เซนทอร์(centaur) อมนุษย์ตามเทพนิยายกรีก มีร่างกายท่อนบนเป็นมนุษย์ ท่องล่างเป็นม้า ส่วนใหญ่เป็นเพศผู้ มีความชำนาญการใช้อาวุธทุกรูปแบบ กำเนิดขึ้นจากน้ำ****ของเทพซุส
“พวกมันมีเท่าไร?”
คารัคกำขวานของมันอย่างแน่นหนาแล้วหันไปถามกัมมะ นางเพ่งสังเกตไปยังทุ่งหญ้าก่อนตะโกนกลับมา
“ประมาณเจ็ด? เจ็ดสิบ? เหมือนมีเซนทอร์อยู่ด้วย!”
อินกองฟังแล้วรู้สึกผิดปกติ เขารีบปีนขึ้นเนินไปร่วมสังเกตการณ์ศัตรู
‘มีเซนทอร์อยู่ในฝูงคาเซีย หรือว่าจะถูกจับเป็นตัวประกัน?’
เขาไม่สามารถแน่ใจอะไรได้มากเนื่องจากทั้งหมดยังอยู่ห่างออกไป แต่ในแผนที่ย่อบ่งบอกว่าในฝูงคาเซียข้างหน้ามีนักรบเซนทอร์อยู่ห้าตน
ลักษณะพวกคาเซียเหมือนหมาป่าขนาดใหญ่มีเขา โดยตัวผู้จะใหญ่กว่าตัวเมีย
คารัคหันมาทางอินกองอย่างหงุดหงิดเพราะมันไม่สามารถรับรู้จำนวนศัตรูได้
“เราคาดว่าเป็นหน่วยลาดตระเวณที่ถูกส่งมาคุมพื้นที่ให้พวกท่าน และดูเหมือนจะตายไปแล้วสองตน”
หน่วยลาดตระเวณโดยปกติประกอบด้วยเซนทอร์เจ็ดตน แต่กัมมะเห็นเพียงแค่ห้า นั่นหมายความว่ามีสองตนที่ตายไปแล้ว
ฝูงคาเซียยังคงเคลื่อนที่เข้าใกล้พวกเขา คารัครีบถามอินกอง
“แกจะเอายังไง?”
พวกเขาควรจะสู้หรือว่าหลบหนีดี?
ถ้าพวกเขาเคลื่อนที่ไปในทิศตรงข้ามด้วยความเร็วของเดรโก้ การหลบหนีก็สามารถทำได้โดยง่าย ทว่าอินกองกลับคิดไปอีกอย่าง หากพวกเขาทิ้งเซนทอร์ตัวประกันเหล่านั้น ปฏิบัติการครั้งนี้ก็เหมือนล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ทันจะเริ่ม
“ผมมีความคิดดีๆ”
แน่นอนว่าเขาเลือกที่จะสู้ แต่ไม่ใช่การต่อสู้แบบปกติ
อินกองยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะบอกแผนการให้กัมมะและคารัค
“พวกมันเข้าใกล้มาเรื่อยๆแล้ว!”
เวลาผ่านไปไม่ถึง 10 วินาที แต่ความเร็วของคาเซียและเซนทอร์ทำให้เกิดอะไรขึ้นได้มากมาย กัมมะกำมือของนางแน่นด้วยสายตาจนตรอก
คารัคและอินกองหลบอยู่ใต้เนินบนหลังเดรโก้ เจ้าออร์คหันมาถามอินกองเพื่อยืนยันเป็นครั้งสุดท้าย
“แกเอาจริงแน่นะ?”
“แน่นอน”
“ข้าดีใจที่เจอแก แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้นๆ”
“อย่าห่วง ผมจะอยู่กวนนายไปอีกนาน”
นี่ไม่ใช่เวลาเล่นตลก กัมมะจ้องมาที่ทั้งคู่ก่อนจะตะโกนสัญญาณออกมา
“ตอนนี้แหละ!”
“ทุกคนห้ามตาย!”
คารัคตะโกนคำรามศึกออกมากลบเสียงเตือนจากกัมมะ เดรโก้ทั้งสองกระโจนพุ่งหาฝูงคาเซียอย่างไม่กลัวตาย
เอกลักษณ์ของเดรโก้ที่ทำให้มันมีค่ามากกว่าม้า คือความสามารถเร่งความเร็วในชั่วขณะ แม้เป็นเพียงเวลาไม่กี่วินาที มันเร่งความเร็วได้มากกว่าม้าหลายเท่าตัวนัก
อินกองใช้ประโยชน์ความสามารถนี้ตั้งแต่ตอนแรก เขาคุมเดรโก้พุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ
ฝูงคาเซียชะลอตัวลงเมื่อได้ยินเสียงคำรามจากคารัค แต่เดรโก้ทั้งสองยังมุ่งไปข้างหน้าโดยไม่หยุดหย่อน
“ฝ่าพวกมันเข้าไป!”
