ด้วยความที่เซนทอร์มีร่างกายท่อนบนเป็นมนุษย์และร่างกายท่อนล่างเป็นม้า จึงถือเป็นทหารม้าชั้นเลิศ

 

 ไม่ว่าจะความเร็วในการเคลื่อนพลหรือพลังทำลายอันน่าสะพรึงกลัว…

 

 สติปัญญาอันชาญฉลาดทำให้พวกมันมีระเบียบแบบแผน ร่างกายอันกำยำทำให้พวกมันชำนาญอาวุธแทบทุกชนิด

 

 คุณสมบัติทางการรบของพวกมันสูงมาก

 

 ทหารม้าปกติเป็นการรวมตัวของสองชีวิต นายทหารและสัตว์พาหนะ ทำให้ไม่ว่าจะเก่งกาจสักเพียงไรก็ไม่ถึงกับสมบูรณ์แบบ

 

 ทว่าเซนทอร์คือสิ่งมีชีวิตที่เป็นทั้งสองอย่าง ทำให้จุดบอดที่ว่ามลายหายไป

 

 เซนทอร์ในบทกวีแห่งผู้กล่าก็ไม่ต่างไปจากเทพนิยายที่อินกองรู้จัก ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาแปลกใจ

 

 ขนาดของพวกมันเล็กกว่าที่เขาคาดคิด

 

 ร่างกายท่อนบนของพวกมันมีขนาดไม่ต่างจากมนุษย์ ร่างกายท่อนล่างมีขนาดที่เล็กกว่าม้าศึก เมื่อสวมชุดเกราะและถืออาวุธแล้ว ทำให้ท่อนล่างดูเล็กกว่าท่อนบนในทันที

 

‘แต่ก็นะ การที่มีร่างกายแค่ครึ่งเดียวอาจะมีอะไรที่ไม่สะดวกอยู่บ้าง’

 

 ถึงครึ่งม้าจะไม่ได้ใหญ่โตอย่างม้าศึก แต่มันก็ไม่ได้เล็กอย่างม้าโพนี่ ไหล่ของควิกวินด์ต่ำกว่าคารัคบนหลังเดรโก้เพียงไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือ

 

 ห่างไปไม่ไกลด้านหน้าอินกอง เป็นหมู่บ้านของเหล่าเซนทอร์

 

 ด้วยลักษณะการดำรงชีพอย่างเร่ร่อน ที่พักของพวกมันจึงไม่ได้ทำจากไม้หรือหิน แต่เป็นกระโจมหนังที่สามารถเก็บเคลื่อนที่ได้โดยง่าย ดูราวกับค่ายรวมพลมากกว่าหมู่บ้าน

 

‘พวกเซเทอร์ก็อาศัยอยู่ด้วยสินะ?’

 

 อินกองหันไปมองกัมมะ นางวิ่งนำทางด้วยขาทั้งสองที่เหมือนม้า ต่างจากเซนทอร์ที่มีสี่ขา ความสูงของนางก็สูงกว่ามนุษย์ปกติไม่มากนัก

 

 ด้วยร่างกายที่ใหญ่โต เหล่าเซเทอร์จึงมอบงานที่พวกมันไม่สามารถทำได้ให้เหล่าเซเทอร์ ส่วนพวกมันจะคอยปกป้องเหล่าเซเทอร์ เป็นความสัมพันธ์ในลักษณะได้ประโยชน์ทั้งคู่

 

“เราจะล่วงหน้าไปกระจ่ายข่าวก่อน!”

