เซเทอร์(satyr) สิ่งมีชีวิตผู้ติดตามและทหารของเทพกรีกดิโอไนซุส(เทพแห่งไวน์และการเก็บเกี่ยว) มีรูปพรรณหลากหลาย แพะยืนสองขาที่มีจิตใจเป็นมนุษย์ ครึ่งบนเป็นมนุษย์ครึ่งล่างเป็นแพะ ครึ่งบนเป็นแพะครึ่งล่างเป็นมนุษย์ คลุกคลีในเรื่องโลกีย์เป็นส่วนมาก

 

 

 ค่ายกลเคลื่อนมิติถูกสร้างกระจายไปตามเขตแดนโลกมาร ราวกับเครือข่ายใยแมงมุม มีขนาดและรูปร่างแตกต่างออกไปตามท้องที่

 

 แสงสว่างสีฟ้าจ้าออกมาเมื่อค่ายกลเริ่มทำงาน อินกองหลับตาของเขา จนกระทั่งความรู้สึกที่เหมือนเคลื่อนที่บนพาหนะความเร็วสูงได้ผ่านพ้นไป เขาจึงลืมตาอีกครั้ง

 

 แสงสว่างทยอยกระจายตัวออกไป หลงเหลือสีเทาเรืองแสงเล็กน้อยอยู่ตามอักขระรูน

 

 ภายใต้การควบคุมดูแลของจอมมาร ค่ายกลทุกที่ต้องอยู่ในความปลอดภัย ผู้เดินทางต้องได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา

 

 ทำให้จุดหมายการเดินทางของอินกองเป็นหอคอยหินสูงตระหง่าน

 

“พวกเรามาถึงแล้วสินะ?”

 

“อืม”

 

 อินกองตอบคารัคระหว่างมองสำรวจรอบตัว สักพักทหารนางหนึ่งก็เดินเข้ามา

 

“คารวะองค์ชาย เรามีนามว่ากัมมะ พรานป่าผู้ได้รับมอบหมายให้ดูแลเจ้า”

 

 นางพูดพลางยกกำปั้นซ้ายขึ้นแตะอก เรียกได้ว่าเป็นการแสดงความเคารพในลักษณะของทหาร มากเสียกว่าพรานป่าท้องถิ่น

 

“เอ่อ อื้ม ยินดีที่ได้พบ เราคือฉัตร”

 

 สิ่งที่ทำให้อินกองแปลกใจไม่ใช่ท่าทางแสดงความเคารพ แต่เป็นลักษณะรูปร่างของสตรีที่ชื่อกัมมะ

 

 นางมีผิวสีน้ำตาลอ่อน ใบหน้าที่งดงาม และเส้นผมดำขลับ นางดูมีอายุราว 20 แต่ชุดหนังของนางทำให้คาดเดาได้ยาก สิ่งที่ผิดแปลกไปคือร่างกายท่อนล่างของนาง ขาทั้งสองมีลักษณะเหมือนกับม้า ไม่ว่าจะเป็นกีบเท้าหรือว่าสะโพก

 

‘เอ่อนี่มัน เซเทอร์สินะ?’

 

 เซเทอร์เป็นเผ่าที่มีลักษณะร่างกายคล้ายมนุษย์แต่มีขาคล้ายสัตว์ โดยส่วนใหญ่จะมีเพียงสองขา

 

 เซเทอร์ส่วนใหญ่จะมีขาเหมือนกวางหรือแพะ แม้เขาจะเคยพบเซเทอร์ที่มีขาเป็นม้าอยู่บ้างในบทกวีแห่งผู้กล้า แต่ก็น้อยจนหายาก

 

 อินกองค้นความจำของเขาอยู่พักหนึ่งก่อนจะส่ายหัว เรื่องสำคัญคือตัวกัมมะที่อยู่ตรงหน้าเขา ไม่ใช่ความหายากของเผ่านางหรือลักษณะพิเศษของนาง เขาอยู่ในดินแดนที่มีออร์คผิวเขียวอย่างคารัค การคิดหาเหตุผลอธิบายเรื่องทั้งหลายมันดูไร้เหตุผลมาก

 

“เราจะเป็นผู้ดูแลเจ้าตลอดปฏิบัติการในครั้งนี้”

 

 กัมมะกล่าวพร้อมรอยยิ้ม พอมองอะไรอย่างเรียบง่ายเขาก็รู้สึกดีขึ้น

 

“ขอบใจ”

 

 กัมมะยกมือลงแล้วยืนนิ่งรอบางสิ่ง คารัคที่สงสัยโพล่งถามขึ้นมา

 

“รออะไร?”