เดรโก้ทั้งสองที่เขาได้รับจากเฟลิซีถือว่าฉลาดมาก มันเข้าใจจุดประสงค์ของอินกองในทันที มันพุ่งฝ่าเข้าไปในทัพศัตรูอย่างชาญฉลาดและแม่นยำ
เหล่าคาเซียและเซนทอร์ต่างตกใจกับเดรโก้ที่พุ่งฝ่าเข้ามาอย่างกระทันหัน สายตาของอินกองจดจ้องไปที่อย่างเดียวเท่านั้น มันเป็นสิ่งที่เข้าเล็งไว้จากแผนที่ย่อตั้งแต่แรก
‘นั่นคือจ่าฝูงไม่ผิดแน่!’
แน่นอนว่าฝูงคาเซียย่อมมีจ่าฝูงอยู่ มันเป็นตัวออกคำสั่งควบคุมการออกล่าของฝูง
‘รู้ได้ไงว่าตัวนั้นคือจ่าฝูง? แหงละ ก็มันตัวใหญ่ที่สุด!’
สาเหตุที่ทำให้มั่นใจว่ามันเป็นจ่าฝูงไม่ผิดเพี้ยนแน่นอน เพราะคาเซียที่อินกองเล็งมีขนาดใหญ่โตยิ่งกว่าม้าเสียอีก ขนาดของมันเหมาะแก่การคว้าจับได้ง่าย
อินกองกระโดดไปเกาะคอของคาเซียตัวที่ว่า ส่วนเดรโก้ของเขาก็พุ่งทะลุฝูงคาเซียออกไป
จ่าฝูงคาเซียมีอาการสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วขณะและตัดสินใจไม่ถูก ซึ่งนั่นเป็นโอกาสอันดีของอินกอง
“คว้ากกกก!”
เสียงร้องเตือนภัยของพวกคาเซียดังขึ้น อินกองใช้มือซ้ายเกาะตัวจ่าฝูงเอาไว้ พร้อมกับรวบรวมพลังไปที่มือขวา
‘ขอเดิมพันทุกอย่างไว้กับการโจมตีครั้งนี้!’
คุ้นๆว่ามาจากเรื่องอะไรซักเรื่อง แต่นึกไม่ออก
เขาพยายามกำจัดจ่าฝูงคาเซียด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
ไม่มีใครสามารถเข้ามาช่วยเขาได้ในขณะนี่ ประสบการณ์จากการสู้รบกับเผ่าสายฟ้าชาดทำให้เขารู้ว่าการรีบลงมือไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดเสมอไป สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี่คือเกาะตัวคาเซียไว้ไม่ให้หล่นลงไปกับพื้น
อินกองรวบรวมลมปราณไปที่มือขวาของเขาเพื่อใช้เคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพ นี่เป็นกระบวนท่าที่รุนแรงที่สุดที่เขาสามารถใช้ได้ขณะนี้ รวบรวมลมปราณจำนวนมากเข้าโจมตีศัตรูจากภายในร่างกาย ก่อให้เกิดความเสียหายตรึงร่างศัตรูให้หยุดนิ่ง
เขารวบรวมลมปราณพร้อมมองหาตำแหน่งเพื่อโจมตี!
การฝึกฝนอย่างหลายครั้งทำให้ร่างกายของเขาซึมซับการใช้เคล็ดวิชาเอาไว้เรียบร้อย ลมปราณสีขาวพุ่งเข้าโจมตีเป้าหมายอย่างแม่นยำ
ทั้งหมดดำเนินไปอย่างราบรื่นไม่ต่างจากการฝึกฝน ทว่ามีบางสิ่งที่แตกต่างออกไป
พสุธากัมปนาท
ปลุกเสกด้วยอาคมและพลังเวทจากพญามังกรเอนคิดู
ลมปราณที่ปลดปล่อยผ่านมันแฝงไปด้วยความรุนแรง ทำให้พลังทำลายของกระบวนท่าเพิ่มเป็นเท่าตัว!
เผละ!
หัวของจ่าฝูงคาเซียระเบิดออกมาท่ามกลางเสียงตะโกนจากรอบข้าง กะโหลกของมันแหลกละเอียดกลายเป็นละอองสีแดงลอยละล่อง ราวกับหายสาบสูญไปจากความเป็นจริง
การตายของผู้นำทำให้เหล่าคาเซียที่เหลือตื่นตระหนก พวกมันวิ่งหลบกันอย่างสะเปะสะปะ
แม้แต่อินกองก็แปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาพอจะรับรู้ว่าตัวเองเก่งกาจขึ้นมาบ้างจากการต่อสู้ทั้งหมดที่ผ่านมา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ลองใช้พสุธากัมปนาท เขาไม่คาดคิดว่ามันจะทำให้ลมปราณรุนแรงขึ้นได้ถึงเพียงนี้
‘ยังกับเคทลินชัดๆ?’