 

 กัมมะหันมาบอกอินกองก่อนนางจะเร่งฝีเท้าขึ้น แม้นางจะมีเพียงสองขา แต่ความเร็วของนางก็ไม่ต่างจากม้าศึกทีเดียว

 

 คารัคที่ขี่เดรโก้อยู่ด้านข้างหันมาถามอินกอง

 

“องค์ชาย ดูเหมือนพวกนั้นจะมีพิธีต้อนรับ”

 

 อย่างที่อินกองเห็นหมู่บ้านเซนทอร์ เหล่าเซนทอร์ในหมู่บ้านก็เห็นเขาเช่นกัน มีเหล่าเซนทอร์เริ่มมารวมตัวกันบริเวณทางเข้าหมู่บ้าน

 

‘เหล่าเซนทอร์แห่งที่ราบอินคา…’

 

 เซนทอร์ที่อาศัยอยู่ ณ ที่ราบอินคาแห่งนี้มีทั้งหมดสี่เผ่า เผ่าที่แข็งแกร่งที่สุดคือเผ่ากูณฑ์ ซึ่งหัวหน้าเผ่านี้ถือเป็นหัวหน้าใหญ่ของเซนทอร์ทั้งสี่เผ่า

 

 หัวหน้าเผ่าตนนี้มีชื่อว่า เฟโรเชียสอาย

 

 ไม่ว่าจะเป็นล็อคค์หรือแซเฟียร์ หากได้เล่นบทกวีแห่งผู้กล้าแล้ว ต้องเคยได้พบกับเซนทอร์ตนนี้เข้าสักครั้งอย่างแน่นอน

 

‘ในฐานะศัตรูละนะ’

 

 เฟโรเชียสอายไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด มันยึดมั่นในเกียรติยศศักดิ์ศรีอย่างมาก การกระทำของแซเฟียร์จึงเป็นอะไรที่มันเกลียด หลังจากเหตุการณ์วันล้างบาง มันนำทัพเหล่าเซนทอร์เข้าบุกโจมตีแซเฟียร์อย่างเอาเป็นเอาตาย

 

‘เป็นที่นิสัยตรงไปตรงมา’

 

 ดวงตาของมันดูดุดันสมชื่อ แต่บุคลิกแสนห้วนทำให้การสนทนากับมันชวนหงุดหงิด

 

‘ในเกมนี่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะชักจูง… แต่ตอนนี้ก็ไม่แน่?’

 

 เฟโรเชียสอายอาจจะไม่ใช่ศัตรูเสมอไป เหมือนอย่างที่เขาผูกมิตรกับคริสต์และเคทลิน เขาอาจสามารถผูกมิตรกับเฟโรเชียสอายได้

 

“สายตาแกดูทะเยอทะยานขึ้นมาอีกแล้ว แทบจะส่องประกายออกมาเลยทีเดียวเชียว”

 

 คารัคพูดขึ้นมาแต่อินกองไม่สนใจมัน

 

 หลังจากผ่านไปราวห้านาที เขาก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านของเซนทอร์เผ่ากูณฑ์

 

“หัวหน้าเผ่า เฟโรเชียสอาย”

 

 แม้ไม่ต้องมีคำแนะนำ อินกองก็รู้ถึงตัวตนของเซนทอร์ตรงหน้าในทันที มันมีร่างกายที่กำยำใหญ่โตกว่าเซนทอร์ตนอื่น เกราะหนังที่มันส่วมแสดงให้เห็นถึงร่างกายที่แข็งแกร่งของมันมากยิ่งขึ้นไปอีก

 

 ดวงตาที่ดำมันวาวราวกับหินออบซิเดียน การถูกจดจ้องด้วยดวงตาคู่นั้นสามารถทำให้พวกขวัญอ่อนถึงกับช็อคตายได้เลยทีเดียว

 

 ควิกวินด์ที่เป็นหัวหน้าหน่วยลาดตระเวณพยายามหลบสายตาจากเฟโรเชียสอายอยู่ตลอด ไม่สามารถบอกได้ว่ากัมมะที่ก้มหน้ามองผืนดิน ทำไปด้วยความเคารพหรือต้องการหลบสายตากันแน่

 

 แต่สำหรับอินกองที่ทานทนต่อสายตาของจอมมารมาแล้ว นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยมาก

 

“เราคือเจ้าชายลำดับที่เก้า ฉัตร อิกษณา”

 

 เฟโรเชียสอายหรี่ตาจ้องเข้ามาในนัยน์ตาเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะชำเลืองมองทั่วตัวเขาด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง

 

“ลำบากท่านแล้ว”

 

