ตอนที่ 35 สองคำพยากรณ์
ในเขตเทือกเขาประจิม มีรถม้าธรรมดาคันหนึ่งแล่นออกมาจากใต้ประตูภูเขาหอสามวิสุทธิ์แห่งสำนักเต๋าช้าๆ
ผ้าม่านขาวของตู้รถขยับไหว เสียงเบาและช้า
“ข้ากับผู้อาวุโสหอสองท่านคุยกันมาสามวันสามคืนแล้ว เกี่ยวกับความไม่แน่นอนและความสงบสุขของต้าสุย เกี่ยวกับอนาคตของต้าสุย เกี่ยวกับ…ตัวข้าเอง”
หลี่ไป๋หลินในอายุยี่สิบสี่ปีใบหน้าขาวซีด สุขภาพเหมือนจะไม่ค่อยดีนัก ทุกคนในแดนตะวันตกรู้ว่าองค์ชายสามเป็นคนไร้ความสามารถ หลงใหลในกามารมณ์ เกียจคร้านฝึกบำเพ็ญ ร่างกายอ่อนแอขี้โรค…คนเช่นนี้ สุขภาพจะดีได้อย่างไร
องค์รัชทายาทในเมืองหลวงไม่ต้องซ่อนเร้น โอรสสวรรค์อยู่ใต้เท้า สูงศักดิ์เป็นบุตรจากมเหสี แต่เขาไม่เหมือนกัน
องค์ชายรองก็เป็นบุคคลอัจฉริยะชื่อเสียงเลื่องลือหนึ่งทิศมานาน อาจารย์เป็นคุณชายน้ำค้างหานเยวีย คุมเมฆลมชายแดนต้าสุย เขาศักดิ์สิทธิ์ครึ่งหนึ่งในโลกหล้าติดตามเขา ได้ยินว่าทะลวงขอบเขตที่สิบแล้ว ต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์สุดยอดอย่างไรก็ไม่มีทางเทียบกับองค์ชายรองได้
หลี่ไป๋หลินไม่อยากขี้โรค
แต่เขาไม่มีทางเลือก ได้แต่ป่วยขี้โรค
บุรุษอีกคนนั่งในรถม้า ผ้าม่านขาวขยับขึ้นลง เขานั่งตัวตรง อาภรณ์สีครามพลิ้วตามสายลม เอ่ยเสียงราบเรียบ “สำนักเต๋าตัดสินใจจะเลือกผู้นำคนใหม่แล้วหรือ?
หลี่ไป๋หลินยิ้มพลางพูด “ใช่ ข้าโน้มน้าวผู้อาวุโสหอสามวิสุทธิ์แล้ว”
รอยยิ้มของเขาดูอ่อนโยนถึงที่สุด ไม่เหมือนบุรุษที่เติบโตมาในการแผนการลอบสังหารตั้งแต่เยาว์วัย มีความไร้เดียงสาของเด็กอยู่เล็กน้อย
“สำนักเต๋ายืนอยู่เบื้องหลังเรา ครั้งนี้มาไม่เสียเที่ยว น่าเสียดาย…ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ ไม่เจอคุณชายโจวโหยวในตำนานเลย” หลี่ไป๋หลินพูดด้วยน้ำเสียงเสียดายเล็กๆ “หากคุณชายโจวโหยวยืนอยู่หลังข้า เช่นนั้นเราก็ไม่ต้องกลัวหานเยวียแห่งแดนบูรพาแล้ว แม้น้ำค้างจะแกร่ง ก็แค่แกร่งในตอนนี้เท่านั้น อนาคตสิบปีร้อยปี คุณชายโจวโหยวจะต้องยืนอยู่จุดสูงสุดของโลกแน่นอน”
เสียงขององค์ชายสามมีความเสียดายเล็กน้อย
