“องค์ชาย องค์ชาย! ตื่น ตื่น!”

 

 เสียงของคารัคดังทะลุเข้ามายังโสตประสาทของอินกอง แม้จะพยายามนอนกลิ้งใช้หมอนอุดรูหูก็ไม่ประสบผลสำเร็จอย่างใด มืออันหยาบกระด้างของเจ้าออร์คจับตัวเขาเขย่าอย่างแรง

 

 ถึงอยากตอบว่า ‘ขออีกห้านาที… ’ ก็ไม่มีประโยชน์เสียแล้วเมื่อเขาตาสว่าง คารัคพูดรายงานเขาด้วยเสียงที่รู้สึกผิดเล็กน้อย

 

“ก็อยากให้แกนอนต่อเพราะรู้ว่าล้าจากเมื่อวานหรอกนะ แต่เผอิญมีจดหมายมาจากกระทรวงเกียรติยศนี่สิ”

 

“กระทรวงเกียรติยศ?”

 

 ความสงสัยห้ามไม่ให้อินกองล้มไปนอนต่อ น้อยครั้งนักที่กระทรวงเกียรติยศจะเป็นฝ่ายติดต่อมาก่อน

 

“นี่น้ำ ล้างหน้าให้ตื่นสนิทซะก่อน”

 

 คารัคยื่นถังน้ำเย็นมาให้เขา หลังจากล้างหน้าให้หายสะลึมสะลือแล้ว อินกองจึงสังเกตว่าในห้องยังมีอีกหนึ่งเงายืนอยู่

 

“นี่คือสาส์นจากกระทรวงเกียรติยศ ใต้ฝ่าพระบาทประสงค์ให้ข้าพระพุทธเจ้าเปิดเลยหรือไม่เพคะ?”

 

 ฟลอร่าที่เขาจ้างมาเมื่อวานถือพานวางจดหมายเข้ามา อินกองรีบพยักหน้าในทันที

 

“แน่นอน”

 

 ฟลอร่าแกะจดหมายส่งให้อินกองอย่างมืออาชีพ ขัดกับคารัคที่ยืนตื่นเต้นอยู่ไม่ไกล

 

‘เราถูกเรียกตัว’

 

 ในจดหมายเป็นข้อความเรียกให้ฉัตรไปที่กระทรวงเกียรติยศให้เร็วที่สุดเพื่อรับภารกิจ

 

 อินกองอ่านอย่างละเอียดก่อนจะพยักหน้า แทนที่จะมัวกังวล การออกไปเผชิญหน้าเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

 

&

 

“มีภารกิจมาจากมิตร”

 

“ฮะ?”

 

“มีภารกิจเฉพาะตัวส่งมอบมาจากจอมมารมิตร”

 

 อินกองกระพริบตาคิดว่าเขาหูฝาดไปเอง แต่อิซเบลก็ยังยืนยันคำเดิม น้ำเสียงของนางบ่งบอกว่าแม้แต่นางก็ประหลาดใจไม่น้อย

 

 คารัคที่ทนเก็บความสงสัยไม่ไหวหลุดโพล่งขึ้นมา

 

“จะบอกว่าจอมมารส่งมอบภารกิจมาให้องค์ชายโดยเฉพาะ ว่างั้น?”

 

 น้ำเสียงของเจ้าออร์คทั้งสับสน ตกใจ และประหม่า แม้จะดูไร้มารยาทแต่อิซเบลก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไรมัน นางกอดอกก่อนจะอธิบายเพิ่มเติม

 

“ข้าก็ไม่รู้รายละเอียดมากมายสักเท่าไร รู้แค่มิตรมาบอกให้ข้ามอบภารกิจนี้ให้กับท่าน”

 

 การที่จอมมารออกภารกิจระบุให้เฉพาะเจ้าหญิงเจ้าชายองค์ใด เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นน้อยมาก น้อยกว่าการที่กระทรวงเกียรติยศเป็นฝ่ายติดต่อก่อนเสียอีก

 

‘เดี๋ยวสิ มันเคยมีกรณีแบบนี้ด้วยหรอวะ?’

 

 เท่าที่เขาค้นความทรงจำเกี่ยวกับเกม ไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่จอมมารเลือกมอบหมายภารกิจให้เป็นการส่วนตัว

 

 เริ่มแรกก็เรียกชื่อในที่ประชุม ตอนนี้ยังมีภารกิจเฉพาะมาอีก

 

“หรือว่าเป็นภารกิจพิเศษ?”

 

 เสียงของอินกองเริ่มเครียด ก่อนอิซเบลจะส่ายหน้าในทันที

 

“เปล่าเลย เป็นภารกิจที่มีในตารางรายชื่ออยู่แล้ว”

 

 เป็นหนึ่งในภารกิจที่ถูกจัดเตรียมให้ทายาทอยู่แล้ว

 

 ที่อิซเบลบอกเป็นเรื่องจริง แต่อินกองคิดว่าต้องมีเหตุผลแอบแฝง

 

“เข้าใจแล้ว เราจะรับภารกิจนี้เอง เราต้องลงนามตรงไหนหรือไม่?”