 แม้น้ำเสียงและคำพูดแสนห้วนจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่อินกองรับรู้ถึงความแตกต่างเล็กน้อย เขายิ้มก่อนจะยื่นมือออกไปจับมือกับเฟโรเชียสอาย

 

“เราต้องการรายละเอียดทั้งหมดในทันที อย่างที่เจ้ารู้ เราได้เข้าช่วยเหลือหน่วยลาดตระเวณที่พบเข้ากับฝูงคาเซีย ดูเหมือนสถานการณ์จะต่างไปจากทุกที”

 

 เนื่องจากมีการรายงานเหตุการณ์ทั้งหมดไปบ้างแล้ว เฟโรเชียสอายน่าจะรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับพวกคาเซีย

 

 เฟโรเชียสอายจ้องมองอินกองก่อนจะเอ่ยปากออกมาเล็กน้อย

 

“ทางนี้”

 

 เฟโรเชียสอายกลับหลังเดินนำฝ่าเหล่าเซนทอร์ที่มายืนต้อนรับ ก่อนควิกวินด์จะเข้ามานำทางให้อินกอง

 

 อินกอง คารัค เดินตามโดยมีกัมมะและเหล่าเซนทอร์ที่เหลือคอยให้การคุ้มกัน

 

 เดาได้ไม่ยากว่าที่หมายก็คือกระโจมส่วนตัวของเฟโรเชียสอาย ด้วยร่างกายอันใหญ่โตกว่าเซนทอร์ทั่วไป ทำให้อินกองรู้สึกไม่ต่างกับอยู่ในกระโจมส่วนตัวของแวนเดล

 

 อินกองลงจากเดรโก้ มุมมองที่ต่ำลงทำให้เขารู้สึกราวกับเป็นเด็กน้อยเดินเข้าถ้ำของยักษ์ไม่ผิดเพี้ยน

 

“ตรงนี้”

 

 กัมมะและเหล่าเซนทอร์ที่เหลือยืนรอคุ้มกันอยู่รอบนอก

 

 อินกองกลืนน้ำลายก่อนจะเดินเข้ากระโจมไปพร้อมกับคารัค

 

“อินคา”

 

 เฟโรเชียสอายชี้ไปยังแผนที่บนโต๊ะในทันทีที่อินกองเข้ามา เพราะในหมู่บ้านมีเหล่าเซเทอร์อยู่ด้วย ทำให้โต๊ะอยู่ในระดับที่อินกองสามารถมองเห็นได้

 

 เมื่ออินกองเข้าใกล้โต๊ะ เฟโรเชียสอายก็ใช้ไม้ชี้ไปที่จุดบนแผนที่

 

“นี่กูณฑ์ นี่มารุต นี่วรุณ นี่อนธการ”

 

 ทุกเผ่าอยู่ห่างกันเกินกว่าที่อินกองคาดคิดเอาไว้ แม้เขาจะไม่คิดว่าอยู่ติดกันเหมือนเพื่อนบ้าน แต่นี่มันห่างกันราวกับอยู่คนละจังหวัด

 

 เฟโรเชียสอายชี้ไปทางทิศเหนือ

 

“คาเซียควรอยู่ตรงนี้ แต่พบตรงนี้”

 

 มันอยู่ใต้ลงไปจากเผ่ากูณฑ์เป็นอย่างมาก

 

“หน่วยลาดตระเวณออกสำรวจ ทั้งหมดไม่ได้ใช้ทางนี้ แต่บางอย่างผิดปกติ”

อ่านแล้วหงุดหงิดไหม? ถ้าใช่แสดงว่าแปลอธิบายบุคลิกตัวละครได้ถูกต้อง ε=ε=ε=ε=┌(;・ω・)┘

 

 คาเซียหลายร้อยปรากฏตัวขึ้นในเวลานี้เหมือนเทศกาลประจำปี หากทั้งหมดมุ่งหน้าลงทิศใต้พร้อมกัน เป็นไปไม่ได้ที่เหล่าเซนทอร์จะไม่ทันสังเกต

 

“ข้อมูลใช้เวลา โปรดรอ อีกสามวัน นักรบสี่เผ่ารวมตัว บุกจัดการคาเซีย”

