช้พลังของทำให้เปลี่ยนสภาพไปแล้ว พวกเขาก็คิดว่าสนามสอบที่พิเน๊ะเลือกสร้างขึ้นมานั้นดูราวกับเมืองรีมินัสส่วนนอกที่ไร้ซึ่งหลังคาราวกับว่ามันโดนตัดส่วนบนออกให้เหลือเพียงแค่แท่งสี่เหลี่ยมอย่างไรอย่างนั้น

 

“โฮะโห~ ถึงจะเป็นแค่แท่งดินเปล่าๆ ก็เถอะ แต่ก็พอจะมองออกนะว่ามันคือเมืองจำลองน่ะ ส่วนที่ว่างยาวๆ สองเส้นที่ตัดกันนั่นก็คือถนนสินะ”

 

“เมืองหรอ? เมืองที่ไหนมันจะมีแต่แท่งหินสี่เหลี่ยมทื่อๆ แบบนี้ล่ะ? อย่างน้อยก็ทำประตูทางเข้าซะบ้างสิ”

 

“คิกคิกคิก~ นั่นสิ~ มันคือที่ไหนกันนะ~”

 

พิเน๊ะนั้นไม่ได้สนใจคำเหน็บแนมของอัลเบิร์ตเลยแม้แต่น้อย เธอทำเพียงแค่สะบัดตัวและเอียงหัวไปมาเล่นเล็กน้อยก่อนจะยื่นก้อนคริสตัลสีเหลืองในมือคืนให้เอริซาเบธไป

 

“เอาหน่าๆ ถึงจะเป็นแค่แท่งหินธรรมดาๆ ก็เถอะ แต่ว่าในแง่สนามสอบแล้วมันก็ใช้ได้เลยนะ แล้วยิ่งมีที่กำบังเยอะแบบนี้พวกนายก็ยังได้เปรียบด้วยนี่นา~”

 

“หึ ถ้าแค่เสียเปรียบนิดๆ หน่อยๆ แบบนี้แล้วเจ้าพวกนั้นยังรับมือไม่ได้ล่ะ ก็คงจะเสียทีที่คุณเอริกะรับเข้าทีมไปจริงๆ ”

 

“จ้าๆ ถึงนายจะอิจฉาที่พวกเขาได้พักอยู่ที่บ้านของคุณเอริกะก็เถอะ แต่ยังไงก็อย่าเอาจริงจนเลือดตกยางออกมากเกินไปก็แล้วกันนะพ่อคนเก่ง~”

 

“อุ– หุบปากไปเลยนะยัยจิ้งจอก! ใครจะไปอิจฉาเจ้าพวกนั้นกันหะ!?”

 

ทันทีที่อัลเบิร์ตได้ยินเอริซาเบธพูดหยอกล้อใส่แบบนั้น หน้าของเขาก็แดงก่ำขึ้นมาและหันไปตะโกนใส่เอริซาเบธโดยไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อยว่าอีกฝ่ายนั้นจะเป็นอาจารย์ของตน

 

แล้วหลังจากนั้นก็เหมือนว่าเขาจะตั้งสติขึ้นมาได้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไป จึงได้แอบเหลือบไปมองเพื่อนนักเรียนหญิงอีกสองคนที่เอริซาเบธตามตัวมาให้ร่วมทีมกับเขาในการทดสอบพวกนากาในทันที

 

แต่เขาก็พบว่านักเรียนหญิงคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่กว่าเด็กผู้หญิงทั่วๆ ไปนั้นกำลังพูดอยู่ด้วยท่าทีประหม่า ในขณะที่อีกคนนั้นกำลังยืนทำหน้านิ่งๆ ฟังอีกฝ่ายอยู่โดยไม่ได้สนใจทางเขาเลยแม้แต่น้อย

 

“เฮ้อ… ถ้าเกิดมีข่าวลืออะไรแปลกๆ ออกไปล่ะก็ ฉันจะตัดหางเธอไปทำผ้าพันคอให้ดู!”

 

“เห~ น่ากลัวจังเลย~ ถ้างั้นก็พยายามเข้าก็ละกันนะจ๊ะ~”

 

แต่เอริซาเบธที่ถูกนักเรียนของตนข่มขู่มาแบบนั้นก็ได้ยิ้มตอบกลับไปพลางสะบัดหางฟูๆ ของเธอไปมาอย่างไม่เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปในดงหินจำลองที่พิเน๊ะสร้างขึ้นมาเพื่อตรวจดูสภาพด้านในของมัน

 

“เฮ้อ… ให้ตายสิทำไมฉันต้องได้ยัยนี่เป็นอาจารย์ด้วยเนี่ย…”

 

“บ้านของคุณเอริกะหรอ~”

 

“ใช่… เฮ้ย!?”