 

“อ่า ตรงนี้เลย”

 

 อิซเบลยื่นรายละเอียดภารกิจพร้อมกับรายชื่อเหล่าทายาทจอมมารมาให้เขา ดูเหมือนนี่จะเป็นเอกสารยืนยันเกี่ยวกับภารกิจ

 

 หลังจากจัดการรายละเอียดเอกสารทั้งหลายเสร็จสิ้น อินกองก็ออกมาจากกระทรวง คารัครีบตามเขาออกมาพร้อมคำถาม

 

“องค์ชาย ภารกิจให้ทำอะไร?”

 

“ไว้ถึงบ้านก่อน”

 

 ข่าวเรื่องการประชุมแพร่กระจายไวมาก มีสายตาจดจ้องมาจากทั่วสารทิศ

 

 นั่นยิ่งทำให้อินกองต้องการกลับคฤหาสน์ก่อนจะคุยอะไร

 ทำไมดูอิซเบลเรียกจอมมารอย่างกันเองจัง?  นั่นเพราะอิซเบลคือปีศาจที่แก่… ฟ่อออออว์ ตุบตับ ตุบตับ ครืดคราด แอ่ก แค่ก แค่ก… (メ°益°)○∞∞∞∞(×﹏×)
 อะแฮ่ม นั่นเพราะ ‘พี่สาว’ อิซเบลคนนี้สนิทกับมิตรมาตั้งแต่เด็กตะหาก (・ω<)☆

 

&

 

“ได้ยินมาว่ากระทรวงเกียรติยศเรียกหา นี่เอ็งไปกระทรวงมาสินะ?”

 

 คริสต์และเคทลินนั่งรอเขาที่โซฟาในห้องรับรองของคฤหาสน์

 

 อินกองหัวเราะในทันทีที่เห็นทั้งสอง

 

“ข่าวไวจังครับ ฮยองได้ข่าวกรองมาจากไหนนี่?”

 

“ปล๊าวว เราก็แค่ถามไปเรื่อย”

 

 คริสต์หัวเราะออกมา เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอะไรมากมายที่ คริสต์จะรู้ก็ไม่แปลก

 

 เคทลินถามเพิ่ม

 

“ฉัตร เธอรับภารกิจใหม่มาแล้วใช่ไหม?”

 

“ครับ นี่คือรายละเอียด”

 

 อินกองหยิบเอกสารส่งให้คริสต์และเคทลิน คริสต์หรี่ตาก่อนจะอ่านมัน

 

“ปราบเหล่าคาเซีย… ปฏิบัติการปราบปรามสินะ”

 

“แถบที่ราบอินคานี่ เป็นถิ่นเซนทอร์ใช่ไหมครับ?”

 

 คริสต์ผงกหัวให้กับคำถามของอินกอง

 

“ถูกต้อง เราเคยไปแถวนั้นกับเคทอยู่บ้าง ภารกิจนี้มีมาอยู่เป็นประจำ ไม่มีอะไรยากหรอก อย่าห่วง”

 

 คาเซียเป็นปีศาจที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับหมาป่า อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง พวกมันมีจำนวนมากและปรากฏตัวระรานบริเวณที่ราบอินคาเป็นประจำ จึงมีปฏิบัติการปราบปรามอยู่เรื่อย

 ครั้งแรกที่ได้ยินชื่อปีศาจคาเซีย เลยไม่มีคำอธิบายแบบทุกที ฮาาา โอย เจ็บแผล (╥﹏╥)

 

‘เควสฟาร์มตังอันนั้นสินะ’

 

 นี่คือหนึ่งในภารกิจที่อินกองทำบ่อยมากในช่วงต้นเกมของบทกวีแห่งผู้กล้า

 

 คริสต์อ่านทวนเอกสารอย่างละเอียดอีกรอบ แม้ภารกิจที่จอมมารมอบหมายให้ฉัตรจะดูเรียบง่าย แต่ก็ถือว่ายากสำหรับตัวฉัตรในตอนนี้

 

 เขาไม่รู้เบื้องหลังของการมอบภารกิจครั้งนี้ หรือจะแค่เพราะว่าฉัตรเป็นที่โปรดปราน?

