ตอนที่ 34 ข้าอยากเห็นแสงสว่าง (2)
ต่อเนื่องสิบกว่าวัน หนิงอี้จะมาอารามรู้กรรมทุกวัน ช่วยสวีชิงเยี่ยนเอาหยดความเป็นเทพออกจากกาย
ที่น่าแปลกคือ ขลุ่ยกระดูกตนดูดซับความเป็นเทพมากขนาดนี้…กลับไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงน่าเหลือเชื่ออย่างที่หนิงอี้คิดไว้ อย่างเช่นเหมือนตอนทะลวงขอบเขตแรกครั้งก่อน ที่ทะลวงขอบเขตที่สองในคืนเดียว
พลังบำเพ็ญของหนิงอี้ค้างอยู่ขอบเขตที่สอง ระหว่างที่เขาหายใจ การกินพลังวิญญาณฟ้าดินยังมีจำนวนมากกว่าผู้บำเพ็ญระดับเดียวกัน แต่ก็เหมือนวัวดินลงทะเล ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
คำอธิบายของสวีจั้งง่ายมาก
การจะใช้การสั่งสมระหว่างหายใจทะลวงพลังแทบจะเป็นเรื่องเพ้อฝัน ราชสำนักต้าสุย เขาศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ต่างๆ ผู้บำเพ็ญอัจฉริยะมากมาย ไม่มีใครไม่ใช้ทรัพยากรของสำนักตน
สั่งสมน้อยสำเร็จมาก ขลุ่ยกระดูกปลุกตื่นแล้ว สั่งสมความเป็นเทพรวมถึงแสงดาราเงียบๆ หนิงอี้ได้แต่รอโอกาสครั้งต่อไปเท่านั้น
สวีจั้งลองศึกษาขลุ่ยกระดูกของหนิงอี้ หลังปลุกตื่น ใบไม้สีขาวนี้เหมือนจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรมาก แต่ตาเนื้อมองไม่เห็นจุดที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นของมัน ใบไม้กระดูกสีขาวนี้เหมือนหยกอ่อนมากกว่า หากหนิงอี้ไม่บอกก็ไม่มีใครรู้ว่านี่เป็นสมบัติล้ำค่าที่มีระดับสูงกว่า ‘พินิจเหมันต์’
“ยิ่งเป็นอาวุธที่แกร่งมากเท่าไร หลังยอมรับเป็นนายแล้วก็ยิ่งต้องมีพื้นฐานสูงมากเท่านั้น สมบัติประจำเขาศักดิ์สิทธิ์ต้องเป็นผู้บำเพ็ญจุดดาราชะตาอย่างน้อยสิบคนปลุกตื่น ค่ายกลกระบี่อัคคีผลาญของเขาสู่ซาน แม้จะใช้เพียงมุมเดียวก็ต้องให้ผู้ใช้บรรลุระดับราชันดารา”
สวีจั้งพูดตามความจริง “อาวุธที่หยิบออกมาเดี่ยวๆ ก็ใช้ได้ ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน พินิจเหมันต์ของเจ้าหรุยเป็นข้อยกเว้น ระดับของพินิจเหมันต์สูงและไร้เทียมทาน เจ้าหรุยนำหินลับกระบี่มาจากหลังภูเขา ลับอยู่สิบปี ดังนั้นพื้นฐานการใช้พินิจเหมันต์จึงต่ำมาก เหมาะกับผู้บำเพ็ญขอบเขตพลังต่ำมาก”
หนิงอี้ตั้งใจฟังมาก…งานฆ่าโจรม้าเขาไม่ทำแล้ว ในระยะสามสิบลี้รอบเมืองสันติ กลุ่มหิรัญล่มสลายแล้ว โจรม้าอื่นต่างแตกรัง กระบี่ร่มนั้นเขาก็ยังพกอยู่ตลอด ต่อให้ไม่ฆ่าคน ไม่มีพายุฝน กระบี่ร่มก็ยังอยู่ติดมือตลอด สวีจั้งเคยบอกว่ากระบี่จะห่างกายไม่ได้ กินข้าวดื่มน้ำนอนหลับ จะให้กระบี่ร่มห่างจากสายตาตนไม่ได้