ภาพเคทลินท่ามกลางซากศพเหล่าออร์คที่เขาเห็นหลังจากช่วยเฟลิซีผุดขึ้นมาในหัว อินกองกลืนน้ำลายก่อนจะมองพสุธากัมปนาทที่แขนขวา
‘เราทำได้’
พลังที่ซาบซ่านไปทั่วร่าง เคล็ดไอศวรรย์ทั้งสองและลมปราณของเขาขึ้นมาถึงขั้นห้าและหก ตัวเขาในตอนนี้แตกต่างไปจากเมื่อตอนที่เปรียบเทียบกับ นาย ก นาย ข อย่างสิ้นเชิง
ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ การปราบกบฏเผ่าสายฟ้าชาดอีกครั้งเป็นเรื่องที่ง่ายดาย
‘ลุยยยย’
อินกองกระโดดถีบตัวออกพุ่งหาเหยื่อรายถัดไป เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดอย่างรวดเร็วทำให้มีคาเซียบางตัวยังคงมึนงงสับสนกับสิ่งที่เกิด
หากจะอธิบายถึงพลังจากเคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพ ก็คงต้องใช้คำว่าระเบิด อินกองกระโดดเข้าโจมตีเหล่าคาเซียเคราะห์ร้ายตัวแล้วตัวเล่า เดรโก้ของเขาก็พุ่งฝ่ากลับเข้ามาสร้างความวุ่นวายจากอีกด้าน
ลมปราณของอินกองถูกปลดปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง การตายของจ่าฝูงทำให้การปะทะในครั้งนี้เป็นเพียงการสังหารหมู่เท่านั้น
“คุร่า!”
คารัคตะโกนคำรามพร้อมกับควบเดรโก้พุ่งเข้าโจมตี ถึงการโจมตีของมันจะไม่ได้ระเบิดรุนแรงเหมือนอินกอง แต่คมขวานที่กวัดแกว่งไปทั่วก็สร้างบาดแผลถึงตายได้มากมาย
และเมื่อเหล่าเซนทอร์ตัวประกันได้โอกาสโจมตี เหล่าคาเซียที่ยังเหลืออยู่ต่างก็ถอดใจหมดสิ้น
“คุร่า!”
คารัคร้องตะโกนไล่เหล่าคาเซียทั้งหลายที่เริ่มหลบหนี อินกองปล่อยให้มันทำตามอำเภอใจแล้วหันไปมองเหล่าเซนทอร์
ด้วยความที่เป็นหน่วยลาดตระเวณ พวกเซนทอร์สวมชุดหนังเบาเน้นความคล่องตัว สีหน้าของพวกมันค่อนข้างสับสน แม้จะยินดีที่ได้รับการช่วยเหลือ แต่พวกมันไม่รู้ว่าบุคคลตรงหน้าเป็นใคร
อินกองมองไปเห็นสายคล้องแขนสีน้ำเงินของเซนทอร์ตัวหนึ่งทำให้เขารู้ว่ามันเป็นหัวหน้าหน่วย
ท่านประธาน (´。• ω •。`)
“เราคือเจ้าชายฉัตร อิกษณา”
เหล่าเซนทอร์โห่ร้องด้วยความยินดี
&
“ช่างน่าประทับใจมาก! สุดยอด!”
กัมมะร้องออกมาอย่างยินดี แววตาเป็นประกายของนางทำให้นึกถึงเคทลิน
‘ก็เป็นธรรมดา?’