 

“เอาเถอะ ถ้าเป็นเอ็ง ก็น่าจะผ่านไปได้ด้วยดี”

 

 คริสต์ไม่ถามอะไรมากแล้วพูดให้กำลังใจอินกอง ส่วนเคทลินก็ลูบหัวอินกองอย่างเป็นห่วง

 

“เรากับเคทก็อยากจะไปช่วยหรอกนะ… แต่ยังเหลือพวกขุนนางที่ต้องพบอยู่นี่สิ ถึงจะไม่เยอะจนน่าหงุดหงิดแบบเฟลิซีนูนิมก็เถอะ”

 

“แล้วฮยองจะกลับวังไลแคนโทรปเลยเปล่าครับ?”

 

 คริสต์พยักหน้ายืนยัน

 

“อ่าฮะ ไม่ใช่ในทันทีหรอก แต่ก็ในเร็วๆนี้ เราเลื่อนนัดออกไปวันสองวันเพื่อสอนลมปราณให้ก่อนเอ็งไปทำภารกิจ”

 

“เธอต้องเดินทางในวันพรุ่งนี้ เพราะงั้นฉันจะสอนให้เท่าที่มีเวลาเหลือ”

 

 เคทลินยังคงลูบหัวเขา นางดูละอายใจที่ไม่สามารถสอนเคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพได้ทันตามที่สัญญา

 

‘จริงใจสุดๆ จริงใจจนเรารู้สึกผิดเลย’

 

 ท่าทางเรื่องที่นางไม่สามารถถล่มกำแพงหน้าผาได้ยังคงกวนใจนางอยู่ไม่น้อย

 

 คริสต์หัวเราะให้กับท่าทางเอ็นดูของเคทลิน ก่อนจะหันไปบอกอินกอง

 

“แล้วก็แจ้งข่าวบอกเฟลิซีนูนิมด้วย”

 

“ฮะ? เฟลิซีนูนะ?”

 

“ถ้าเอ็งไปทำภารกิจเลย นางงอนแน่นอน แล้วก็เหมือนนางมีของอยากจะให้เอ็งอยู่ด้วย”

 

“ของที่อยากให้ผม?”

 

“เอาเถอะ เดี๋ยวก็รู้”

 

 อินกองไม่มีเวลาปลีกตัวระหว่างฝึกฝน เขาจึงตัดสินใจส่งฟลอร่าไปแจ้งข่าวให้แทน

 

“เอาละเคท ฉัตร เริ่มกันเถอะ วันนี้เราจะอยู่ช่วยติวให้ด้วยเพราะงั้นคาดหวังไว้ได้เลย”

 

 คริสต์ขยับไหล่เหยียดมือ ใบหน้าของเคทลินก็กระตือรือร้น

 

 หนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็วด้วยความช่วยเหลือจากสองพี่น้องไลแคนโทรป

 

&

 

 เฟลิซีมาหาอินกองในวันรุ่งขึ้น แต่เป็นที่ค่ายกลเคลื่อนมิติ ไม่ใช่ที่คฤหาสน์ของเขา

 

“ฉันไม่ได้สาย”

 

“ไม่สาย? ไม่สายแน่นอน ก็แค่พวกเรารออยู่”

 

 คำพูดล้อเลียนของคริสต์ทำให้เฟลิซีจ้องไปที่เขา หากเทียบกับสภาพเมื่อตอนพบกันในภารกิจปราบกบฏสายฟ้าชาดแล้ว ถือว่าทั้งคู่เป็นมิตรขึ้นมาก  

 

 บุคคลทั้งห้ารวมตัวกันบริเวณค่ายกล อันได้แก่ คริสต์ เคทลิน เซร่า อินกอง และคารัค

 

 เฟลิซีก้าวเข้าไปหาอินกอง

 

“ฉัตร สำหรับเหล่าเอลฟ์รัตติกาลแล้ว บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ”

 

 เฟลิซีเตรียมของบางอย่างมาให้อินกอง นั่นคือสาเหตุที่นางมาช้า

 

“ได้ยินว่าเธอจะไปที่ราบอินคา ถ้าไม่เร็วพอเธอไม่มีทางตามพวกเซนทอร์ทันแน่ ฉันเตรียมพาหนะมาให้”

 

 เฟลิซีชี้ไปยังเดรโก้ทั้งสองที่ผูกบังเหียนเรียบร้อยด้านหลัง ก่อนจะจูงมาให้อินกองและคารัค

 

“แล้วก็นี่”

 

 นางหยิบจี้ห้อยคอมาวางใส่ฝ่ามือของอินกอง นี่คือสาเหตุแท้จริงที่นางมาสาย

 

 จี้เงินบริสุทธิ์แกะเป็นเสี้ยวพระจันทร์ฝั่งด้วยอัญมณีสีม่วง

 

 อินกองรู้ทันทีว่ามันคืออะไรในแวบแรกที่เห็น นั่นทำให้เขาเก็บอาการตกใจไว้ไม่ได้

 

“เฟลิซีนูนะ?”