 

อัลเบิร์ตถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจก่อนที่เขาจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงของพิเน๊ะที่เดินเข้ามายืนเบิ่งตาจ้องหน้าเขาในระยะประชิดด้วยนัยน์ตาสีมรกตของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

 

“มองอะไรของเธอหะยัยสับปะรด! เด็กประหลาดอย่างเธอต่อให้ไปพูดให้ใครฟังก็ไม่มีใครที่ไหนเขาเชื่อหรอก!!”

 

“คิกคิกคิก~”

 

ถึงแม้ว่าจะโดนพูดใส่อย่างโหดร้ายแต่ดูเหมือนว่าพิเน๊ะนั้นจะไม่ได้สนใจอะไรเลยแม้แต่น้อย เธอทำเพียงแค่หัวเราะออกมาอย่างน่าสยองก่อนจะหันไปยิ้มกว้างมองเอริซาเบธที่กำลังเดินกลับมาจากด้านในของสนามสอบนั้น

 

“เท่าที่ดูทุกอย่างน่าจะเรียบร้อยดีนะ พวกแท่งหินที่เธอสร้างก็ทนทานดีคงจะไม่ถล่มลงมาทับจนบาดเจ็บกันได้ง่ายๆ หรอก แถมด้านบนแท่งหินพวกนั้นก็ยังเป็นพื้นหญ้าอยู่เหมือนเดิมด้วย พอสอบเสร็จแล้วคงจะจัดการทำให้กลับมาเป็นสนามหญ้าเหมือนเดิมได้ไม่ยากเท่าไหร่ล่ะ ทำได้ดีมากจ้ะพิเน๊ะ”

 

“ฮะฮะฮะฮะ~~”

 

เมื่อได้ยินคำชมของเอริซาเบธเข้าไปพิเน๊ะก็ตีแขนของตัวเองเข้ากับข้างลำตัวเบาๆ ก่อนจะชูแขนขึ้นและหมุนตัวไปมาด้วยขาข้างเดียวแถมยังหัวเราะออกมาอย่างร่าเริงอีกด้วย ถึงแม้ว่าเมื่อคนอื่นมองดูแล้วจะรู้สึกว่าน่ากลัวมากกว่าก็ตามที

 

ตึกตึกตึกตึก—

 

ทันใดนั้นเองพวกเขาก็ได้ยินเสียงเหมือนกับว่ามีคนกำลังวิ่งเข้ามาใกล้ และเมื่อพวกเขาหันไปดูก็พบว่าเอริกะนั้นกำลังวิ่งผ่านพวกเขาไปยังตัวอาคารเรียนอีกครั้ง

 

โดยที่เธอได้สะพายปืนหน้าตาแปลกๆ ที่พวกเขาไม่เคยเห็นไว้บนหลังถึงสองกระบอก และในมือข้างหนึ่งของเธอก็มีปืนยาวแบบที่หาได้ทั่วไปอยู่อีกกระบอกหนึ่งด้วย

 

“…หา? อย่าบอกนะว่าพวกนั้นจะมาสอบแต่ว่าดันลืมอาวุธของตัวเองไว้ที่บ้านกันน่ะ!? แล้วเล่นใช้ปืนกันทั้งสามคนแบบนั้นจะไปรอดเรอะ?”

 

อัลเบิร์ตที่เห็นแบบนั้นก็พูดขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะเขาคิดว่าที่เอริกะต้องรีบวิ่งออกไปจากโรงเรียนนั้นก็เพื่อกลับไปหยิบอาวุธของพวกนากามาให้จากที่บ้านของเธอ ซึ่งเอริซาเบธที่พอจะคาดเดาอะไรได้แล้วพูดขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี

 

“ไม่หรอกมั้ง~ ฉันว่าคุณเอริกะน่าจะยุ่งๆ หลังจากที่ห้องทำงานของเธอระเบิดขึ้นมาจนลืมบอกว่าต้องสอบกันวันนี้เลยมากกว่าน่ะ~”

 

“ให้ตายสิ… สรุปว่านี่คุณเอริกะเขาเผลอทำห้องทำงานระเบิดขึ้นมาตามที่พ่อของฉันบอกไว้จริงๆ หรอเนี่ย?”

 

ทันทีที่ได้ยินคำพูดของเอริซาเบธ อัลเบิร์ตก็ได้พูดถามขึ้นมาอย่างสงสัย เพราะว่าเหตุระเบิดบนหอคอยเมื่อวันก่อนนั้นได้ถูกลือกันไปซะทั่วเมืองแล้วแต่ว่าก็ยังไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการออกมาสักที

 

“อื้ม… เอาจริงๆ เดี๋ยวอีกไม่นานทางวังก็น่าจะประกาศออกมาแล้วล่ะว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของขุนนางยศบารอน เวก้า รีวิซ… คนที่เป็นคู่แข่งของคุณเอริกะนั่นน่ะ เขาเกิดอิจฉาที่งานของคุณเอริกะมีความก้าวหน้ามากกว่าขึ้นมา ก็เลยแอบลอบเข้ามาวางระเบิดห้องเก็บผลงานของคุณเอริกะ แถมยังแอบขโมยอุปกรณ์รุ่นต้นแบบไปด้วยอีกน่ะ”

 

“เวก้า รีวิซ…? บารอนที่เป็นหัวหน้าฝ่ายค้นคว้าอะไรสักอย่างที่รับเจ้าคอนแนลเข้าไปเป็นอัศวินส่วนตัวนั่นน่ะนะ?”