 

 แม้อินกองจะหงุดหงิดกับวิธีการอธิบายของเฟโรเชียสอาย แต่เขาก็พอเข้าใจรายละเอียดสำคัญทั้งหมด เขาพยักหน้า

 

“เราเข้าใจ เราจะรอ”

 

 จากภาพรวมแล้ว ไม่มีอะไรที่ต้องเร่งรีบ เหล่าคาเซียก็ไม่ได้เข้าบุกจู่โจมหมู่บ้านเซนทอร์แต่อย่างใด

 

 สิ้นเสียงคำตอบ อินกองกับคารัคก็จ้องมองเฟโรเชียสอาย และเฟโรเชียสอายก็จ้องมองมายังทั้งคู่

 

 การสนทนาเข้าสู่ความเงียบแต่เป็นเพียงไม่นาน

 

“ฟ้าเก้า”

 

“ฮะ?”

 

 เฟโรเชียสอายหรี่ตาใช้ความคิดก่อนจะถามอินกองด้วยเสียงที่คงเดิม

 

“หนึ่งหมัดท่านระเบิดคาเซียจริงรึ?”

 

“เอ่อ เรื่องนั้น?”

 

 เฟโรเชียสอายยังคงจดจ้องมาที่เขาอย่างไม่ละสายตา คิ้วของมันขยับไปมาอย่างสงสัยในขณะรอคำตอบ

 

“แค่อยากรู้”

 

 คารัคหรี่ตาลงมองเซนทอร์ตรงหน้าอย่างไม่ชอบใจ

 

‘อย่างนี้นี่เอง’

 

 จริงอยู่ที่ดวงตาคู่นั้นทำให้เฟโรเชียสอายดูน่ากลัว ยิ่งรวมกับคำพูดแสนห้วนด้วยแล้วจึงทำให้การสนทนาดำเนินไปเหมือนการท้าทาย ทว่าคิ้วของมันบ่งบอกถึงเจตนาที่แท้จริง

 

 อินกองตอบมันกลับด้วยน้ำเสียงที่ยินดี

 

“มันเป็นเคล็ดไอศวรรย์สัตว์อสูร ถ้าเจ้าต้องการ เราสามารถแสดงให้เจ้าเห็นได้ภายหลัง”

 

 ความจริงที่ว่าเขาเรียนรู้เคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพถือเป็นความลับสุดยอด

 

 คิ้วของเฟโรเชียสอายขยับไปมาอีกครั้ง

 

“จะรอดู”

 

 แม้สีหน้าและน้ำเสียงจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่อินกองรับรู้ถึงความตื่นเต้นแฝงในคำพูดนั้น

 

&

 

 เมื่อพวกเขาออกมาจากกระโจมก็พบเหล่าเซเทอร์และเซนทอร์ยืนรอนำทางอินกองไปยังที่พัก เซเทอร์เหล่านี้มีขาเป็นแพะต่างไปจากกัมมะ

 

 กระโจมของเขาอยู่ไม่ห่างไปจากกระโจมของเฟโรเชียสอาย ด้วยขนาดที่ไม่สูงมาก เหมือนจะเป็นขนาดสำหรับเหล่าเซเทอร์ ภายในประดับด้วยพรมลวดลายหลากหลายและอุปกรณ์ลักษณะคดเคี้ยว ทำให้บรรยากาศดูราวกับดินแดนอาหรับ

 

 อินกองนั่งลงภายในกระโจมมองการตกแต่งอย่างพึงพอใจ สักพักคารัคก็ก้าวเข้ามารายงานความคืบหน้า

 

“เซนทอร์ 50 ตนถูกจัดให้อยู่ใต้บัญชาองค์ชาย วันนี้ยังไม่มีอะไร แกจะได้รู้จักพวกมันในวันรุ่งขึ้น”

 