 

“อืม… พวกเจ้าไม่มีทหารติดตามเพิ่มแล้วหรือ?”

 

 ความว่างเปล่าด้านหลังทั้งสองทำให้กัมมะอดแปลกใจไม่ได้ ซึ่งการที่เจ้าชายมาร่วมปฏิบัติการพร้อมกับออร์คเพียงตนเดียวมันก็ดูผิดปกติ

 

 ทว่านี่คือความเป็นจริง อินกองหัวเราะแหบแห้งออกมา

 

“เรามีทหารเท่านี้”

 

 อันที่จริงแต้มผลงานของอินกองมีมากพอให้เขาใช้แลกกองทหารติดตามได้ นอกจากนี้เขายังได้รับทหารจากรางวัลระดับเกียรติยศมาส่วนหนึ่ง บุคลากรที่เขาต้องการทาบทามทั้งหลาย ก็เพื่อให้เป็นแม่ทัพดูแลกองทหารที่ว่านี้

 

 แต่สาเหตุแท้จริงก็คือเขาได้รับภารกิจมารวดเร็วเกินไป เร็วจนเขาไม่มีเวลารวบรวมทหาร

 

“เราเข้าใจแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็เดินทางเถิด”

 

 กัมมะตกใจอยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้น ก่อนนางจะส่งยิ้มพร้อมนำทางพวกเขาทั้งสอง

 

 ระหว่างการลงจากหอคอย เจ้าหน้าที่บางส่วนออกมากล่าวต้อนรับอินกอง เขากล่าวทักทายพร้อมกับแบ่งเสบียงและสิ่งของที่วังหลวงส่งมาก่อนจะออกจากหอคอย

 

 เดรโก้ที่เขาได้รับจากเฟลิซีถือเป็นของขวัญชั้นยอด เขาได้เรียนรู้ จิตวิญญาณเดรโก้ ขั้น1 ในทันทีที่เขาขี่มัน แต่คารัคที่ไม่มีทักษะดังกล่าว ก็สามารถควบคุมเดรโก้ได้โดยไม่มีปัญหา

 

“ว้าว ไอ้ตัวนี้มันเจ๋งกว่าที่คิดไว้ซะอีก ว่าไหม?”

 

 คารัคพูดชื่นชมในทันทีที่ขึ้นไปอยู่บนแผ่นผลังของเดรโก้ ถึงน้ำหนักตัวของมันจะเกิน 100 กิโลกรัม นี่ยังไม่รวมน้ำหนักจากสิ่งของและกระเป๋าที่มันถือต่างหาก แต่เจ้าเดรโก้ก็ไม่เปลี่ยนสีหน้าแต่อย่างใด

 

 แม้กระทั่งกัมมะก็พูดขึ้นอย่างชื่นชม

 

“เราเคยได้ยินกิตติศัพท์ของเดรโก้แห่งเอลฟ์รัตติกาลมานาน นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นมันตัวเป็นๆ มันดูทนทานกว่าที่ร่ำลือกันเสียอีก”

 

“นี่ก็ครั้งแรกที่ข้าได้ลองขี่มันเหมือนกัน ว่าแต่แกจะเดินเท้าจริงรึ?”

 

 คารัคถามพลางชำเลืองมองกัมมะ นางตอบด้วยรอยยิ้ม

 

“เรามีขาคู่นี้ เจ้าอย่าได้เป็นห่วงไป”

 

 นางพูดพลางชี้ไปยังขาที่ไม่ต่างไปจากม้าของนาง

 

 ด้านล่างเนินเขาอันเป็นที่ตั้งของหอคอย เป็นทุ่งหญ้าที่กว้างสุดลูกหูลูกตา กัมมะวิ่งนำทางพวกเขา โดยมีอินกองและคารัคขี่เดรโก้วิ่งตาม

 

 สายลมเย็นของทุ่งหญ้าเข้าปะทะใบหน้าของอินกอง เขาก้มลงมองจี้ที่พึ่งจะได้รับจากเฟลิซี

 

 อัสสุภูติราตรี

 