 

“ใช่… แต่ว่าโชคดีที่คุณเอริกะเขาไหวตัวทัน ก็เลยส่งคนเข้าไปจัดการเวก้าแล้วก็ทำลายอุปกรณ์รุ่นต้นแบบได้ทันเวลาก่อนที่เวก้าจะได้ใช้มันก่อเรื่องไปมากกว่านั้นน่ะ แต่ว่าพอห้องเก็บอุปกรณ์โดนระเบิดไปแบบนั้นคุณเอริกะเขาก็เลยต้องซ่อมนู้นซ่อมนี่จนลืมวันลืมคืนเลยน่ะ”

 

“อื้มๆ ต้องแบบนี้สิถึงจะสมกับเป็นคุณเอริกะ ทั้งสืบหาตัวคนร้ายแถมยังจัดการได้ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามอีกต่างหาก”

 

ทันทีที่อัลเบิร์ตได้ยินว่าที่เอริกะต้องรีบกลับไปเอาอาวุธมาให้พวกนากานั้นเป็นเพราะว่าเธอลืมบอกวันสอบไปเอง ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือและพูดขึ้นมาโดยพยายามทำเป็นไม่สนใจพิเน๊ะที่ได้กลับมายืนจ้องเขาด้วยแววตาสยองขวัญอีกครั้งหนึ่งแล้ว

 

“อ่ะจริงด้วยสิ~ คนที่คุณเอริกะส่งไปจัดการกับเวก้านั่นก็คือพวกนากาเขาเองล่ะ เพราะงั้นถึงฉันจะบอกว่าให้ออมมือก็เถอะ แต่นายก็อย่าประมาทเกินไปละกันนะ~”

 

“หึ! ยังไงซะเจ้าเวก้านั่นก็คงจะไม่ได้เก่งอะไรอยู่แล้วนี่นะ ไม่งั้นก็คงจะไม่ได้มียศแค่บารอนหรอก”

 

“คิกคิกคิก~”

 

อัลเบิร์ตยักไหล่กลับมาอย่างไม่ใส่ใจอะไรมากนักเมื่อได้ยินว่าพวกนากานั้นเป็นคนที่จัดการกับเวก้าได้ เพราะยังไงซะเวก้าก็เป็นแค่ขุนนางยศบารอนคนหนึ่ง แถมยังอยู่ฝ่ายค้นคว้าและวิจัยอีกซะด้วยซ้ำ ต่อให้เป็นเขาก็คงจะจัดการได้ง่ายๆ เช่นเดียวกัน

 

“จ้าๆ ถ้างั้นฉันจะรอดูผลการสอบก็ละกันนะ~ อ่ะ—พิเน๊ะมานี่หน่อยสิ”

 

ซึ่งเอริซาเบธที่ได้ยินแบบนั้นเข้าไปก็ทำหน้ายิ้มๆ ตอบเขากลับไป ก่อนที่เธอจะหยิบเอากระดาษแผ่นเล็กๆ ออกมาใบหนึ่งและกวักมือเรียกพิเน๊ะที่กำลังยกชายเสื้อของเธอขึ้นมาป้องปากหัวเราะคิกคักอยู่ให้เดินเข้าไปหาเธอ

 

“เธอเอาตั๋วอาหารนี่ไปแลกอะไรกินก่อนละกัน เดี๋ยวไว้พอสอบเสร็จแล้วฉันจะเรียกเธอมาจัดการสนามสอบนี่อีกทีละกันนะ”

 

“ค่า~~~”

 

พิเน๊ะที่ได้รับตั๋วอาหารไปนั้นเธอก็ชูมันขึ้นเหนือหัวด้วยมือทั้งสองข้าง ก่อนจะออกเดินไปยังอาคารอีกหลังที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของอาคารเรียนในทันที

 

“เอาล่ะอัลเบิร์ต ถ้าพวกนายพร้อมแล้วก็ส่งอาวุธมาเลย ฉันจะได้ตรวจสอบแล้วก็ใช้วิซเคลือบส่วนที่เป็นคมให้น่ะ เพราะยังไงก็เป็นแค่การสอบนี่นะ ไม่ใช่สู้จริงซะหน่อย~”

 

ซึ่งอัลเบิร์ตที่ได้ยินแบบนั้นเขาก็ส่งอาวุธของตนไปให้เอริซาเบธ โดยอาวุธที่อัลเบิร์ตส่งให้ไปนั้นก็คือมีดเล่มหนึ่งที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ถึงขั้นที่จะเรียกมันว่าดาบสั้นได้ และที่ตรงปลายของมันนั้นก็มีรูขนาดเล็กเหมือนกับว่าเอาไว้ยิงอะไรบางอย่างออกมาอีกด้วย

 

และเมื่อส่งอาวุธของตนไปแล้ว เขาก็หันไปเรียกนักเรียนหญิงทั้งสองคนที่ดูเหมือนว่าจะหยุดพูดคุยกันไปแล้วให้ส่งอาวุธของพวกเธอไปให้เอริซาเบธบ้าง

 

“เฮ้พวกเธอ! เอาอาวุธไปให้ยัยจิ้งจอกเขาสิ”

 

“ค—ค่ะ!”

