ในโลกบทกวีแห่งผู้กล้ามีมังกรบรรพกาลอยู่ทั้งหมดหกตน

 

 ทั้งหมดมีพลังเทียบเคียงพระเจ้า แต่ผู้เล่นกลับมองมังกรเหล่านี้เป็นเพียงตัวประกอบเสริมเนื้อเรื่อง เนื่องจากมีเพียง ผู้พิทักษ์ควิเอียน ตนเดียวเท่านั้นที่ส่งผลกระทบกับเกมโดยตรง

 

‘แถมไม่โผล่มาให้เห็นตรงๆด้วย’

 

 ผู้พิทักษ์ควิเอียน หรือในชื่อที่มนุษย์เรียกเคารพกันว่ามังกรศักดิ์สิทธิ์ ถือว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความแข็งแกร่งของล็อคค์ ทั้งดาบวีรชนและบรรดาอาจารย์ที่สอนวิชาให้ล็อคค์ ต่างก็มาจากการควบคุมของมังกรตนนี้

 

 มีการกล่าวถึงมังกรที่เหลืออีกห้าตนอย่างผิวเผินตามคำอธิบายของวัตถุโบราณอย่างทั่งวัชรกรเท่านั้น

 

 มังกรบรรพกาลทั้งหก

 

 สิ่งที่ผู้เล่นไม่สามารถจะพบปะหรือต่อกรได้ในบทกวีแห่งผู้กล้า

 

 อินกองกลับได้มาเกี่ยวเนื่องกับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้

 

 พสุธากัมปนาท ถุงมือเหล็กที่ได้รับการปลุกเสกจากเอนคิดู  

 

 และในตอนนี้ กระทั่งเศษเสี้ยวแห่งอันเคลก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีก

 

 นั่นทำให้เขาคิดไม่ตก และเหนืออื่นใด อันเคลต้องการบอกอะไรกับเขากันแน่?

 

 อินกองจ้องมองสตรีตรงหน้าที่เป็นร่างอวตารของอันเคล ชุดของนางเสมือนถักทอจากกิ่งไม้ใบไม้ หูที่สั้นและชี้ตั้งแหลม เขากวางทั้งสองที่งอกออกมาบริเวณขมับ แม้จะอยู่ในโลกขาวดำ แต่อินกองก็มั่นใจได้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน

 

“ข้าคือเศษเสี้ยวแห่งอันเคล ชิ้นส่วนที่หลับไหลอยู่ ณ ที่ราบอินคาแห่งนี้”

 

 เสียงของนางก้องกังวาลอย่างเยือกเย็นและโหยหวน รวมเข้ากับรูปร่างของนางแล้ว ให้ความรู้สึกเช่นเดียวกับสิ่งเร้นลับ ทว่าอินกองรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับบางอย่างในข้อความ

 

 เศษเสี้ยวของอันเคล และน้ำเสียงอันไร้เยื่อใยขัดกับที่ได้รับฉายาว่าพยาน

 

 อาจเพราะเขาแสดงความสงสัยออกมาทางใบหน้า หรือนางสามารถอ่านความคิดเขาได้ สตรีเบื้องหน้าพยักหน้าให้กับอินกอง

 

“เป็นอย่างที่เจ้าคาดเดา พยานอันเคลได้สิ้นชีพไปเนิ่นนานแล้ว ข้าเป็นเพียงเศษเสี้ยวดวงวิญญาณของนางที่ยังคงหลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้”

 

 ที่พยานอันเคลไม่ปรากฏตัวออกมาใบบทกวีแห่งผู้กล้า เป็นเพราะนางตายไปแล้วงั้นหรือ? แต่นางตายด้วยสาเหตุอะไร? สิ้นอายุขัย?