 เครื่องประดับที่ช่วยให้ผู้ใส่ต้านทานเวทมนตร์ แม้จะไม่มีความสามารถอื่นใด แต่มันก็เป็นเครื่องประดับของบทกวีแห่งผู้กล้าที่เขาใช้ประจำ

 

‘กว่าจะได้มาก็ค่อนข้างยุ่งยากนิดหน่อย’

 

 อัสสุภูติราตรีเป็นสิ่งที่แซเฟียร์ได้จากการสังหารเฟลิซีในวันล้างบาง แต่ในตอนนี้เฟลิซีได้มอบมันเป็นของขวัญให้กับเขา

 

‘ดูแลตัวเองดีๆนะ’

 

 ถ้อยคำของเฟลิซีผุดขึ้นมาในหัวเขา เป็นถ้อยคำที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนกับอ้อมกอดของนาง

 

 ไม่ใช่แค่เพียงคริสต์กับเคทลินเท่านั้น แม้แต่เฟลิซีก็มีสัมพันธ์อันดีกับเขาและมีทีท่าจะเป็นพันธมิตรมากกว่าศัตรู

 

‘วันล้างบาง’

 

 มันไม่ใช่ภยันตรายสำหรับเขาคนเดียวอีกต่อไป คริสต์ เคทลิน และเฟลิซี เป็นอีกสามชีวิตที่เขาอยากปกป้อง

 

‘นี่มันเพิ่งจะเริ่มต้น’

 

 อินกองหัวเราะให้กับความคิดที่อยากปกป้องคริสต์ เฟลิซีกับเคทลินอาจจะดูบอบบาง แต่คริสต์มีร่างกายที่กำยำแข็งแรง เป็นไปได้ว่าเขาจะใช้คริสต์เป็นโล่เสียมากกว่าที่จะปกป้อง

 

 หลังจากนั้นอินกองก็มองดูในช่องเก็บของ สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาคือเหล่ารางวัลที่ได้รับจากกระทรวงเกียรติยศ

 

‘ดูไม่เลวแฮะ’

 

 ถึงรางวัลในระดับสูงจะดีกว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ารางวัลในระดับล่างจะแย่เสมอไป

 

 ตราบเท่าที่สิ่งของนั้นไม่ได้มีมูลค่าสูงมาก มันก็จะถูกมอบเพื่อให้ใช้ในการทำภารกิจปฏิบัติการทั้งหลาย

 

 น้ำยาฟื้นฟูพลังชีวิตและพลังเวท กระโจมที่พักลงอาคมคุ้มภัย ถุงนอนสลักอาคมรักษาอุณหภูมิ

 

 อินกองมีเกียรติยศระดับห้า ทำให้ปฏิบัติการในครั้งนี้มีอาวุธและชุดเกราะเป็นรางวัลรอเขาอยู่

 

‘เสร็จภารกิจนี้ เกียรติยศเราน่าจะขึ้นไปขั้นเจ็ดสินะ?’

 

 ปฏิบัติการปราบปรามคาเซียเป็นภารกิจที่วนมาทุกปี แม้จะเป็นภารกิจที่ทำซ้ำได้ แต่การที่วนมาเพียงปีละครั้งทำให้รางวัลจากภารกิจนี้ถือว่าดีทีเดียว

 

‘พูดถึงอาวุธ’

 

 คาเซียมีลักษณะเหมือนหมาป่าขนาดยักษ์ ถ้าเขาบุกเข้าไปซึ่งหน้า เขาก็สามารถใช้พสุธากัมปนาทกับเคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพได้ หากแต่ว่าปฏิบัติการในครั้งนี้ไม่ใช่การต่อสู้ตัวต่อตัว

 

 เขาต้องปะทะกับพวกคาเซียทั้งฝูง

 

 ยิ่งไปกว่านั้นพวกเซนทอร์ถือได้ว่าเป็นทหารม้าชั้นยอด เขาต้องต่อสู้และทำความเร็วให้เท่าเซนทอร์ นั่นทำให้เขาต้องหาอาวุธที่เหมาะสมใช้

 

‘พอใช้ดาบแก้ขัดได้อยู่ แต่ส่วนใหญ่ที่พวกทัพม้าใช้ น่าจะเป็นหอกไม่ก็ทวน?’

