ทรีเอนท์(treant) หรือเอนท์(ent) ภูติชนิดหนึ่งมีลักษณะเป็นต้นไม้ที่มีชีวิต เป็นผู้พิทักษ์ป่าและเป็นศัตรูกับทุกสิ่งที่นำภยันตรายมาสู่ผืนป่า บ้างมีแขนขา บ้างไม่มี
กลยุทธการศึกสามารถแบ่งประเภทของทหารม้าออกได้เป็นสองประเภท
พวกที่จู่โจมโดยใช้ความเร็วในการเคลื่อนที่เพื่อรักษาระยะ กับพวกที่จู่โจมโดยใช้ความเร็วในการเคลื่อนที่เพิ่มพลังทำลายทะลุทะลวง
เหล่าเซนทอร์เผ่ากูณฑ์จัดอยู่ในประเภทแรก
เซนทอร์ทั้งหมดรวมถึงเฟโรเชียสอายง้างคันธนูยิงลูกศรเข้าโจมตี แม้การยิงธนูบนหลังม้าถือเป็นศาสตร์ที่ต้องใช้การฝึกฝนอย่างมาก แต่สำหรับเหล่าเซนทอร์แล้ว นี่ถือเป็นเรื่องพื้นฐาน
อินกองต้องการเพียงให้พวกเขาดึงความสนใจของเหล่าสัตว์อสูร แน่นอนว่าหากสังหารได้ก็เป็นการดีแต่นั่นไม่ใช่จุดประสงค์หลัก
เพราะจำนวนศัตรูมีมากกว่า เฟโรเชียสอายจึงเลือกใช้ธนูแทนการบุกเข้าปะทะซึ่งหน้า
ลูกศรบินว่อนเป็นห่าฝน เกินพอที่จะสร้างความเกรงกลัวได้ แต่เหล่าคาเซียก็บุกเข้ามาอย่างไม่กลัวตาย
มีบ้างที่ล้มตาย แต่ที่เหลือก็ยังคงบุกเข้ามาทั้งทีมีลูกศรปักอยู่ตามตัว ราวกับถูกบงการควบคุมจิตใจ บางตัวกระโดดใช้ปากคาบลูกศรธนูเสียด้วยซ้ำ
เหล่าเซนทอร์ยิงธนูอย่างต่อเนื่อง มีคาเซียล้มตายจำนวนมากในทุกระลอก แต่ระยะทางระหว่างทัพทั้งสองก็ลดลงทีละน้อย
หลังจากการยิงครั้งที่สาม เฟโรเชียสอายก็เก็บคันศรเปลี่ยนนำหอกขึ้นมาแทน เนื่องจากคาเซียวิ่งตรงเข้ามาอย่างเดียว ทำให้พวกมันมีความเร็วเหนือกว่าเซนทอร์
พวกมันไม่สนใจความเสียหายแม้แต่น้อย
เฟโรเชียสอายส่งเสียงคำรามศึกออกมา
เสียงของเขาดังสนั่นลั่นไปทั่วสมรภูมิ แต่อินกองไม่เสียเวลาหันกลับไปมอง อันที่จริง เขาไม่ได้มองกระทั่งทิศทางตรงหน้าด้วยซ้ำ เพราะอินกองควบคุมเดรโก้ผ่านทางแผนที่ย่อของเขา
มีคาเซียบางส่วนบุกฝ่าทะลุแนวปะทะมาได้ นั่นทำให้อินกองไม่สามารถเข้าถึงตัววัดได้โดยไม่มีการต่อสู้
‘มันหลุดมาเยอะพอสมควรเลย’
นั่นเพราะจำนวนของเหล่าสัตว์อสูรมีมากกว่าเหล่าเซนทอร์ อินกองกะประมาณจำนวนที่หลุดมาได้ราวสองโหล
คารัคตะโกนถามเขาอย่างเร่งรีบ
“องค์ชาย แกแค่ต้องเข้าไปในวัดใช่ไหม?”
อินกองรู้เพียงเท่านั้น กรีนวินด์ไม่ได้บอกรายละเอียดกับเขา นางบอกแค่เพียงว่าดวงวิญญาณของพยานอันเคลหลับไหลอยู่ที่นี่
แต่อินกองไม่สามารถบอกออกไปได้ เขาทำเพียงพยักหน้าสร้างความเชื่อมั่นในแบบที่ผู้นำทำ
“ถูกต้อง! ขอเพียงเราเข้าไปในวัดได้ พวกเราก็จะได้รับชัยชนะ!”
คารัคหัวเราะออกมา มันกำขวานในมือแน่นพร้อมกับตะโกน
“ถ้าอย่างนั้นเราก็แค่ต้องฝ่าพวกมันเข้าไป!”
คารัคเร่งความเร็วเดรโก้ขึ้น พวกเขาเปลี่ยนเป็นกระบวนทัพรูปลิ่มโดยมีอินกองเป็นศูนย์กลาง
“คุร่า!”
คารัคคำรามออกมาเพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจ อินกองคว้ามีดของเขาออกมาพร้อมตะโกน
“ใต้ร่มเงากษัตริย์!”
เป็นครั้งแรกหลังจากการยึดทั้งวัชรกรที่เขาใช้ทักษะนี้ ระดับของอาณัติและใต้ร่มเงากษัตริย์ได้เพิ่มขึ้นมาบ้างแล้ว
แสงสีขาวกระจายตัวออกมา ก่อนจะรวมตัวกลายเป็นธงศึกสีขาวขนาดใหญ่ แสงทั้งหมดเข้าครอบคลุมคารัค กัมมะ และเซนทอร์ทั้งเก้า
กัมมะและเหล่าเซนทอร์ที่เพิ่งเคยได้รับอิทธิพลจากทักษะนี้เป็นครั้งแรก ตื่นเต้นกับพลังที่แผ่ซ่านทั่วร่าง สร้างความฮึกเหิมเป็นอย่างมาก
อินกองรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เพิ่มขึ้นของใต้ร่มเงากษัตริย์ ทั้งหมดที่ได้รับผลมีความพร้อมเพรียงราวกับรวมตัวเป็นหนึ่งเดียว
“บุกทะลวง!”