 

“…..”

 

ทันทีที่นักเรียนหญิงร่างใหญ่ที่มีท่าทีกระอักกระอ่วนหลังจากนักเรียนหญิงอีกคนเอาแต่ฟังที่เธอพูดอย่างเดียวโดยไม่ตอบอะไรกลับมาเลยนั้นได้ยินเสียงของอัลเบิร์ตเข้า เธอร้องตอบกลับมาและรีบคว้าเอาขวานศึกขนาดยักษ์ที่มีความสูงพอๆ กับตัวเธอเองส่งให้กับเอริซาเบธอย่างลนลานในทันที

 

ในขณะที่นักเรียนหญิงร่างสูงโปร่งที่มีผมสีน้ำตาลเข้มซึ่งยังไม่ได้ปริปากพูดอะไรขึ้นมาเลยนั้นก็ส่งดาบคาตานะไปให้เอริซาเบธด้วยท่าทีเหมือนไม่ชอบใจที่มีคนอื่นมายุ่งกับอาวุธของตนสักเท่าไหร่นัก

 

“อื้ม… รีซาน่า กับ เซซิล แล้วก็อัลเบิร์ตหรอ… ตอนแรกฉันก็ลืมคิดไป แต่ว่าทีมของพวกเธอมีแต่คนใช้อาวุธระยะใกล้เป็นหลักทั้งนั้นเลยนี่ ทางฝั่งนากาเขาใช้อาวุธระยะไกลกันตั้งสองคนเลยนะ แบบนี้พวกเธอจะไหวหรือเปล่า…”

 

“หึ… ถ้ายัยพวกนี้หาทางรับมือไม่ได้เดี๋ยวฉันก็แค่จัดการทั้งสามคนด้วยตัวคนเดียวนั่นล่ะ”

 

“พูดมากน่า…”

 

ทันทีที่ได้ยินอัลเบิร์ตพูดขึ้นมาแบบนั้นนักเรียนนักเรียนหญิงร่างสูงโปร่งที่มีผมสีน้ำตาลเข้มยาวเลยบ่าลงมาเล็กน้อยก็ได้เหลือบมองอัลเบิร์ตด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์

 

ซึ่งก็ทำให้เอริซาเบธที่เห็นแบบนั้นต้องรีบพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาก่อนที่ทีมของนักเรียนตรงหน้าจะได้เริ่มทะเลาะกันเองในทันที

 

“จ้าๆ พ่อคนเก่ง~ แล้วนี่เซซิล ทำไมเธอไม่ใส่ชุดนักเรียนมาล่ะ? ถึงจะยังเป็นช่วงปิดภาคเรียนอยู่ก็เถอะ แต่ว่าถ้าต้องเข้ามาในโรงเรียนก็แต่งตัวให้เรียบร้อยหน่อยสิ”

 

เมื่อได้ยินเอริซาเบธพูดเรื่องการแต่งกายของเธอขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนเรื่อง นักเรียนหญิงที่ชื่อเซซิลก็หันไปมองเอริซาเบธด้วยสายตาดุร้ายในทันที

 

แต่ว่าเธอก็ไม่ได้พูดอะไรขึ้นมาและทำเพียงแค่จับเอาตราของโรงเรียนที่ติดอยู่บนเสื้อโค๊ทกันลมที่เธอสวมใส่ทับเสื้อยืดแขนกุดรัดรูปกับกางเกงขาสั้นขึ้นมาให้อีกฝ่ายดูราวกับจะบอกว่าก็ใส่เสื้อโค๊ทของทางโรงเรียนแล้วยังไม่พออีกหรือไง

 

“อ—อีกฝ่ายใช้อาวุธระยะไกลตั้งสองคนเลยหรอคะ? หว๊าย…”

 

ทันใดนั้นเองนักเรียนหญิงร่างใหญ่ที่มีเส้นผมสีน้ำเงินยาวและดวงตาสีเขียว อีกทั้งยังมีเขาขนาดใหญ่สีดำงอกออกมาจากด้านข้างของศีรษะนั้นก็ได้พูดขึ้นมาด้วยท่าทีประหม่าและลังเลที่ไม่เข้ากับร่างกายสูงใหญ่ของเธอเลยแม้แต่น้อย

 

ซึ่งเมื่อเอริซาเบธหันไปมองก็พบว่านักเรียนหญิงที่ชื่อว่ารีซาน่านั้นได้สวมใส่เครื่องแบบนักเรียนเป็นระเบียบเรียบร้อยดี แต่ติดอยู่ตรงที่ว่าชุดเครื่องแบบของเธอนั้นเหมือนจะเล็กกว่าขนาดตัวของเธออยู่มาก จนทำให้หลายๆ ส่วนแทบจะปริออกมาอยู่แล้ว

 

“ใส่เครื่องแบบได้เรียบร้อยดีนี่ …แต่ว่าชุดมันไม่เล็กเกินไปหน่อยหรอรีซาน่า?”