 

 ยุทโธปกรณ์ที่เขารวบรวมมาทั้งหมดมีมากมายหลายประเภท ไม่ว่าจะดาบ ขวาน หอก หน้าไม้ ธนู กระทั่งลูกตุ้ม

 

 ต้องขอบคุณพลังพระเอกและกายาชาตรี ไม่ว่าเขาต้องการใช้อาวุธอะไร ขอเพียงฝึกฝนสามถึงสี่วัน เขาสามารถใช้มันได้อย่างชำนาญ

 

‘ไว้ค่อยปรึกษากับคารัคก่อนดีกว่า รีบตัดสินใจก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้น’

 

 อินกองเงยหน้าขึ้นมอง เขาไม่สามารถรู้ได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

 

&

 

 ที่ราบอินคากว้างใหญ่มาก พวกเขาต้องใช้เวลาราวสองวันเพื่อเดินทางไปยังค่ายที่พักของพวกเซนทอร์ นั่นทำให้พวกเขาต้องพักค้างคืนระหว่างทาง

 

 ด้วยความที่เป็นพรานป่า กัมมะรู้แหล่งทำเลเป็นอย่างดี มีเนินเขาบังทางลมกับร่องรอยการตั้งค่ายอยู่ห่างไปไม่ไกล

 

 อินกองลงจากเดรโก้ เขาเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าสะพานของคารัคพร้อมเปิดช่องเก็บของ นี่เป็นข้ออ้างที่เขาใช้ประจำจนทำไปอย่างเคยชิน

 

 กัมมะมองมายังคารัคด้วยความชื่นชมหลังจากเห็นอุปกรณ์ตั้งค่ายทั้งหลายถูกนำออกมา

 

“ว้าว เจ้านี่ช่างแข็งแกร่งสุดๆ”

 

 คารัคแบกกระเป๋าที่บรรจุของมากมายเหล่านี้

 

 เจ้าออร์คยักไหล่ให้กับแววตาชื่นชมของกัมมะ

 

“หึ ข้าก็แค่มีพลังงานเหลือใช้”

 

 คารัคจะเก็บเรื่องพลังพิเศษของอินกองเป็นความลับ เว้นเสียแต่จะมีอันตรายถึงชีวิต มันพยายามจะหันมาขยิบตาให้อินกองแต่ก็เปล่าประโยชน์

 

“เอ่อ เปล่า… เราหมายถึงเดรโก้”

 

 กัมมะชมเดรโก้ที่แบกทั้งคารัคและสิ่งของเหล่านี้ไม่ใช่ตัวเจ้าออร์ค

 

 คารัคที่หน้าแตกหัวเราะออกมาก่อนจะหันไปทางอินกอง

 

 บรรยากาศระหว่างการตั้งที่พักเป็นไปอย่างราบรื่น วัตถุดิบทั้งหลายถูกเก็บในช่องเก็บของทำให้มันยังมีความสดใหม่ คารัคจึงสามารถทำอาหารที่ดูหรูหราได้

 

“กินซะ”

 

 เจ้าออร์คส่งชามสตูว์ไก่มาให้อินกอง กลิ่นของไก่ผสมไอควันร้อนจากมันฝรั่งและหัวหอม ช่างยั่วน้ำลายชวนลิ้มลองยิ่งนัก

 

“เตรียมชามที่สองรอได้เลย”

 

 แต่ทันใดนั้นก็มีบางสิ่งเกิดขึ้น

 

 พื้นดินเริ่มสั่นสะเทือน มันรุนแรงขึ้นจนแม้แต่เดรโก้ก็เริ่มส่งเสียงร้องถึงอันตราย

 

 อินกองรีบกลืนทุกอย่างในถ้วยก่อนจะวางมันลง คารัควางทัพพีพร้อมปิดฝาหม้อซุปแล้วรีบคว้าขวานของมันขึ้นมาในท่าพร้อม มีเสียงตะโกนจากกัมมะที่ปีนไปสังเกตการณ์บนเนิน

 

“ฝูงคาเซีย!”

 

 อินกองถอนหายใจ พระเอกไปที่ไหน ที่นั่นต้องมีเรื่อง

 ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

 

 พสุธากัมปนาทที่แขนขวาของเขาเรืองแสงขึ้นมา ราวกับยินดีที่จะได้ต่อสู้

 

ที่กัมมะพูดธรรมดาก็เพราะพวกในที่ราบอินคานี้นับถืออย่างอื่นที่ไม่ใช่จอมมาร