อินกองเพิ่งจะห่างจากเคทลินมาได้ไม่ถึงหนึ่งวัน ทำให้ใบหน้าและเสียงของนางยังคงติดอยู่ในหัวเขา
“องค์ชายเช็ดหน้าซะ”
คารัคยื่นผ้ามาให้เขาใช้เช็ดทำความสะอาดแล้วหันไปสั่งการพวกเซนทอร์ พวกมันรู้ว่าเจ้าออร์คเป็นองค์รักษ์ส่วนตัวของเจ้าชายจึงรับฟังคำสั่งแต่โดยดี
เซนทอร์สองตนทำหน้าที่ชำแหละซากศพเหล่าคาเซีย อีกสามตนเก็บกวาดค่ายที่พักเพื่อเตรียมตัวออกเดินทาง
“ทุกอย่างเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว”
พวกเขาพร้อมหาทำเลที่ตั้งค่ายพักแรมแห่งใหม่ อินกองหันไปตอบกัมมะอย่างพอเป็นพิธี
“อืม ดีมาก พอไปถึงทำเลใหม่แล้ว ให้ทั้งหมดกินดื่มพักผ่อนอย่างเต็มที่”
อาหารปกติของเดรโก้คือสัตว์จำพวกงู แต่ด้วยความที่มันเป็นสัตว์กินเนื้อ เนื้อพวกคาเซียจึงเพียงพอที่จะเป็นเสบียงไปได้หลายสัปดาห์
“องค์ชาย พวกเราทั้งหมดพร้อมแล้ว”
คารัคพูดพร้อมกับปิดฝาหม้อซุป ดูเหมือนมันคิดจะเตรียมอาหารเพิ่มระหว่างเดินทาง
“ทำเลใกล้ที่สุดห่างจากที่นี่ไปราว 20 นาทีได้”
ดวงตาของกัมมะยังคงส่องสว่างราวกับตะเกียง อินกองคุมเดรโก้เข้าหาเซนทอร์หัวหน้าหน่วย
“เจ้าบอกว่าเจ้าชื่อ ควิกวินด์?”
“ท่านเข้าใจถูกต้องแล้ว”
ควิกวินด์ เซนทอร์ที่สวมปลอกแขนกล่าวยืนยันอินกอง แม้ดวงตามันจะไม่ส่องประกายเช่นเดียวกับกัมมะ แต่อินกองก็รับรู้ถึงความเคารพในสายตาคู่นั้น
‘เยี่ยมมาก เจ้าชายจำชื่อข้าได้!’
อินกองคิดว่าคงเป็นความรู้สึกประมาณนั้น เขาถามหาข้อมูลเพิ่มเติม
“เจ้าพอจะรายงานสถานการณ์โดยคร่าวให้เราฟังได้หรือไม่?”
เมื่อการต่อสู้จบลง สิ่งที่อินกองได้ยินเป็นเพียงชื่อของเซนทอร์แต่ละตนกับเรื่องที่ทั้งหมดเป็นหน่วยลาดตระเวณ
“พวกเราคาดว่าจะได้พบองค์ชายในวันรุ่งขึ้น เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง พวกเราจึงถูกส่งมาเพื่อเตรียมเส้นทางให้กับท่าน แต่ก็พบเข้ากับฝูงคาเซีย”
สีหน้าของควิกวินด์หมองลงขณะพูดรายงาน ทั้งหมดถูกส่งมาเพื่อคุมพื้นที่อย่างที่กัมมะคาดคิดไว้
อินกองถอนหายใจก่อนถามเพิ่ม
“เหล่าคาเซียเข้ามาไกลถึงขนาดนี้เชียวรึ?”
ปฏิบัติการปราบปรามคาเซียที่อินกองรับรู้ เป็นการกำจัดคาเซียในด้านทิศเหนือหลังจากที่เข้ารวมตัวกับพวกเซนทอร์ หรือก็คือ บริเวณนี้ไม่ควรจะมีคาเซียปรากฏตัว
ทว่าเขากลับเพิ่งจะพบกับฝูงคาเซียในด้านทิศใต้จากหมู่บ้านของเหล่าเซนทอร์
ควิกวินด์ตอบกลับมาอย่างไม่สบายใจนัก
“พวกคาเซียยังไม่ได้อพยพยลงมาทั้งหมด เพียงแต่… เหมือนบางส่วนจะเริ่มเคลื่อนไหวเร็วกว่าในทุกปีที่ผ่านมา”
นี่มันต่างไปจากในครั้งที่ผ่านมา ทำให้อินกองสังหรณ์ใจบางอย่าง
“อย่างที่ข้าเดาไว้ ภารกิจจากจอมมารไม่ใช่อะไรที่ปกติจริงๆ”
คารัคพูดแทรกขึ้นมาจากด้านข้าง
‘ทั้งๆที่เราไม่อยากให้มีอะไรแบบนี้แท้ๆ’
ถ้าภารกิจจากจอมมารเป็นอะไรที่ง่ายไม่ต่างจากทั่วไป อินกองคงรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายอยู่บ้าง
อินกองพยักหน้าก่อนจะหันไปสั่งกัมมะ
“เมื่อพวกเราตั้งค่ายเสร็จ ให้ทหารทั้งหมดมาทานอาหารพร้อมกัน”
“อย่าห่วง มีอาหารเพียงพอแน่นอน”
คารัคหัวเราะพร้อมกับเคาะหม้อที่มันกอดอยู่ราวกับเป็นขุมทรัพย์
แล้วพวกเขาก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านของเหล่าเซนทอร์ในบ่ายของวันรุ่งขึ้น