 นักรบเซนทอร์ของเผ่ากูณฑ์มีราว 300 ตน การที่ได้รับมา 50 ตนถือว่าไม่ใช่จำนวนที่น้อย ยิ่งหากคิดว่าแต่ละตนเปรียบเสมือนทหารม้าชั้นยอดแล้ว นี่เทียบไม่ได้เลยกับตอนที่เขาได้รับทหารออร์คเพียง 30 ตนจากภารกิจครั้งแรก

 

 ในปฏิบัติการส่วนใหญ่ เหล่าทายาทจะมีตำแหน่งเป็นเสมือนกองกำลังเสริม ลักษณะเดียวกับที่แวนเดลเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจในปฏิบัติการปราบกบฏเผ่าสายฟ้าชาด

 

“กัมมะจะยังคอยดูแลเราอยู่ใช่ไหม?”

 

 อินกองถามพลางหันไปมองดูด้านหน้ากระโจม แม้กัมมะจะไม่ได้เข้ามาข้างใน แต่นางก็เฝ้าอยู่รอบนอก

 

 คารัคผงกหัว

 

“คิดว่าเหมือนกับข้า นางเป็นผู้ที่ถูกเลือกให้ดูแลแก ถ้าองค์ชายคริสต์หรือองค์หญิงเคทลินมาโดยไม่มีทหารติดตาม ก็จะได้รับนักรบท้องถิ่นจำนวนหนึ่งใต้บัญชาพร้อมผู้ดูแลเช่นกัน”

 

“อืม งั้นหรือ?”

 

 บางทีนางอาจยินยอมติดตามเขาแบบคารัค?

 

 แม้เขายังไม่รู้ความสามารถในการต่อสู้ของกัมมะ แต่ด้วยความเร็วในการวิ่งและความอึดของนาง ตำแหน่งหน่วยลาดตระเวณหรือม้าเร็วส่งสาส์นเป็นอะไรที่เหมาะกับนางมาก

 

“วันนี้ตาแกเป็นประกายบ่อยมาก”

 

 คารัคพูดออกมาพร้อมพยักหน้า อินกองหันไปถามเจ้าออร์คเพิ่ม

 

“นายคิดยังไงกับเฟโรเชียสอาย?”

 

 แน่นอนว่าเขาไม่ได้ถามถึงเรื่องบุคลิกของเฟโรเชียสอาย เขาแค่อยากรู้ว่าคารัคจะตอบว่าอย่างไร

 

“เท่าที่ข้าเห็น ดูเหมือนมันจะชื่นชอบแกอยู่พอสมควร”

 

“คิดอย่างนั้นเหมือนกันสินะ?”

 

 คิ้วของเฟโรเชียสสามารถอายบอกอะไรได้หลายอย่าง คารัคหัวเราะออกมา

 

“เหมือนกรณีแม่ทัพแวนเดลนะแหละ ดูเหมือนแกจะเป็นที่ชื่นชอบของพวกผู้นำ”

 

“นี่เป็นพรสวรรค์ของผม”

 

 เฟโรเชียสอายเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุด เขาจะลงเอยกับมันเหมือนกับแวนเดลหรือเปล่านะ?

 

“คุยกันพอแล้ว หลังมื้อเย็นเดี๋ยวก็รู้รายละเอียดกันเพิ่มเอง”

 

 เป็นคำพูดที่ดูปัดความรับผิดชอบอย่างสิ้นเชิง บางทีการพบกับคารัคอาจจะเป็นโชคร้ายของเขา?

 

“หึ ผมขอให้นายเจอแต่เรื่องซวยๆ”

 

“หึหึหึ คอยดู เดี๋ยวข้าจะไปเตือนกัมมะให้ระวังตัว”

 

 คารัคพูดเน้นที่ประโยคสุดท้ายก่อนจะเดินออกจากกระโจม อินกองมองตามมันสักพักก่อนจะเหยียดแขนขาบิดขี้เกียจ

 

‘เราต้องฝึกตัวเองให้เก่งมากกว่านี้’

 

 การต่อสู้กับคาเซียที่เพิ่งผ่านมาแสดงให้เห็นผลจากการฝึกฝนได้ชัดเจน ทำให้เขาเลือกสิ่งที่จะฝึกฝนได้ง่ายมาก

 