ตอนนี้หนิงอี้รู้แค่ว่าสวีจั้งจ่ายเงินไปเยอะมากเพื่อซื้อ ‘กระบี่ร่ม’ มา แต่ไม่รู้ว่า ‘เงินเยอะมาก’ ที่สวีจั้งบอกคือความหมายแบบใดกันแน่
เขามองกระบี่ร่มเป็นสหายที่สำคัญที่สุด ความเป็นจริง…ตอนนั้นที่สวีจั้งมอบกระบี่ร่มให้เขาก็กำชับไว้เช่นนี้แล้ว
กระบี่ร่มมีประโยชน์มาก ตอนนี้ไม่มีสิ่งใดที่ต้านการฟันของกระบี่ร่มได้
หนิงอี้ไม่ใช่คนโง่ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงไปช้าๆ ของชีวิต เขาสงสัยความเป็นมาของกระบี่ร่มรวมถึงพฤติกรรมที่สวีจั้งชอบแบกผ้ายาวสีดำ…อีกทั้งความจริงที่สงสัยยังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางเงื่อนงำต่างๆ
สวีจั้งมองเรื่องราวมากมายอย่างเฉยชามาก
เขาให้ความสำคัญกับคำว่า ‘ความรัก’ เพียงคำเดียว
ดังนั้นหนิงอี้รู้ว่าพินิจเหมันต์สำคัญกับบุรุษคนนี้เพียงใด
เขาไม่พูด เขาก็ไม่ถาม
นี่เป็นสัญญาลับ และเป็นความไว้ใจ เป็นความรับผิดชอบยิ่งกว่า
…..
“พี่ชายข้าเป็นที่ปรึกษาคนหนึ่งที่ไร้ชื่อเสียงมากในแดนประจิม เขารับใช้องค์ชายสามหลี่ไป๋หลินแห่งเมืองหลวงต้าสุยปัจจุบัน เขาชื่อสวีชิงเค่อ”
เด็กสาวมองหนิงอี้ น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน “เคยได้ยินหรือไม่”
หนิงอี้ส่ายหน้า “ดูท่าคงจะไร้ชื่อเสียงมากจริงๆ”
ที่ปรึกษาของต้าสุยมีเป็นพันเป็นหมื่น ล้วนรับใช้ราชวงศ์ไปชั่วชีวิต…บางคนมีตำแหน่งสูงอุทิศตัวเพื่อราชวงศ์ต้าสุยได้ ถึงขั้นเผาชีวิตตายแทนได้ ผู้คงแก่เรียนที่มีอำนาจมากขึ้นในพายุฝนพวกนี้ เศษเดนชนชั้นล่างที่อาศัยในเทือกเขาประจิมอย่างหนิงอี้ไม่เข้าใจเลย
การมีชีวิตเป็นเรื่องที่ยากจะชื่นชมยินดี โลกนี้ไม่ให้เจ้ามีชีวิต เจ้าก็ต้องล้มลุกคลุกคลาน ต้องกัดฟันสู้ ต้องแก่งแย่งชิงดี สุดท้ายกว่าจะรอดมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ แต่กลับไปตายอย่างนั้นหรือ
ที่ปรึกษามากมายเข้าราชวงศ์ได้ตามที่ใจต้องการ ผู้มีอำนาจบางคนมีที่ปรึกษาจำนวนมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระดับสูงในตำนานท่านนั้นที่มีที่ปรึกษาถึงสามพันคน การเลี้ยงขุนนางทั้งหมดก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร
มีที่ปรึกษาจำนวนมากกว่าที่หิวหนาวตายอยู่ข้างนอก ขอร่ำเรียน ลำบากศึกษาหลายปี ก็ยังเปิดประตูชนชั้นสูงพวกนั้นในเมืองหลวงต้าสุยไม่ได้
โลกนี้ยุติธรรมมาก หากทุกคนล้วนมีความสามารถ เช่นนั้นก็คงจะไม่ยุติธรรมแล้ว
รู้ลำบากจึงถอยเป็นเรื่องที่มีความกล้าหาญ ไม่พุ่งชนกำแพงทางใต้และไม่หันหลังกลับยิ่งกล้าหาญมากกว่า บ่อยครั้งที่มีคนพุ่งชนกำแพงทางใต้พังแล้วประสบผลสำเร็จ แต่มีคนที่มากกว่าหัวแตกเลือดไหล ตายอยู่ตรงมุมกำแพง
องค์ชายสามแห่งต้าสุย แน่นอนว่าแกร่งกว่าชนชั้นสูงธรรมดาในเมืองหลวงมาก
เบื้องหลังขององค์รัชทายาทเป็นอาจารย์แห่งอาณาจักร คุณชายหยวนฉุน
เบื้องหลังขององค์ชายรองมีคุณชายน้ำค้างหานเยวีย เขาศักดิ์สิทธิ์ตระกูลขุนนางทั้งแดนบูรพาถูกหานเยวียมัดรวมเป็นโซ่ แล้วคุมอยู่เบื้องหลังองค์ชายรอง
เบื้องหลังองค์ชายสาม…ไม่มีอะไรเลย
สองเดือนนี้หนิงอี้อ่านตำรามากมาย เมื่อนานมาแล้วเขาเคยได้ยินนามของหยวนฉุนกับหานเยวีย…หยวนฉุนเป็นคนเก่าแก่ที่ร่วมรบกับจักรพรรดิไท่จงในอดีต ตอนนี้แทบจะถึงขีดจำกัดแล้ว ‘คนเก่าแก่’ ระดับนี้มีน้อยมากในเมืองหลวงต้าสุย
ส่วนคุณชายน้ำค้างหานเยวีย หนิงอี้นึกถึงนามนี้ก็อดเย็นที่แผ่นหลังไม่ได้
อยู่ไกลถึงในกำแพงเมืองแดนบูรพา มีอาณาเขตติดกับเขาวิญญาณแดนบูรพา แต่กลับทำให้หนิงอี้ในเทือกเขาประจิมได้ยินชื่อเสียงโหดเหี้ยมมาตั้งแต่เยาว์วัย
คุณชายน้ำค้างมีชื่อเสียงมานานนม ผงาดขึ้นอย่างแท้จริงในช่วงหลายสิบปีมานี้ หานเยวียลงมือโหดเหี้ยม กำแพงเมืองแดนบูรพาไม่มีสงครามก็ตรงไปทะเลพลิกผันแดนอุดรเอง ล่าปีศาจสามพันปีหลายตัว คนนี้มีอุบายไม่ธรรมดา พลังบำเพ็ญสูงยิ่ง แต่ไม่ใช้กลยุทธ์ เพียงแต่ตอนที่กลับมาจากทะเลพลิกผัน เขาไปเขาศักดิ์สิทธิ์หลายลูกในแดนบูรพาด้วยตนเองพร้อมกับหัวของปีศาจสามพันปี ไปประลองกับเจ้าเขาศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นเล็กน้อย
ดังนั้นทั้งแดนบูรพาจึงมัดรวมเป็นเชือกยาวเส้นเดียว
จักรพรรดิไท่จงเหมือนจะไม่สนใจการชิงอำนาจของทายาทตน องค์รัชทายาทพักอยู่ในเมืองหลวง ไร้ซึ่งปณิธาน คุณชายหยวนฉุนช่วยปกครองแล้วก็ยังไม่แก่งแย่งชิงดี จึงเกิดการเปรียบเทียบกับองค์ชายรองหลี่ไป๋จิงที่มีนิสัยอวดดีคนนั้นอย่างชัดเจน
เรื่องสงครามในแดนอุดร เรื่องการเมืองของราชวงศ์ โลกหล้าเผ่ามนุษย์ เรื่องพวกนี้องค์ชายรองจัดการไม่ได้
นอกจากนี้ เรื่องการรวมเขาศักดิ์สิทธิ์แดนประจิมเขาก็ต้องจัดการ ผู้ฝึกภูตผีแดนทักษิณก่อความวุ่นวาย เขาก็ต้องจัดการเช่นกัน