 

 มันเป็นเรื่องราวที่เขาไม่เคยคิดสนใจมาก่อน ทว่าหลังจากที่เขาได้เห็นเอนคิดู เขาก็ไม่สามารถจะเมินเฉยได้ สิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นไม่ตายอย่างไร้สาเหตุแน่นอน

 

 แต่สตรีตรงหน้าไม่มีทีท่าจะตอบคำถามของเขาแต่อย่างใด

 

 นางยังคงพูดต่อด้วยใบหน้าอันไร้ความรู้สึก

 

“ข้ามีเวลาเพียงไม่มาก เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นเสมือนปาฏิหาริย์ ข้าสัมผัสเจ้าได้จากพลังแห่งเอนคิดูที่สถิตอยู่ในอาวุธชิ้นนั้น และเจ้าผู้ซึ่งครอบครองกำลังแห่งเอนคิดูตอบรับการเรียกขานจากข้า นั่นทำให้การสนทนาในครั้งนี้สามารถเกิดขึ้นได้”

 

 เหมือนนางจะหมายถึงตอนที่เขาปลดปล่อยลมปราณผ่านพสุธากัมปนาท

 

“ข้าเป็นส่วนหนึ่งของดวงวิญญาณแห่งพยานอันเคล หลังจากเวลาได้ล่วงเลยไป ข้าได้เกิดใหม่เป็นเทพารักษ์ของที่ราบอินคาแห่งนี้ เหล่าบุตรธิดาต่างขนานนามข้าว่า กรีนวินด์”

 

‘กรีนวินด์!

 

 อินกองรู้จักชื่อนี้ นี่คือชื่อเทพารักษ์ที่เหล่าเซนทอร์และเซเทอร์บวงสรวง และจากคำอธิบายในบทกวีแห่งผู้กล้า ที่ราบอินคาสามารถคงอยู่ได้ก็สืบเนื่องจากการปกป้องของเทพารักษ์ตนนี้

 

 สตรีที่เรียกตนว่ากรีนวินด์ก้าวเข้ามาใกล้อินกองทีละนิด พร้อมกับภาพรอบตัวที่ทยอยเปลี่ยนแปลง

 

 แสดงให้เห็นถึงวัดโบราณที่สร้างจากศิลาแลงท่ามกลางทุ่งหญ้า โลกขาวดำเริ่มมีสีขึ้นมาเล็กน้อย

 

“นี่คือสถานที่หลับไหลของดวงวิญญาณแห่งพยานอันเคล และบ้านของข้า”

 

 แสงสีแดงเหลืองเรืองออกมาจากพสุธากัมปนาทอีกครั้ง กรีนวินด์มองไปที่มันก่อนจะหันกลับมาจ้องตาอินกอง

 

“เหล่าสัตว์อสูรทางทิศเหนือได้เคลื่อนตัวมาเพื่อจะกลืนกินข้า และหากสิ่งนั้นเกิดขึ้น ที่ราบอินคาแห่งนี้จะกลับคืนสู่สภาพเดิมอันเป็นทะเลทรายแห่งความตาย บุตรธิดาของข้าตกอยู่ในภยันตรายอันใหญ่หลวงนัก”

 

“หรือว่าท่านจะหมายถึงคาเซีย?”

 

 อินกองถามนางกลับเป็นครั้งแรก กรีนวินด์ส่ายหน้าของนางเล็กน้อย

 

“หาใช่เพียงสิ่งนั้น! บางอย่างผิดแปลกไป มีพลังแห่งหายนะได้เคลื่อนตัวมาพร้อมเหล่าคาเซีย”

 

 กรีนวินด์จับไหล่ทั้งสองของนาง ทัศนะรอบตัวพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง เสียงเห่าหอนของเหล่าคาเซียท่านกลางลมกรรโชก เสียงแผ่นดินสะเทือนจากการเดินทัพของเหล่าสัตว์อสูรขนาดใหญ่ ศีรษะแพะ ร่างกายท่อนบนใหญ่โตราวโอเกอร์ ร่างท่อนล่างเป็นสัตว์อสูรสี่ขา ราวกับสัตว์เลื้อยคลานกลายพันธุ์ขนาดใหญ่ พวกมันให้ความรู้สึกที่ต่างไปจากเซนทอร์อย่างชัดเจน

 

 เหมือนมองลงมาจากฟากฟ้า เหล่าสัตว์อสูรเหล่านี้กำลังเคลื่อนทัพอยู่จริง

 