 

“ช… ชุดนี้มันก็ใหญ่ที่สุดเท่าที่สหกรณ์เขาจะมีขายแล้วนะคะ! ส่วนชุดที่ฉันสั่งตัดไปก็ยังไม่เสร็จ… ฉ… ฉันก็เลย…”

 

“ก็หวังว่าชุดนี้มันจะทนได้จนกว่าจะสอบเสร็จล่ะนะ… เอาเป็นว่าดึงวิซที่ตกค้างในอาวุธของพวกเธอออกไปให้หน่อยสิ ฉันจะได้จัดการส่วนที่เป็นคมของอาวุธให้”

 

เอริซาเบธที่ได้ยินแบบนั้นก็มองไปยังเสื้อผ้าของรีซาน่าตรงส่วนที่ดูเหมือนจะปริแตกออกมาให้ได้ ก่อนที่เธอจะหยิบเอาก้อนคริสตัลสีขาวขุ่นๆ ออกมาจากเสื้อกาวน์ของตัวเอง

 

และทันทีที่ทั้งสามได้ยินแบบนั้นพวกเขาก็รับอาวุธคืนมาจากเอริซาเบธและดึงเอาพลังวิซที่ตกค้างอยู่ภายในอุปกรณ์ของตนกลับเข้าร่างกายและส่งอาวุธของตนไปให้เอริซาเบธอีกครั้งหนึ่งในทันที

 

เอริซาเบธที่รับอาวุธของทุกคนไปนั้นก็เอาคริสตัลไร้สีในมือของเธอไปถูกับส่วนที่เป็นคมของอาวุธทั้งสามชิ้นจนทำให้มันส่องแสงขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะดับลงไป และเธอก็ได้ลองทดสอบดูด้วยการเอามีดของอัลเบิร์ตมาปาดใส่แขนของตัวเอง

 

ซึ่งคมมีดของอัลเบิร์ตที่ถูกเธอใช้พลังวิซผ่านก้อนคริสตัลไร้สีไปนั้นก็ไม่สามารถที่จะเฉือนแขนของเธอได้ ราวกับว่ามีกำแพงอากาศหรืออะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นเคลือบมันเอาไว้

 

ทันใดนั้นเองเอริซาเบธก็ได้สังเกตเห็นรูตรงบริเวณปลายมีดของอัลเบิร์ต จึงได้พูดขึ้นมาก่อนจะโยนมีดหน้าตาแปลกๆ ในมือกลับคืนไปให้เขา

 

“อัลเบิร์ต นายได้เปลี่ยนกระสุนในมีดนี่เป็นกระสุนสำหรับฝึกซ้อมหรือยังน่ะ”

 

“เออ จริงด้วยแฮะ งั้นฉันฝากกระสุนจริงนี่ไว้กับเธอหน่อยละกัน”

 

ซึ่งเขาก็คว้ามันไว้กลางอากาศก่อนจะใช้นิ้วโป้งของเขาดันให้แผ่นที่ปิดอยู่ตรงด้านล่างของด้ามจับจนมันเปิดออก และเขย่าๆ ตัวมีดเล็กน้อยให้ตลับยาวๆ ที่ใส่คริสตัลสีเขียวขนาดเล็กจำนวนมากหลุดออกมาจากด้านใน

 

ก่อนที่เขาจะหยิบเอาตลับที่หน้าตาเหมือนกันแต่ว่ามีคริสตัลคนละสีออกมาและใส่มันเข้าไปแทน

 

“อื้มส่งมาสิ แล้วถ้าอาวุธของพวกเธอทั้งสองคนมีระบบวิซอะไรพิเศษก็อย่าลืมเปลี่ยนเป็นคริสตัลสำหรับฝึกกันด้วยล่ะ”

 

ซึ่งเอริซาเบธที่ยื่นมือไปรับตลับกระสุนจริงของอัลเบิร์ตมานั้นก็ได้เอ่ยปากเตือนนักเรียนหญิงอีกสองคนด้วยเช่นกัน

 

“ไม่มี…”

 

“ข…ของฉันมันถูกผสมลงไปในตอนที่สร้างอาวุธเลยน่ะค่ะ… แบบนั้นจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ…?”

