รู้สึกเพียงแค่ว่าที่กกหูเหมือนมีอะไรบางอย่างระเบิดออกมา เดิมทีก็ถูกเนื้อหาของคำพูดเหล่านั้นทำให้กระแสไฟฟ้าในตัวของเธอระเบิดออกมาจนไม่เหลือเศษซาก หลานเสี่ยวถางรีบหันศีรษะไปมองทันที ก่อนจะมองสือมูเฉินอย่างตกตะลึง
เป็นเพราะว่าระยะห่างของทั้งสองคนนั้นใกล้ชิดกันมาก เมื่อเธอได้หันศีรษะกลับมาแล้ว กลีบริมฝีปากของเขาจึงสัมผัสเข้าที่ซีกแก้มของเธอพอดี สุดท้ายแล้วก็หยุดลงที่มุมปากของเธอ
ทันใดนั้นเองหลานเสี่ยวถางเหมือนจะรู้สึกถึงอะไรได้บางอย่าง หัวใจแทบจะเต้นทะลุมาจนถึงลำคอในทันที
“เป็นไงครับ?” สือมูเฉินหรี่ตาลง “คุณแต่งงานกับผม คุณก็จะกลายเป็นอาสะใภ้ของเขานะ”
หลานเสี่ยงถางยังคงไม่ได้สติกลับคืนมาจากประโยคที่เขาพึ่งพูดไปเมื่อครู่นี้ดี เธอสบตามองไปยังสือมูเฉิน ก่อนจะเชิดใบหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “คุณอาคะ คุณอาสงสารฉันใช่ไหมละคะ ดังนั้นก็เลยจงใจล้อฉันเล่นสินะคะ?”
“เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ผมไม่เคยล้อเล่น” สือมูเฉินเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางจริงจังว่า “ที่ผมพูดไปเมื่อครู่นี้ ทั้งหมดผ่านการคิดพิจารณาอย่างถี่ถ้วนดีแล้วครับ”
“แต่ว่า แต่ว่าฉันมันไม่มีอะไรเลยนะคะ ทำไมคุณจะต้องแต่งงานกับฉันกันละคะ? ฉันก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับคุณเลยนี่นา…….” หลังจากที่หลานเสี่ยวถางได้สติกลับคืนมาแล้วนั้น ก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ตอนนี้ผมโสด คุณโสด ผู้ชายโสดคนหนึ่งขอผู้หญิงโสดคนหนึ่งแต่งงาน ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้หรอกใช่ไหมล่ะ?” สือมูเฉินพูดไป ก่อนจะยืดตัวตรง ยื่นมือไปจัดผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงของหลานเสี่ยวถาง “เสี่ยวถาง คุณจะต้องคิดและพิจารณาให้ดีเสียแล้วละนะครับ ผ่านหมู่บ้านนี้ไป ก็ไม่มีโรงแรมนี้แล้วนะ”
“ฉัน——”หลานเสี่ยงถางรู้สึกเพียงแค่ว่าสมองขาวโพลนไปหมด เดิมทีก็ไม่รู้อะไรเลยว่าควรที่จะตัดสินใจแบบไหน
“คืนนี้ไม่มีที่พัก ก็กลับบ้านกันกับผม อย่าลืมสิครับ คุณติดเงินผมอยู่นะ เพียงพอที่จะสามารถทำความสะอาดตลอดทั้งสัปดาห์และทำอาหารทั้งสัปดาห์นะครับ” สือมูเฉินเอ่ยขึ้นมาว่า “ผมจะไปรอคุณในรถ ข้อเสนอที่ผมพึงพูดไปเมื่อครู่นี้ พรุ่งนี้ต้องให้คำตอบกับผม”
“อือ……ค่ะ” หลานเสี่ยวถางยังคงล่องลอยอยู่บนปุยเมฆ “ฉันทราบแล้วค่ะ”
“เด็กดี แล้วเจอกันครับ!” สือมูเฉินพูดไป ก่อนจะสาวเท้ายาวก้าวจากไป
หลานเสี่ยวถางกลับเข้าไปยังห้องอาหาร ด้วยความรู้สึกสับสนเล็กน้อย
หลังจากที่หูซิ่วจูรู้ว่าหลานเสี่ยวถางไม่เอ่ยพูดอะไรเลยนั้น ตอนนี้อารมณ์ที่จะรับประทานอาหารต่อก็มลายหายไปหมดเรียบร้อยแล้ว