คำพูดเดียว เรื่องที่องค์รัชทายาทกับองค์ชายสามจัดการไม่ได้ เขาต้องจัดการ เรื่องที่องค์รัชทายาทกับองค์ชายสามจัดการได้ เขาก็ต้องจัดการเช่นกัน
องค์ชายรองประจำกำแพงเมืองแดนบูรพา ตรงหน้ามีหานเยวียเป็นหูเป็นตาทั่วฟ้า ยินดีให้ความช่วยเหลือ ข้างหลังมีสี่เขาศักดิ์สิทธิ์สนับสนุน เป็นม้าเป็นสุนัขให้ หากองค์จักรพรรดิไม่ขวาง เช่นนั้นเขาก็จะทำทุกอย่างนี้ได้จริงๆ
ทุกอย่างที่ทำนี้ไม่ต้องร้องขอเลย มันจึงง่ายมาก
บุตรคนโปรดของจักรพรรดิ
เขาอยากแสดงความสามารถและพลังของตนต่อบุรุษคนนั้นที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกหล้าว่า ตนมีคุณสมบัติเป็นเจ้าอาณาจักรคนต่อไป
และความจริงคือเขาทำได้จริงๆ
องค์รัชทายาทไม่มีใจแก่งแย่ง อยู่ในเมืองหลวงไม่ไปที่ใด ดังนั้นองค์ชายรองจึงไม่มีอุปสรรคใดๆ เลย ก่อนที่องค์ชายสามจะประสูติ เขาก็จัดการเรื่องจุกจิกเหนือใต้ออกตกทั้งโลกหล้ามานานแล้ว…กระทั่งขาดอีกนิดเดียวก็จะได้จัดการองค์ชายสาม ให้องค์ชายสามไร้วาสนากับโลกนี้
“องค์ชายสามไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ หากเขาไม่เป็นคนอย่าง ‘องค์รัชทายาท’ เขาคงอยู่ได้ไม่ถึงสิบขวบ”
หนิงอี้พลันเข้าใจเล็กน้อยว่าเหตุใดในสำนักลับเขาสู่ซานถึงมีข่าวส่วนใหญ่ว่าองค์ชายสามธรรมดาและไร้ความสามารถ ภายใต้การจู่โจมอย่างฉับพลันเช่นนี้ขององค์ชายรอง องค์รัชทายาทยังเลือกเก็บตัวอยู่ในเมืองหลวง…หลี่ไป๋หลินที่เกิดช้ากว่าองค์ชายรองหลายสิบปี นอกจากซ่อนคมยอมโง่แล้วยังทำอะไรได้อีก
ท่ามกลางการชิงอำนาจจักรพรรดิมีแต่กลอุบายเลวๆ ทุกอย่าง ในแดนประจิมมีแต่ข่าวองค์ชายสามเที่ยวซ่องนางโลม ใช้ชีวิตในแง่ลบ…ดังนั้นในเขตทั้งต้าสุย ย่อมรู้กันว่าองค์ชายสามเป็นคนธรรมดา
ความจริงนี่เป็นการปกป้องตัวเองอย่างหนึ่ง
“ปีนี้หลี่ไป๋หลินอายุยี่สิบสี่ปี ข้างหลังเขาไม่มีที่ปรึกษา ไม่มีผู้บำเพ็ญ ไม่มีเขาศักดิ์สิทธิ์”
เบื้องหลังขององค์ชายองค์หนึ่งไม่มีทางไม่มีที่ปรึกษา ไม่มีผู้บำเพ็ญ และไม่มีเขาศักดิ์สิทธิ์…
คำว่า ‘ไม่มี’ ในที่นี้หมายความว่าเขาซ่อนไว้อย่างดีมาก
บางครั้ง…ไม่มีอะไรเลยก็หมายความว่ามีทุกอย่าง ในช่วงที่สำคัญที่สุด เขาจะเผยไพ่ตายออกมา ก็อาจจะมีเขาศักดิ์สิทธิ์บางแห่งในแดนประจิม หรืออาจจะมีเขาศักดิ์สิทธิ์ทุกลูกในแดนประจิม