“ลำพังบุตรธิดาของข้าไม่สามารถต่อกรกับสัตว์อสูรเหล่านี้ได้ แต่เจ้าต่างออกไป เจ้าผู้ซึ่งได้รับการยินยอมจากทรราชเอนคิดู ย่อมได้รับการยินยอมจากดวงวิญญาณของพยานอันเคลเช่นกัน และด้วยพลังจากพญามังกรทั้งสอง เจ้าสามารถยับยั้งภัยในครั้งนี้ได้ ข้าขอให้เจ้าช่วยเหลือที่ราบอินคาและเหล่าบุตรธิดาของข้า”

 

 เสียงของกรีนวินด์อ่อนโยนลงสมกับชื่อของนาง สายลมอันเขียวขจี นางเอื้อมมากุมมือของอินกองไว้

 

“เหลือเวลาเพียงเล็กน้อย พวกมันเข้าใกล้มามากแล้ว โปรดเร่งมือด้วย”

 

 จิตสำนึกของอินกองล่องลอยขึ้นไปในอากาศอย่างกระทันหัน เขาเห็นภาพรวมของที่ราบอินคาผ่านดวงตาของกรีนวินด์ในสายลม ขบวนทัพของเหล่าสัตว์อสูร กำลังมุ่งหน้าไปยังวัดศิลาอย่างต่อเนื่อง

 

“ข้ามอบพรจากสายลมให้แก่เจ้า”

 

 กรีนวินด์จูบลงที่หน้าผากของอินกอง เขาสัมผัสถึงสายลมอันอ่อนโยนโบกพัดก่อนภาพทั้งหมดจะอันตรธานหายไป

 

“องค์ชาย!”

 

 อินกองลืมตาขึ้นเห็นคารัคกับกัมมะอยู่ตรงหน้า กระโจมของเขาสว่างขึ้นจากตะเกียงที่จุดรอบข้าง

 

 เขาเมินคารัคและมองไปยังแขนขวา สิ่งที่อยู่ตรงนั้นกลับมิใช้พสุธากัมปนาท แต่เป็นประกายแสงสีเขียว

 

“พรจากสายลม”

 

 อินกองพึมพำออกมาก่อนจะรีบตรวจสอบแผนที่ย่อของเขา แม้จะอยู่ห่างไกลออกไป แต่เขาสามารถมองเห็นได้อย่างคร่าวคร่าว

 

 มีวัดขนาดเล็กตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ มีกองทัพสัตว์อสูรกำลังมุ่งหน้ามาจากททางตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากพวกมันอ้อมเปลี่ยนเส้นทาง เหล่าเซนทอร์ที่เฝ้ามองสังเกตการณ์ทางทิศเหนือจึงไม่เห็นความเคลื่อนไหวของพวกมัน

 

 อย่างที่เฟโรเชียสอายบอกเขา เหล่าเซนทอร์จับตามองในเส้นทางที่เหล่าคาเซียใช้ประจำ จึงไม่พบคาเซียแต่อย่างใด

 

 อินกองกะประมาณระยะทางอย่างรวดเร็วก่อนจะกลืนน้ำลาย เขาเหลือเวลาเพียงไม่มาก เขาต้องรีบเร่งมือ

 

“เตรียมตัวออกรบซะคารัค ผมต้องรีบไปบอกเฟโรเชียสอาย”

 

 กัมมะยังคงสับสนกับคำสั่งเล็กน้อย แต่คารัคมีทีท่าที่ต่างออกไป มันรีบวิ่งไปเตรียมอุปกรณ์ศึกทั้งหลายในทันที

 

 อินกองออกจากกระโจมมาพร้อมคารัคและกัมมะ เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า ดูเหมือนจะใกล้เวลาพลบค่ำแล้ว

 

“เฟโรเชียสอายน่าจะอยู่ในกระโจมส่วนตัว แกไปกับกัมมะก่อน ข้าจะไปเตรียมเดรโก้”

 

 เมื่อสถานการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว กัมมะแสดงความเป็นมืออาชีพออกมาด้วยการทิ้งความสับสน แล้วรีบไปยังกระโจมของเฟโรเชียสอายพร้อมอินกอง

 

“เจ้าชาย?”