 

 อัสสุภูติราตรี จี้อันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าหญิงลำดับที่หก เฟลิซี ดูมเบลด เจ้าหญิงเผ่าเอลฟ์รัตติกาล บุตรีแห่งราชินีซิลเวีย ดูมเบลด

 

“หวังว่าเธอคงจะไม่ลืมกัน?”

 

 เฟลิซีขยิบตาให้เขาก่อนจะเข้ามาสวมกอด

 

“ดูแลตัวเองดีๆนะ”

 

 นางตบหลังเขาหลายครั้งก่อนจะถอยห่างออก หูและแก้มของเธอแดงก่ำด้วยความเขินอาย

 

 แล้วเคทลินก็เข้ามากอดอินกองเช่นกัน

 

“ระวังตัวด้วย”

 

 เป็นรอยยิ้มอันร่าเริงเหมือนเช่นเคย อินกองพยักหน้ารับก่อนคริสต์ที่อยู่ด้านหลังพูดขึ้น

 

“ฮยองคนนี้จะปล่อยเอ็งไปเฉยๆก็คงไม่ได้?”

 

“ฮยองหยุดมือไว้เลยครับ”

 

 คริสต์หัวเราะให้กับเสียงตอบรับ ก่อนจะเดินมาลูบหัวอินกอง

 

“กลับมาให้ครบ 32 ละ”

 

“แน่นอนครับ ฮยองก็รักษาตัวด้วย”

 

 อินกองกล่าวลาพี่น้องทั้งสาม คารัคโบกมือลาเซร่าก่อนจะเดินตามอินกองเข้าค่ายกล

 

 อินกองหันไปมองเคทลินเป็นครั้งสุดท้ายแล้วค่ายกลก็เริ่มทำงาน

 

&

 

 ทวีปอัสเซนบาฮ์ ผืนแผ่นดินขนาดใหญ่ที่ยาวจรดจากขั้วโลกเหนือไปยังขั้วโลกใต้ ราวกับเส้นแวงแบ่งโลกออกเป็นสองซีก

 

 ทวีปนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งตามถื่นอาศัย โลกมนุษย์ และโลกมาร

 

 แต่เขตแดนทั้งสองก็ไม่มีแนวเส้นแบ่งที่ชัดเจนตายตัว บางส่วนบรรจบติดกันเช่นเทือกเขาจิชก้า ทว่าส่วนใหญ่จะมีบริเวณอาณาเขตคั่นกลาง

 

 บึงขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลางทวีป ทะเลสาบคัลเดีย

 

 ดินแดนแห่งทรายที่นำพาความตายสู่ทุกชีวิตที่ย่างกราย

 

 รอยแยกทวีปแสนลึกสุดจะหยั่งถึง

 

 และเหนืออื่นใด

 

 สิ่งหนึ่งที่เคลื่อนไหวมาโดยตลอด

 

 สิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยล่าถอยหรือประนีประนอม ลาวาร้อนสีแดงไหลรอบกายราวกับบ่อน้ำสร้างความสำราญให้กับมัน

 

 มันถือกำเนิดขึ้นมาจากลาวา ไม่มีเปลวไฟใดในโลกที่สามารถเผาผลาญมันได้

 

 พญามังกรเอนคิดู

 

 หนึ่งในหกมังกรบรรพกาลที่มีพลังเทียบเคียงพระเจ้า

 

 ทว่าพญามังกรตนนี้กลับต้องแปลกใจกับแขกผู้มาเยือนในหลายรอบศตวรรษ

 

 สตรีนางหนึ่ง

 

 เทียบเคียงกับขนาดอันใหญ่โตของเอนคิดูแล้ว แขกนางนี้ก็เปรียบเสมือนเม็ดฝุ่น

 

 หากแต่เอนคิดูไม่สามารถจะมองข้าม มันมองไปยังร่างในชุดเกราะศึกสีแดงฉานอย่างสนใจ

 

 อาณัติ รณการ ทุพภิกขภัย อาสัญ

 

 สี่ผู้นำแห่งหายนะตามคำทำนาย

 

 เอนคิดูรู้จักคุ้นเคยแขกตนนี้ดี และด้วยพลังของอาณัติที่มันสัมผัสได้แถวเทือกเขาจิชก้าเมื่อไม่นาน ยิ่งทำให้มันมั่นใจในตัวตนของผู้มาเยือนตรงหน้า

 

 เพลิงกัลป์

 

 เปลวไฟที่เผาผลาญทุกสิ่งที่ขวางทาง  

 

 เอนคิดูขานนามออกมา

 

“ว่ามา อาชาแห่งรณการ”

 

 ผู้ซึ่งปลื้มปิติในความขัดแย้งอันไม่มีวันจบสิ้น

 

 อาชาแห่งรณการกล่าวทักทายเพื่อนเก่าอย่างยินดี

 

จบบทที่ 6 – เผชิญหน้า เริ่มบทที่ 7 – จุติ