“ในราชวงศ์ต้าสุยมีอ๋องบางคนให้ความสำคัญกับที่ปรึกษาสามพันคน ใช้สิ่งนี้เป็นการต้อนรับแขก แต่จักรพรรดิไท่จงกำหนดกฎให้ทายาทของตน…คารวะที่ปรึกษาท่านเดียวเป็นอาจารย์เท่านั้น และยังเป็นทหารผู้ช่วย”
สวีชิงเยี่ยนพูดถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักไป “องค์รัชทายาทเลือกคุณชายหยวนฉุนอย่างฉลาดมาก คุณชายคนนั้นเป็นเสาเอกของต้าสุย เชื่อมกับเสาหลัก หากคุณชายหยวนฉุนไม่ล้ม เช่นนั้นก็ไม่มีใครล้มองค์รัชทายาทได้ จะสาดน้ำโคลนสกปรกมาทั้งโลกหล้าก็ไม่มีประโยชน์”
หนิงอี้เข้าใจนิดๆ แล้ว องค์รัชทายาทเลือกคุณชายหยวนฉุน องค์ชายรองเลือกคุณชายน้ำค้างหานเยวีย…
ที่ปรึกษาที่องค์ชายสามเลือกคือ…
หนิงอี้เบิกตาโต ที่แท้แสงดาราที่ไหลเวียนอย่างราบรื่นในกายเด็กสาวถึงเกิดปั่นป่วนขึ้นมา หยดน้ำความเป็นเทพเม็ดที่สี่สิบสามและเป็นหยดความเป็นเทพสุดท้าย ตอนที่ถูกดึงออกมา เพราะจิตใจแตกซ่าน ไม่มั่นคง แสงสว่างทั้งหมดในหยดน้ำพลันปะทุขึ้น ใบไม้นอกอารามลอยขึ้น ฐานสิงโตภูเขารับภาระไม่ไหวแตกกระจายออก
“ใช่”
สวีชิงเยี่ยนยิ้มเย้ยเยาะตนเอง “พี่ชายข้าสวีชิงเค่อ อายุพอๆ กับหลี่ไป๋หลิน เป็นแขกของเขา เป็นทหาร และยังเป็น…อาจารย์ของเขา”
เด็กสาวที่ถูกดึงหยดความเป็นเทพออกมาทั้งหมด รู้สึกร่างกายเบาสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
นางนึกถึงคำพูดของหนิงอี้ หากดึงความเป็นเทพที่ตกตะกอนมานานออกมา เช่นนั้นนางจะลองผลักประตู ไปมองโลกข้างนอกได้
สวีชิงเยี่ยนมองหนิงอี้อย่างระมัดระวัง
เด็กหนุ่มพยักหน้าอย่างจริงจัง
ดังนั้นนางจึงเดินมาหน้าประตู ไม่ได้ระแวงหรือกังวลเหมือนก่อน ความเป็นเทพในกายยังคงแผ่ขยาย แต่อย่างน้อยก็มาถึงระดับต่ำสุดในชีวิต หากในชีวิตนางจะมีสักวันที่มีสิทธิ์ได้เห็นแสงสว่างก็คงเป็นวันนี้
ก่อนผลักประตู สวีชิงเยี่ยนลังเลอยู่ชั่วครู่
นางเหม่อลอย ใจนึกว่าวันนั้นที่มีสิทธิ์เห็นแสงสว่างมากที่สุด หากไม่ใช่วันนี้…แล้วจะเป็นวันใด
จะต้องเป็นบางวันที่มีหนิงอี้อยู่แน่นอน
หรืออาจจะเป็นทุกวัน
เด็กสาวยิ้ม รู้ว่านี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้จึงผลักประตูอย่างแน่วแน่ ใบไม้แห้งนอกอารามพากันลอยขึ้น แสงตะวันสว่างจ้าอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แสงใบไม้ร่วงสาดเข้ามา หนิงอี้นั่งตรงหัวเตียง มองเงาทอดยาวของเด็กสาว ร่างที่นั่งลงครึ่งหนึ่งอยู่กับที่ กางสองแขนเหมือนลูกนกที่จะบินขึ้นท้องฟ้า
……………………..