เขาผ่านชีวิตที่น่าอัปยศอดสูมานานยี่สิบสี่ปีแล้ว
แต่เขาไม่คิดว่าจะทนไม่ได้อีก เพราะทนมาได้ยี่สิบสี่ปีแล้ว…ตอนนี้เขาไม่สนใจว่าจะต้องทนต่อไปอีกสักหน่อย
“เขาอนันต์เล็ก ตำหนักทะเลสาบกระบี่ เขาม่วง เขาสู่ซานแห่งแดนประจิม…แดนศักดิ์สิทธิ์พวกนี้ หากควบคุมไม่ได้ทั้งหมด เราก็ยังต่อกรกับองค์ชายรองไม่ได้”
เสียงของสวีชิงเค่อดังขึ้น “เจ้าเขาอนันต์เล็กกับเจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่ยืนยันในจุดยืนของตนแล้ว เขาม่วงกับเขาสู่ซานอยู่รวมกันมาตลอด เขาศักดิ์สิทธิ์แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนประจิมสถานการณ์ซับซ้อน ยุ่งเหยิงจัดการยาก”
หลี่ไป๋หลินเข้าใจความหมายของสวีชิงเค่อ
“ค่ายกลบำเพ็ญเขาอนันต์เล็ก ค่ายกลดาบค่ายกลกระบี่ เน้นใช้ลอบสังหารหมู่ ทักษะกระบี่และเส้นทางน้ำของตำหนักทะเลสาบกระบี่ มีอานุภาพสังหารแกร่งที่สุดในบึงใหญ่แดนประจิม เล่าลือว่าเกี่ยวข้องกับเกาะเซียนวิมานเทพนอกทะเล เจ้าเขาศักดิ์สิทธิ์สองลูกนี้ วัดกันที่การสู้ตัวต่อตัว ย่อมเทียบกับเจ้าภูเขาหลายท่านแห่งแดนบูรพาไม่ได้”
สวีชิงเค่อเอ่ยนิ่งๆ “แต่เขาม่วงต่างกัน เขาม่วงศึกษาวิชาลับเกิดดับ พลานุภาพน่ากลัวอย่างยิ่ง จำนวนคนน้อยมาก ทุกคนแทบจะมีศิษย์คนถึงสองคนผ่านโลก วางตัวอยู่เหนือวัตถุ ไม่สนใจทางโลก มีความคิดคล้ายๆ กับเขาสู่ซาน ห่างไกลจากเรื่องทางโลกกับการชิงบัลลังก์ของต้าสุย”
“รากฐานของเขาอนันต์เล็กกับตำหนักทะเลสาบกระบี่เรียกได้ว่าธรรมดา ตอนนี้ดูแล้ว ถ้าวัดกันที่ขุมอำนาจใหญ่แดนประจิม พวกเขาดูแกร่งกว่าเขาสู่ซานและเขาม่วงที่ทำอะไรเงียบๆ แต่ถ้าวัดกันที่รากฐานจริงๆ เล่าลือว่าเบื้องหลังเขาม่วงกับเขาสู่ซานมีการคงอยู่ที่เป็นอมตะ”
เขาก้มหน้าหลุบตาลง ชะงักไปครู่หนึ่ง “เจ้าเขาสู่ซานลู่เซิ่งหายตัวไปห้าร้อยปี หากยังมีชีวิตรอด ก็น่าจะเป็นคนกลุ่มนั้นที่มีพลังบำเพ็ญสูงสุดในโลกหล้า หากองค์ชายได้รับความชื่นชอบจากเขาสู่ซาน…เช่นนั้นอะไรหลายๆ อย่างก็จะง่ายขึ้น”
หลี่ไป๋หลินมองบุรุษคนนั้นที่นั่งตรงข้ามตนนิ่งๆ