เธอกับหลานไห่ฮว๋าสบตามองกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปกล่าวลากับทุกคน
แต่ทว่าเริ่นเหม่ยเฟิ่งรู้สึกไม่พึงพอใจต่อเฉินจื่อโร่วเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ถือโอกาสนี้กล่าวลา แล้วเดินออกจากห้องอาหารไปพร้อมกับทุกคน
“เสี่ยวถาง หลังจากนี้ก็มาเป็นแขกที่บ้านบ่อย ๆ สิจ๊ะ!” เริ่นเหม่ยเฟิ่งยิ้มกว้าง ก่อนจะจัดแจงผ้าคลุมที่อยู่บนไหล่ หลังจากนั้น ก็เดินควงแขนสือมูชิงออกไปแล้ว ไม่มีท่าทีสนใจเฉินจื่อโร่วอีกเลย
เฉินจื่อโร่วเกลียดจนขบกรามแน่น แต่ทว่า ก็ทำได้เพียงแค่มีรอยยิ้มอบอุ่นประดับเอาไว้เท่านั้น ก่อนจะหันไปเอ่ยกับสือเพ่ยหลินด้วยท่าทางเข้าอกเข้าใจผู้คนว่า “พี่เพ่ยหลินคะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันจะพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ของพี่ยอมรับฉันค่ะ!”
อีกด้านหนึ่ง คนตระกูลหลานทั้งสองคนขับรถโตโยตาแครมรี แต่ทว่าทางด้านตระกูลสือกับขับรถยนต์ราคาหลักล้าน ดังนั้นแล้ว ทั้งสองคนรอจนกระทั่งคนตระกูลสือขับรถออกไปกันจนหมดแล้ว จึงเดินเข้าไปยังที่จอดรถ
หลานเสี่ยวถางเดินตามหลังพวกเขา ในตอนที่กำลังจะส่งทั้งสองคนจากไปนั้นเอง จู่ ๆ หลานไห่ฮว๋าที่ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ก็หมุนตัวกลับมาหาในทันที ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงขึงขังและจริงจังเป็นอย่างมากว่า “เสี่ยวถาง เรื่องที่เธอหย่า ห้ามบอกกับคุณท่านเป็นอันขาด แม้กระทั่งเธอจะปกมิดมันอย่างไรก็ตามแต่ ฉันคิดว่าคงจะไม่ต้องสอนเธอละนะ”
หลานเสี่ยวถางพยักหน้าหงึกหงัก “คุณย่าสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง ฉันจะไม่ทำให้ท่านเป็นทุกข์ค่ะ”
“เธอรู้แล้วก็ดี” หลานไห่ฮว๋าเอ่ยมาว่า “ทางด้านตระกูลหลานนี้เธอไม่สามารถมาพักอาศัยอยู่ได้ชั่วคราวแล้ว ถึงแม้ว่าสือเพ่ยหลินจะไม่ให้เงินกับเธอ แต่ทว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามปีก่อนหน้านั้นมีแหวนแต่งงานนี่ ขายไปเสียก็คงจะพอค่าใช้จ่ายประจำวันของเธอสักเดือนหนึ่ง”
“ค่ะ ได้ค่ะ” หลานเสี่ยวถางพยักหน้าต่อ
หลานไห่ฮว๋าก็ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อแล้ว ควงแขนของหูซิ่วจู แล้วขึ้นรถโตโยตาแครมรีของเขาไป
เมื่อรถยนต์สีเงินหายออกไปจากสายตาแล้ว หลานเสี่ยวถางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะเตรียมโทรศัพท์หาสือมูเฉิน
แต่ทว่าในตอนนี้เอง ไฟจากรถยนต์คันที่จอดอยู่ทางด้านหน้ากลับสว่างจ้าขึ้นมาทันที เมื่อแสงไฟสาดส่องมาครั้งหนึ่งแล้วนั้น ราวกับว่ากำลังเบิกตากว้างใส่เธอ