‘เคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพ’

 

 อินกองผ่อนคลายกล้ามเนื้อก่อนจะเริ่มเดินลมปราณ

 

&

 

 ลมปราณของอินกองมีสีขาว ขาวราวกับเมฆหมอก

 

 อินกองนำพาลมปราณและลมปราณก็นำพาเขา มันเคลื่อนตัวอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีติดขัดแต่อย่างใด

 

 อาณัติ

 

 สตรีผมสีขาวประดับด้วยมงกุฎสีทอง พร้อมนัยดายสีแดงและน้ำเงิน

 

 ลมปราณของอินกองเข้าสัมผัสกับบางสิ่ง ก่อนมันจะแตกตัวกระจายออกไปทุกทิศทาง ราวกับพยายามหลีกหนีจากสิ่งแปลกปลอมที่สัมผัส

 

 อินกองได้ยินเสียงกระซิบ แต่ไม่ใช่เสียงกระซิบจากสตรีผู้ที่เขาคุ้นเคย ที่มาของเสียงนี้มาจากภายนอก มิใช้ภายในห้วงสำนึกของเขา

 

 มันไม่ใช่ทั้งเสียงของคารัคหรือกัมมะ เป็นเสียงที่ต่างไปจากเสียงเหล่านี้

 

 อินกองลืมตาขึ้นช้าช้า เขามองเห็นความมืดรอบตัว แต่ไม่ใช่ความมีดอันเป็นธรรมชาติ ลักษณะเหมือนกับประกายแสง หากแต่เป็นประกายความมืด

 

 อินกองกลืนน้ำลายอึกใหญ่ นี่ไม่ใช่ความฝันเพราะเขายังมีสติรับรู้

 

 เช่นนั้นมันคืออะไร?

 

 เขาพยายามลุกขึ้นตะโกนเรียกคารัค หากแต่มีบางสิ่งร้องเรียกเขาจากอีกฟากหนึ่งของความมืดนี้

 

 เสียงกระซิบ

 

 มีบางสิ่งกำลังเรียกหาเขาอยู่

 

 อินกองสูดหายใจเข้าให้เต็มปอด พลังแห่งอาณัติแผ่ขยายออกมาครอบคลุมตัวเขา ราวกับพยายามปกป้องให้พ้นจากภยันตราย

 

 ใครกัน? ทันทีที่คำถามผุดขึ้นมา พสุธากัมปนาทที่ควรจะอยู่ในช่องเก็บของก็ปรากฏออกมารวมตัวที่แขนขวา เกล็ดของมันเรืองแสงสีแดงเหลืองราวกับพยายามส่งเสียงขู่

 

 ดูเหมือนมันจะรู้อะไรบางอย่าง อินกองตั้งสติก่อนจะเดินเข้าสู่ประกายความมืด สิ่งที่ประจักษ์ต่อสายตาเขาเป็นทุ่งหญ้าอันกว้างขวาง

 

 หากแต่เป็นทุ่งหญ้าที่ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นภาพขาวดำ และตรงหน้าเขา ก็เป็นเรือนร่างที่มีปลายผมสะบัดพริ้วไหวตามสายลม

 

 สตรีปริศนาที่มีทุกอย่างเป็นสีขาวโพลน นางให้ความรู้สึกเช่นเดียวกับอาณัติ บางสิ่งที่ไม่มีเรือนร่างจริง

 

 พสุธากัมปนาทเรืองแสงขู่คำรามขึ้นมาอีกครั้ง นั่นทำให้อินกองพอจะเดาตัวตนของสตรีตรงหน้าได้ทันที

 

 นางกล่าวแนะนำตัวกับเขา

 

“ข้าคือเศษเสี้ยวแห่งอันเคล ข้าต้องการบอกบางสิ่งแก่เจ้า เจ้าผู้ซึ่งครอบครองกำลังแห่งเอนคิดู”

 

 พยานอันเคล หนึ่งในหกมังกรบรรพกาลผู้มีพลังเทียบเคียงพระเจ้า!

 

 นางก้าวเท้าเยื้องย่างเดินเข้าหาอินกอง