 

 เหล่าเซนทอร์ที่เฝ้ายามมีอาการแปลกใจเล็กน้อยที่พบอินกอง แต่ก็ยินยอมให้เขาเข้าพบเฟโรเชียสอาย อินกองออกปากทันทีที่เข้าไปข้างในกระโจม

 

“เราได้รับคำพยากรณ์จากกรีนวินด์ พวกเราต้องรีบเคลื่อนทัพเตรียมทำศึกเดี๋ยวนี้”

 

 เขาแสดงประกายแสงสีเขียวในมือขวาให้เห็นเพื่อยับยั้งการถกเถียงทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้น เฟโรเชียสอายยักคิ้วอย่างแปลกใจก่อนจะเพ่งสังเกตพรจากสายลมที่อินกองได้รับจากกรีนวินด์

 

 เหล่าเซนทอร์และเซเทอร์ต่างสัมผัสได้ถึงพลังของกรีนวินด์ มีตนหนึ่งอุทานออกมาอย่างงงงวย

 

“มัน… เกิดขึ้นได้อย่างไร?”

 

 ดูเหมือนมันยังแปลกใจที่เจ้าชายจากวังจอมมารรู้จักกรีนวินด์

 

 แต่ด้วยหลักฐานตรงหน้า ทำให้เฟโรเชียสอายตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วสมกับเป็นหัวหน้าเผ่า

 

“ที่ไหน?”

 

“หัวหน้าเผ่า?”

 

 เหล่าเซนทอร์ร้องอุทานออกมาทันที ตามกำหนดการณ์ เหล่านักรบจากทั้งสี่เผ่าจะมารวมตัวกันในอีกสามวัน

 

 แต่เฟโรเชียสอายไม่สนใจเสียงทักท้วง เขามองมาที่อินกองเท่านั้น

 

“มีวัดเล็กๆอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ พวกเราต้องรีบไปที่นั่นเดี๋ยวนี้ กรีนวินด์กำลังตกอยู่ในอันตราย”

 

 เฟโรเชียสอายรู้จักสถานที่แห่งนั้นดี มันอาจเคยมีความสำคัญในอดีตแต่ถูกละทิ้งไว้เป็นเวลานาน

 

“เชื่อท่าน”

 

 เป็นคำที่สั้นแต่มีความหมายชัดเจน เหล่าเซนทอร์รู้จักผู้นำของตนดี ทั้งหมดไม่กล่าวอะไรเพิ่มและรีบแยกย้ายเตรียมตัว แตรสัญญาณศึกดังขึ้นไปทั่วหมู่บ้าน

 

 อินกองออกจากกระโจมพร้อมกับเฟโรเชียสอาย คารัควิ่งมาพร้อมกับเดรโก้ทั้งสอง

 

“องค์ชาย!”

 

 อินกองนำพสุธากัมปนาทออกมาสวมที่แขนขวา ก่อนจะขึ้นขี่เดรโก้ กัมมะรีบนำทางเขาไปที่ทางออกหมู่บ้าน

 

 สถานการณ์ตกอยู่ในสภาวะคับขัน จริงอยู่ที่เขาสังหรณ์ใจบางอย่างแต่ไม่คิดว่าจะเป็นถึงขนาดนี้

 

 ภารกิจที่รับมอบหมายจากจอมมาร

 

 หรือจะบอกว่ามิตรรับรู้ถึงสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น? และถ้าเป็นเรื่องจริง ทำไมถึงเลือกที่จะมอบภารกิจสำคัญเช่นนี้ให้ฉัตร?

 

 เขามีคำถามอีกมากมาย

 

 ทำไมเหล่าคาเซียถึงได้ฉลาดขึ้นกว่าเดิม? พวกมันรู้ที่อยู่ของกรีนวินด์ได้อย่างไร ทั้งที่แม้แต่เหล่าเซนทอร์ยังไม่รู้?