 

เซซิลนั้นตอบกลับมาสั้นๆ พลางคว้าเอาคาตานะของเธอกลับมาจากมือของเอริซาเบธและลองจับตรงส่วนคมของมันดูด้วยท่าทีไม่ชอบใจ ในขณะที่รีซาน่านั้นก็รับขวานศึกของเธอมาถือไว้และถามออกมาด้วยน้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ

 

“ถ้าเป็นแบบนั้นเวลาใช้พลังเธอก็ยั้งๆ มือหน่อยละกัน ถึงถ้าเกิดพลาดขึ้นมาจริงๆ ฉันน่าจะหยุดเอาไว้ได้ก็เถอะนะ~ อีกอย่างตัวขวานศึกของเธอต่อให้ไม่ต้องใช้พลังอะไรแค่ฟาดๆ ไปให้โดนก็น่าจะเจ็บหนักแล้วล่ะมั้งนั่น~”

 

“ขวานศึกอันขนาดนั้นมันจะแค่ ‘น่าจะ’ ได้ยังไงกันหะ!? ต่อให้ลบคมไปแล้วเผลอๆ ก็ยังจะตัวขาดครึ่งอยู่ดีเลยมั้งนั่นน่ะ!!”

 

“นั่นสิ…”

 

“เอาน่าๆ เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พวกเธอสู้ให้เต็มที่ได้เลย มีฉันอยู่ด้วยทั้งคนต่อให้พลาดขึ้นมาก็รับรองว่าไม่เจ็บหนักแน่นอน~ อ้ะ… คู่ต่อสู้ของพวกเธอเดินมากันแล้วนั่น~”

 

ในระหว่างที่เอริซาเบธกำลังพูดตอบอัลเบิร์ตและเซซิลที่กำลังมองขวานศึกในมือรีซาน่าด้วยสายตาหวาดระแวงอยู่นั้น เธอก็เหลือบไปเห็นพวกนากาที่กำลังตรงมาหาพวกเธอจากทางอาคารเรียนเข้า

 

“มาแล้วๆ ขอโทษที ทำให้พวกเธอรอนานหรือเปล่า?”

 

นากาที่เดินมาถึงนั้นรีบเอ่ยปากขอโทษที่ทำให้ทุกคนเสียเวลาออกมาทันที โดยโมโกะที่สะดุ้งไปกับสายตาไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่นักของอัลเบิร์ตได้พยายามพูดอธิบายเพิ่มเติมขึ้นมาด้วยเช่นกัน

 

“พ–พอดีเอริกะเขาไม่ยอมให้พวกฉันใช้อาวุธที่ทางโรงเรียนเตรียมไว้ให้น่ะ แถมยังวิ่งกลับไปหยิบอาวุธของพวกฉันมาให้จากที่บ้านโดยไม่ฟังกันอีกต่างหาก”

 

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ พวกฉันก็เพิ่งจะเตรียมสนามกับอุปกรณ์เสร็จเหมือนกัน จะว่าไปนากาคุงเป็นคนเดียวที่ใช้อาวุธระยะประชิดสินะ? ถ้างั้นส่งดาบของเธอมาให้ฉันจัดการเรื่องความปลอดภัยก่อนสิ”

 

“หืม? เอาสิ”

 

เมื่อนากาได้ยินแบบนั้นเขาก็หยิบเอาดาบของตนที่เขาเรียกมันมาเตรียมไว้ตั้งแต่อยู่ในอาคารเรียนตามคำสั่งของเอริกะออกมาแล้วยื่นมันให้กับเอริซาเบธไป ซึ่งทุกคนก็มองดูเลือดที่เบื้อนบนใบดาบของนากาด้วยสีหน้าต่างๆ กันไป

 

“เลือดนั่นคงจะเป็นของเวก้างั้นสินะ แต่ว่าถ้าใช้งานอาวุธของตัวเองเสร็จแล้วก็หัดทำความสะอาดซะบ้างสิ หรือว่ากะจะเก็บไว้อวดใครกันหะ”

 

ทันใดนั้นเองอัลเบิร์ตที่จ้องนากาเขม็งตั้งแต่เห็นเขาเดินออกมาจากอาคารก็ได้พูดขึ้นมาอย่างดูแคลน เมื่อเขาเห็นว่าดาบของนากานั้นยังคงเปื้อนคราบเลือดอยู่เหมือนกับว่าไม่ได้เอามันไปทำความสะอาดมาเลยซะด้วยซ้ำ

 

“เอ่อ… คือว่าเลือดนั่นมันล้างไม่ออกน่ะ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน… ว่าแต่เตรียมอาวุธกันมาพร้อมแบบนี้ หมายความว่าพวกนายคือคนที่จะมาเป็นคู่ต่อสู้ของพวกฉันสินะ”

 

“หึ ใช่แล้ว! ฉันชื่อว่า อัลเบิร์ต จะเป็นคู่ต่อสู้ให้พวกนายเอง เตรียมตัวเอาไว้ได้เลย!”