หลานเสี่ยงถางเดินตรงเข้าไปหาแสงไฟนั่น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร จู่ ๆ ก็รู้สึกได้ว่าในบรรยากาศมืดมิดของท้องฟ้านั้น แสงไฟแบบนี้ราวกับว่าเป็นโคมไฟในท้องทะเลอันกว้างใหญ่ก็ไม่ปาน ทำให้จู่ ๆ เธอก็เรียกความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยขึ้นมา
เธอเดินเข้าไป ก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาของสือมูเฉินจริง ๆ ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาอยู่ภายใต้แสง อีกครึ่งหนึ่งอยู่ภายใต้เงามืด นั่นยิ่งทำให้เพิ่มออร่าความหล่อเหลาบาดตาบาดใจของเข้ามากขึ้นไปอีก
เธอถูกแสงสาดใส่จนตาพร่ามัวเล็กน้อย หลังจากนั้นช่วงเวลาหนึ่งจึงได้สติกลับคืนมา “คุณอาคะ”
“ในทุกครั้งที่คุณเรียกผมแบบนี้ ทำให้ผมรู้สึกแก่ทุกครั้งเลย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วนั้นผมอายุมากกว่าคุณแค่ห้าหกปีเท่านั้นเอง” สายตาของสือมูเฉินมองไปยังที่นั่งข้างคนขับรถ “ขึ้นรถเถอะ!”
เมื่อถึงบ้านแล้ว สือมูเฉินก็ปลดกระดุมสองเม็ดบนสุดของเสื้อเชิ้ตออก “ผมจะไปอาบน้ำเสียหน่อย คุณตามสบายได้เลยนะครับ”
“ค่ะ” หลานเสี่ยวถางพยักหน้าหงึกหงัก จู่ ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ดูเหมือนว่าเธอจะไม่มีชุดนอน อีกประเดี๋ยวอาบน้ำเสร็จแล้วก็สวมใส่ได้เพียงแค่ชุดคลุมอาบน้ำของเขาเท่านั้น
เธอยังคงไม่คุ้นชินกับการอยู่บ้านของคนอื่น ดังนั้นแล้ว ก็เลยนั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขก ไม่ขยับตัวไปไหนเลย
ผ่านไปไม่นานนัก สือมูเฉินออกมาจากห้อง เส้นผมของเขายังคงมีหยาดน้ำสีใสประดับอยู่ไม่น้อย ร่างทั้งร่างอยู่ในชุดนอนสีเทา แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนเลยว่าอยู่ในทั่วท่าสบาย ๆ และเหนื่อยล้า
“ไปอาบน้ำสิครับ น้ำอุ่นมีพอนะ” สือมูเฉินเอ่ยขึ้นมาว่า “ผมไม่ค่อยชอบกลิ่นควันบุหรี่เท่าไหร่”
หลานเสี่ยวถางถึงฉุกคิดขึ้นมาได้ ดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่เคยเห็นจริง ๆ เลยว่าสือมูเฉินสูบบุหรี่
หลังจากนั้น จู่ ๆ เธอก็คิดอะไรขึ้นมาได้ เฉินจื่อโร่วไม่ใช่ตั้งครรภ์แล้วหรอกหรือไง? วันนี้ที่รับประทานอาหาร สือเพ่ยหลินก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไรเลย สูบบุหรี่มวนต่อมวน อีกอย่างดูเหมือนว่าเฉินจื่อโร่วจะดื่มเหล้าไปนิดหน่อยด้วย
ดังนั้น เมื่อก่อนที่เธอพูดออกมาว่าตั้งครรภ์นั้นเป็นเรื่องโกหกหรือ? ยังคงจงใจกลั่นแกล้งและบีบคั้นเธอ แสดงละครให้เธอหย่าสินะ?
หลานเสี่ยวถางรู้สึกสับสนเล็กน้อย รู้สึกน่าเศร้านิดหน่อย
ในตอนนี้ คำพูดของสือมูเฉินตีอาการใจหวิวของเธอจนแตก “ไม่รู้ว่าจะต้องไปอาบที่ไหน หรือว่า จะให้ผมเข้าไปช่วยคุณอาบ?”
หลานเสี่ยวถางพลันชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่แก้วจะขึ้นสีแดงระรื่น “ฉันไปเองค่ะ!”