“เขตต้องห้ามของเขาม่วงกับเขาสู่ซาน ไม่มีใครรู้ว่าในนั้นยังมีสิ่งมีชีวิตอยู่หรือไม่ นี่คือความมั่นใจของสองเขาศักดิ์สิทธิ์นี้” สวีชิงเค่อมององค์ชายสามพลางเอ่ยมาทีละคำ “ข้าเคยใช้ยันต์หกทิศทำนาย แม้แต่เงาในนั้นยังไม่เห็น เสียอายุขัยไปหนึ่งปีอย่างเปล่าประโยชน์”
“ในโลกหล้าตอนนี้ เขาศักดิ์สิทธิ์ที่มีอำนาจมากที่สุดคือเขาลั่วเจียอย่างไม่ต้องสงสัย”
สวีชิงเค่อพูดอย่างจริงจัง “หานเยวียไม่ได้รับการต้อนรับจากเขาลั่วเจียมาโดยตลอด องค์ชายรองมีใจแต่ไร้กำลัง แต่องค์ชายท่านไม่เหมือนกัน ท่านมีสัญญาหมั้น ผูกกับตัวศิษย์สายตรงของเจ้าเขาลั่วเจีย ขอแค่มีฐานะสว่างไสวเที่ยงธรรม ไม่เกี่ยวกับฐานะราชวงศ์ ต่อให้ชนรุ่นหลังตระกูลเผยจะตายไปแล้ว…ก็ต้องได้รับการสนับสนุนจากเขาลั่วเจีย เจ้าภูเขาน้อยแห่งเขาลั่วเจียเหมือนกับโจวโหยวตำหนักนภาม่วงแห่งสำนักเต๋า อีกไม่นานก็จะเป็นคนที่หานเยวียสู้ไม่ได้และล่วงเกินก็ไม่ได้”
หลี่ไป๋หลินส่ายหน้า “สัญญาหมั้นของเขาลั่วเจีย…เป็นกระบี่สองคม ช่างมันเถอะ”
“เสด็จพ่ออยากลบเขาศักดิ์สิทธิ์สองลูกนี้มาก แต่เขาไม่เคยลงมือเลย” องค์ชายสามถอนหายใจเบาๆ เปิดผ้าม่านขาวขึ้นพูดพึมพำ “ข้ากำลังลังเลว่าแบบนี้จะจุดไฟเผาตัวเองหรือไม่”
“บางอย่าง สิ่งที่คนจะทำก็มักจะเผาตัวเอง…มาถึงตอนนี้แล้ว ไฟเผาขึ้นมาแล้ว ใครจะหลบเลี่ยงได้” สวีชิงเค่อมองหลี่ไป๋หลินด้วยรอยยิ้ม “องค์ชาย รู้จักคุณชายเจ้าหรุยแห่งเขาสู่ซานหรือไม่”
“คุณชายเจ้าหรุยอยู่มาสี่ร้อยกว่าปี สุดท้ายก็ยังไม่ทะลวงขีดจำกัด” เขาเอ่ยเนิบนาบ “ปรมาจารย์ศาสตร์เต๋าที่อ่อนโยนที่สุดในโลกหล้า แรกเริ่มที่เข้าเขาสู่ซานก็ได้รับขนานนามว่า ‘บุตรหินผาบูรพา’ ถือกระบี่ยาวพินิจเหมันต์ที่ราบรื่นไปทุกอย่าง ในทะเลพลิกผันยังใช้พลังกำราบสังหารราชันปีศาจไปหลายตน ต่อมาเขาปลูกกระท่อมบนเขาสู่ซาน ไม่รับศิษย์อีก โลกหล้าเงียบสงบ”
หลี่ไป๋หลินเลิกคิ้วขึ้น ไม่เข้าใจคำพูดของสวีชิงเค่อว่าหมายถึงอะไร
…..
“คุณชายเจ้าหรุยเคยให้คำพยากรณ์ไว้หลายคำ ทุกอย่างล้วนเป็นจริง
ทางทะเลพลิกผันแดนอุดรปรากฏยอดราชันเผ่าปีศาจตนใหม่ขึ้น
เขาสู่ซานรับตัวอ่อนสังหารสวีจั้ง
ต้าสุยมีเมล็ดพันธุ์มังกรตกสู่พื้น โลกหล้าไม่สงบสุขอีก!”