 

เมื่ออัลเบิร์ตได้ยินคำถามที่นากาถามกลับมาเหมือนกับไม่ใส่ใจในคำดูถูกของเขาเลยแบบนั้น เขาก็กอดอกพูดแนะนำตัวกลับไปโดยไม่สนใจนากาที่ยื่นมือออกมาเพื่อหวังจับมือทักทายเขาเลยแม้แต่น้อย ทำให้นากาได้แต่หดมือกลับไปเกาแก้มของตัวเองแบบเก้อๆ

 

“ฉ–ฉันรีซาน่าค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก…”

 

“ม–โมโกะค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน…”

 

“เซซิล…”

 

“ส่วนหนูพรีมูล่าอ่ะ~ ยินดีที่ได้รู้จักพวกพี่ๆ น๊า~”

 

นากานั้นมองดูเหล่าสาวๆ ที่จับไม้จับมือทักทายกันตามธรรมเนียมปฏิบัติที่ทำกันเวลาแนะนำตัว ก่อนจะหันมามองดูอัลเบิร์ตที่ยืนกอดอกเชิดหน้าจ้องเขาเขม็ง พลางคิดในใจว่าพวกผู้ชายในโรงเรียนนี้คงจะมีธรรมเนียมปฏิบัติเวลาแนะนำตัวต่างจากที่เขารู้มา

 

ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาตัดสินใจที่จะยกมือขึ้นมากอดอกและเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ ตามแบบที่อัลเบิร์ตกำลังทำอยู่และพูดแนะนำตัวกลับไปบ้าง

 

“อัลเบิร์ต รีซาน่า แล้วก็เซซิลงั้นสินะ ฉันนากามูระ ขอฝากตัวด้วยนะ!”

 

ซึ่งท่าทางของนากานั้นทำให้อัลเบิร์ตถึงกับคิ้วกระตุก ในขณะที่รีซาน่านั้นมองดูนากาด้วยแววตาประหลาดใจ ส่วนทางด้านเซซิลนั้นก็เหลือบไปมองดูอัลเบิร์ตโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

ทันใดนั้นเองเอริซาเบธที่ยืนดูพวกเขาทำความรู้จักกันอยู่ก็ได้ส่งเสียงประหลาดๆ ออกมา และพยายามกลั้นเสียงหัวเราะของตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย

 

“อุ๊บ!! อุ… พ…. พวก… พวกเธออย่าเพิ่งทำความรู้จักกันแบบนั้นสิ เดี๋ยวก็สู้กันไม่ล… ฮะฮะฮะฮะฮะ!!”

 

แต่ว่าสุดท้ายแล้วเธอก็หลุดหัวเราะออกมายกใหญ่พลางพยายามยื่นดาบของนากากลับคืนมาให้เขาทั้งๆ ที่กำลังกุมท้องหัวเราะอยู่แบบนั้น จนทำให้ส่วนที่เป็นคมดาบนั้นทิ่มเข้าใส่นากาอย่างแรง

 

“โอ๊ย!! …อ้ะ ไม่เจ็บแฮะ เธอเอาดาบของฉันไปทำอะไรมาล่ะเนี่ย”

 

“หา… ก็ใช้วิซเคลือบไปบนอาวุธเพื่อป้องกันอันตรายไง เรื่องพื้นฐานแบบนี้ก็ไม่รู้หรือไง”

 

อัลเบิร์ตชิงพูดขึ้นมาก่อนด้วยความแปลกใจ เพราะว่าการใช้พลังวิซผ่านคริสตัลไร้สีเคลือบไปบนอาวุธเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายในการฝึกซ้อมต่อสู้นั้นเป็นเรื่องปกติที่ใครๆ ก็ทำกันอยู่แล้ว

 

ซึ่งนากาที่ได้ยินแบบนั้นเข้าไปก็หันไปมองเขาอย่างงงๆ ทำให้เอริซาเบธที่รู้ว่านากานั้นไม่มีความรู้เรื่องวิซเลยต้องรีบตั้งสติเพื่อหยุดเสียงหัวเราะของตนและรีบพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาในทันที

 

“เอาล่ะ! ในเมื่อพวกเธอทำความรู้จักกันเสร็จแล้ว งั้นก็มาเริ่มกันเลยดีกว่า! อัลเบิร์ต พวกนายทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีเสียสละไปเตรียมตัวที่อีกฝั่งหนึ่งละกันนะ แล้วเดี๋ยวพอฉันให้สัญญาณเมื่อไหร่พวกนายก็เริ่มออกตัวกันได้เลย”

 

“อ่า นั่นสินะ ถ้างั้นพวกเราเองก็ไปกันเถอะ!”

 

“ค—ค่ะ!”

 

“…..”

 

เมื่ออัลเบิร์ตได้ยินแบบนั้น เขาก็หันไปมองสองสาวเพื่อนรวมทีมและเรียกให้พวกเธอเดินตามเขาไปกัน ส่วนเอริซาเบธนั้นก็หันมาพูดกับนากาก่อนที่เธอจะออกเดินไปยังตัวอาคารเรียนในทันที

 

“เดี๋ยวฉันต้องไปรวมกลุ่มกับอาจารย์คนอื่นเขาข้างบนนั่นน่ะ เอาเป็นว่าพอขึ้นไปถึงแล้วฉันจะส่งสัญญาณเริ่มการต่อสู้ออกมาละกันนะ พวกเธอก็เตรียมตัวให้พร้อมล่ะ~”

 

“อาจารย์คนอื่นงั้นหรอ?”