 

 ทุกอย่างผิดปกติมากเกินไป ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของแผนการอันใหญ่โต

 

 แต่นี้ไม่ใช่เวลาที่จะมัวหาคำตอบ เหล่าเซนทอร์เตรียมอุปกรณ์ศึกเรียบร้อย ด้วยสถานการณ์คับขันจึงไม่มีเวลาเก็บของทั้งหมดในหมู่บ้าน

 

 เฟโรเชียสอายเป่าแตรขึ้น ก่อนกองทัพเซนทอร์ทั้ง 300 ตนจะเริ่มเคลื่อนพลพร้อมกับอินกอง

 

&

 

 เหล่าเซนทอร์เคลื่อนพลอย่างรวดเร็ว อินกองเคยเคลื่อนทัพพร้อมเหล่าออร์ค ทำให้เขารับรู้ความแตกต่างของทหารม้ากับทหารราบชัดเจน

 

 ระหว่างที่ทั้งหมดกำลังเดินทัพ ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง แม้กัมมะจะเริ่มแสดงให้เห็นอาการเหนื่อย แต่นางยังคงตามติดอินกองอย่างต่อเนื่อง

 

 การเคลื่อนทัพอย่างเร่งรีบของเหล่าเซนทอร์ดำเนินต่อไปจนใกล้ถึงที่หมาย สิ่งที่ทั้งหมดเห็นเบื้องหน้าทำให้ความลังเลทั้งหมดหายไป วัดศิลาแลงครอบคลุมด้วยแสงสีเขียวอ่อน ห่างออกไปไม่ไกลมีเงาของเหล่าคาเซีย

 

“เทพารักษ์กรีนวินด์”

 

“ท่านกรีนวินด์”

 

 ทั้งหมดรู้สึกคลายข้อกังขาในคำสั่งของเฟโรเชียสอาย มีบ้างที่หันมามองอินกองอย่างศรัทธา

 

 สีหน้าของเฟโรเชียสอายไม่เปลี่ยนแปลง แต่คิ้วของมันขยับแสดงให้เห็นว่าโล่งอก เหล่าเซนทอร์เริ่มชะลอความเร็วลงเพื่อตั้งกระบวนทัพพร้อมกับสอดส่องจำนวนศัตรู

 

 ทั้งหมดมีประมาณ 400~500 และในจำนวนนั้นก็มีเหล่าสัตว์อสูรที่พวกเซนทอร์ไม่เคยพบมาก่อนปะปนอยู่ด้วย

 

 ด้วยจำนวนที่เสียเปรียบและศัตรูที่ไม่เคยพบเห็น ตามปกติพวกเขาควรจะเลี่ยงการปะทะ แต่ในตอนนี้เป็นสถานการณ์บังคับ

 

“ฟ้าเก้า ดูพวกมันแปลกใจ”

 

 เฟโรเชียสอายหยุดบอกอินกอง นี่เป็นเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจก่อนการรบจะเริ่มขึ้น

 

 อินกองมองดูทัพของเหล่าศัตว์อสูรตรงหน้า พลางนึกถึงคำพูดของกรีนวินด์

 

 นางไม่ได้บอกให้เข้าต่อสู้ในทันที นางพูดถึงบางอย่างเกี่ยวกับพลังของพยานอันเคล

 

 มีบางสิ่งที่เขาต้องทำในวัดแห่งนี้ อินกองตัดสินใจก่อนจะหันไปบอกเฟโรเชียสอาย

 

“เราจะเข้าไปในวัด ห้ามไม่ให้พวกมันเข้ามาใกล้”

 

 เฟโรเชียสอายไม่ถามอะไรเพิ่ม เขาเตรียมคันธนูพร้อมกับเอ่ยขึ้นมา

 

“ทหารเก้าตน โชคดี”

 

 เสียงแตรสัญญาณดังขึ้นอีกครั้ง เฟโรเชียสอายนำเหล่าเซนทอร์วิ่งเข้าไปขวางปกป้องวัดเอาไว้ อินกองมุ่งหน้าเข้าไปในวัดทันทีโดยมี คารัค กัมมะ และเซนทอร์อีกเก้าตนตามหลัง

 

 เสียงแตรสัญญาณ เสียงเห่าหอนจากสัตว์อสูร ทั้งหมดประสานเสียงกันให้กับดวงตะวันที่ลับขอบฟ้า