ทุกประโยคดังในใจหลี่ไป๋หลิน เหมือนหินกลิ้งตกทะเลสาบ เกิดคลื่นขึ้นในใจ
เขาเคยได้ยินคุณชายเจ้าหรุยที่สุดยอดคนนั้นจริงๆ ตอนที่ตำแหน่งเจ้าภูเขาว่าง เจ้าหรุยปกครองคนเดียว โลกหล้าไม่กล้ารุกราน รับสวีจั้งเป็นศิษย์ มอบพินิจเหมันต์ โลกหล้าก็ไม่กล้าขัดขวาง
คำพยากรณ์สามประโยค เป็นจริงทุกอย่าง!
สวีชิงเค่อพูดปลงเสียงเบา “ครั้งนั้นที่ข้าใช้ยันต์หกทิศทำนาย วิญญาณสลายไป เข้าไม่ถึงเขตต้องห้ามหลังเขาสู่ซาน แต่ข้าใช้เทพเงามืดลอยล่องไปในจวนสูงศักดิ์ของคุณชายเจ้าหรุย ข้าเห็นคำพยากรณ์อีกสองอย่างที่ยังไม่เผยแพร่แกะสลักบนผนังหิน”
หลี่ไป๋หลินกลั้นลมหายใจฟัง
“ประโยคแรกคือต้าสุยจะถูกคนแซ่สวีจุดไฟลามทุ่ง” สวีชิงเค่อพูดถึงตรงนี้ยังมีสีหน้าไม่แน่ใจ เขาไม่ได้ดีใจอะไร ไม่ได้ลำพองใจอะไร ผู้คงแก่เรียนผอมแห้งขมวดคิ้วมุ่น ดวงตาดำมืด ในนั้นเหมือนสะท้อนเป็นแสงไฟโปรยปรายเต็มฟ้า
รถม้าสั่นสะเทือน บุรุษที่นั่งตรงข้ามหลี่ไป๋หลินพูดพลางหัวเราะเบาๆ “บางทีคุณชายเจ้าหรุยอาจจะมีความสามารถยิ่งใหญ่จริงๆ คาดเดาอนาคตได้ ข้าไล่หมาป่าไล่เสือให้องค์ชายสาม เส้นทางข้างหน้าทุกก้าวลำบากยากเข็ญ แต่พวกเราไม่มีทางเลือก ขอให้คำพยากรณ์นี้…เป็นจริง”
หลี่ไป๋หลินหน้าไม่เปลี่ยนสี มองอาจารย์ตรงหน้าตนนิ่งๆ
“อีกคำพยากรณ์ล่ะ”
สวีชิงเค่อมองหลี่ไป๋หลิน ผ่านไปนานก็ยังเงียบ
เขานึกไปถึงอักษรเล็กบนผนังหินนั้น ก่อนพูดออกมาทีละคำ
“ผู้ถือพินิจเหมันต์แห่งเขาสู่ซาน ผู้เป็นอาจารย์อาน้อย ขุมอำนาจใหญ่ใต้หล้า จักต้องถอยหนี”
ตอนที่พูดถึงคำนี้ สวีชิงเค่อมองหลี่ไป๋หลิน ความหมายในแววตาชัดเจนมาก
ตำแหน่งนี้น่าจะเป็นเจ้า
หลี่ไป๋หลินที่ในใจซ่อนความปรารถนาไว้มากมาย แต่ภายนอกดูสงบนิ่งเงียบลง ก่อนจะพูดในสิ่งที่ตนอยากพูดมาตลอดเสียงเบาและเนิบนาบ
“สวีจั้งเป็นเจ้าของพินิจเหมันต์ และเขายังเป็นอาจารย์อาน้อยแห่งเขาสู่ซาน”
“ใช่ แต่เขาจะตายแล้ว” สวีชิงเค่อเอ่ยอย่างเฉยชา “ตำแหน่งนี้ ยังมี ‘พินิจเหมันต์’ ที่จะว่างอีก”
………………………