 

เมื่อพวกเขาได้ยินเอริซาเบธพูดสิ่งที่ไม่ได้คาดเอาไว้ขึ้นมาก็ทำให้พวกเขาหันขึ้นไปมองด้านบนของอาคารเรียนที่เอริซาเบธชี้ให้ดูในทันที และพวกเขาพบว่าที่หน้าต่างของชั้นห้าซึ่งเป็นชั้นบนสุดของอาคารเรียนนั้นได้มีเงาคนจำนวนหนึ่งยืนมองมาทางสนามสอบอยู่

 

“ต่อให้มีจดหมายแนะนำจากวังหลวง แต่ว่าการคุมสอบก็ยังต้องใช้อาจารย์หลายคนมาช่วยกันตัดสินอยู่ดีล่ะมั้งเนี่ย…”

 

“หว๊าๆๆ ”

 

ซึ่งโมโกะที่เห็นแบบนั้นเข้าก็พูดขึ้นมาด้วยความกังวล ในขณะที่พรีมูล่านั้นก็ส่งเสียงร้องประหลาดๆ ออกมา เพราะเธอคิดว่าเอริซาเบธจะเป็นคนเดียวที่ตัดสินผลการสอบซะอีก

 

ถึงแม้ว่าโมโกะกับพรีมูล่าจะเผยท่าทีกังวลออกมา แต่ว่านากานั้นกลับยิ้มออกมาอย่างชอบใจ เพราะในเมื่อมีคนคุมสอบหลายคนแบบนี้ คนก็คงจะพูดกันไม่ได้ว่าเอริซาเบธที่รู้จักกับพวกเขานั้นแอบลำเอียงให้พวกเขาผ่านการสอบมาได้โดยที่ไม่มีความสามารถพอ

 

“เอาล่ะ ถ้างั้นก็ต้องแสดงฝีมือให้ดีที่สุดสินะ!!”

 

“ก็คงต้องเป็นอย่างงั้นแหละ…”

 

“น—หนูจะพยายาม!!”

 

ทั้งสองคนพูดตอบนากากลับไปพร้อมกับกำชับอาวุธในมือของพวกเธอแน่น ซึ่งพรีมูล่านั้นก็ได้เอาปืนยาวของเธอออกมาถือเอาไว้ในมือและห้อยดาบน้ำแข็งที่เธอได้รับมาจากคุณแม่ไว้ที่ข้างเอว ส่วนทางด้านโมโกะนั้นก็ถือปืนทั้งสองกระบอกของเธอไว้ในมือทั้งสองข้างพร้อมๆ กัน

 

“เอาล่ะ!! ถ้างั้นก็เริ่มการทดสอบได้เลย!!”

 

ปั้ง!!

 

ทันใดนั้นเอง หน้าต่างของอาคารเรียนชั้นห้าก็ได้เปิดออก พร้อมๆ กับที่เอริซาเบธได้ชะโงกหน้าออกมาตะโกนและลั่นไกปืนสั้นในมือที่เธอถือเอาไว้ให้มันยิงควันสัญญาณสีแดงออกมา โดยไม่ให้ทั้งหกคนในสนามสอบได้มีเวลาตั้งหลักเลยแม้แต่น้อย

 

“ยัยจิ้งจอกนี่—!!”

 

“เฮ้อ…”

 

“หว๊าๆๆ ”

 

ซึ่งนั่นก็ทำให้อัลเบิร์ตสบถออกมาก่อนจะรีบออกวิ่งไปทางฝั่งหนึ่งของสนามเพื่อหาทำเลเหมาะๆ ในทันที ในขณะที่เซซิลนั้นก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยและเดินตรงไปตามถนนเส้นหลักทิ้งให้รีซาน่ายืนลนลานอยู่กับที่สักพักก่อนที่เธอจะตั้งสติได้และเดินไปอีกทางหนึ่งที่ยังไม่มีใครเดินไปด้วยตัวคนเดียว

 

“นี่ไม่กะจะให้ฉันได้เตรียมใจอะไรจนวินาทีสุดท้ายจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย!?”

 

“สมกับเป็นเอริซาเบธจริงๆ ให้ตายสิ!”

 

“อ่ะ— พี่นาการอหนูด้วย!!”

 

ทางด้านทีมของนากานั้นก็พูดบ่นเอริซาเบธขึ้นมาเช่นกัน แต่ว่าพวกเขาก็เลือกที่จะจับกลุ่มกันเดินเข้าไปในซอกเล็กๆ ระหว่างแท่งหินโดยไม่มีใครคิดจะแยกตัวออกไปคนเดียวเลยแม้แต่น้อย