“คุร่า!”
คารัคตะโกนรับคำสั่งของอินกอง ปกคลุมด้วยแสงสีขาว การเคลื่อนตัวของพวกเขาดูราวกับศรเวทมนตร์ขนาดใหญ่
คาเซีย 33 ตัว และสัตว์อสูรกลายพันธุ์สามตัว ที่ดูเหมือนจะมีชื่อเรียกว่า เดรคโอเกอร์ เป็นเสมือนกำแพงขวางทางไม่ให้อินกองเข้าถึงกรีนวินด์ แต่พวกเขายังคงเร่งความเร็วขึ้น คารัคกวัดแกว่งขวานของมันไปมาให้แรงที่สุดเท่าที่มันทำได้
แล้วการปะทะก็มาถึง เลือดกระฉูดออกมาบดบังทางข้างหน้า เสียงร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวดดังขึ้น
ในขณะนั้นอินกองก็ระลึกได้ หากพวกเขาหยุดในตอนนี้ทุกอย่างก็จบ พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องบุกฝ่าไปให้ทะลุ
กัมมะกระโดดขึ้นกระทืบหัวของคาเซีย คารัคกวัดแกว่งขวานอย่างบ้าคลั่ง เซนทอร์ทั้งเก้าใช้หอกแทงเพื่อเปิดทาง
แน่นอนว่าศัตรูก็ไม่ยอมอยู่เฉย แม้พวกเขาจะได้รับพลังเพิ่มขึ้นจากใต้ร่มเงากษัตริย์ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาถึงกับไร้เทียมทาน คมเขี้ยวและกรงเล็บของเหล่าคาเซียยังคงสามารถสร้างบาดแผลปลิดชีวิตได้
เสียงร้องเจ็บปวดจากทั้งสองฝั่งยังคงดังขึ้น แต่ถ้าพวกเขาหยุดตอนนี้ ที่รออยู่ก็มีแต่ความตาย
“องค์ชาย! รีบไปซะ!”
เส้นทางถูกเปิดเรียบร้อย อินกองสามารถเห็นวัดที่อยู่ตรงหน้า
“คราทฮ์!”
เดรคโอเกอร์ตนหนึ่งร้องคำรามพร้อมพุ่งเข้าพยายามขวางทางอินกอง แต่ก็ไม่เป็นผล คารัคและกัมมะโจมตีพร้อมกันใส่ขาของมันและด้วยร่างกายอันใหญ่โต มันจึงเสียหลักล้มลงกับพื้น
อินกองควบเดรโก้พุ่งเข้าไปยังวัด ด้านหน้าเขาเห็นเดรคโอเกอร์อีกตนพยายามโจมตีพังแสงสีเขียวที่ปกคลุมตัววัด
“ม่านพลังของกรีนวินด์!”
เซนทอร์ที่อยู่กับพวกเขาร้องออกมา อินกองมุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งพลางรวบรวมพลังไปที่แขนขวา พสุธากัมปนาทเรืองแสงขึ้น ก่อนที่เดรโก้จะใช้ความสามารถเฉพาะตัวของมัน เดรคโอเกอร์ตนนั้นรับรู้ถึงอันตรายและพยายามหันมาทางเขา แต่ก็ไม่ทันการ
เสียงบางอย่างดังระเบิดดังขึ้น!
ลมปราณของเขาโจมตีเข้าใส่เดรคโอเกอร์อย่างจัง ด้วยร่างกายที่ทนทานทำให้ตัวมันไม่ระเบิดออกเหมือนคาเซีย แต่แรงระเบิดจากพลังทำลายก็มากพอที่จะทำให้มันกระเด็นล้มลงกับพื้น
ม่านพลังของกรีนวินด์มีเพื่อป้องกันศัตรู จึงทำให้พวกเขาสามารถผ่านมันเข้าไปในตัววัดได้
แม้ไม่ต้องสั่งการ คารัคก็หยุดอยู่ที่ทางเข้าวัด มันกำขวานตั้งท่าเพื่อคุ้มกันไม่ให้มีสัตว์อสูรเข้าไปรบกวนอินกอง กัมมะและเหล่าเซนทอร์ทิ้งระยะห่างเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนหยิบคันศรขึ้นมาแทน
แน่นอนว่าเหล่าสัตว์อสูรที่ตามมาไม่สามารถผ่านม่านพลังเข้ามาได้ พวกมันจึงพยายามโจมตีเพื่อพังเข้ามาแทน
‘รีบเข้า! พลังแห่งเอนคิดูจะนำทางให้แก่เจ้าเอง!’
เสียงของกรีนวินด์ดังขึ้นมาให้หัวของเขา อินกองกระโดดลงจากเดรโก้ พลังเวทจากพสุธากัมปนาทชี้นำทางเข้าสู่ด้านในของวัด
ในส่วนที่ลึกที่สุดของวัด มีต้นไม้ขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ ขนาดของมันทำให้มันสามารถแบกรับน้ำหนักทั้งหมดของวัดเอาไว้ได้ราวกับเสาค้ำ
พลังเวทของเอนคิดูชี้นำเขามายังต้นไม้ต้นนี้ อินกองยื่นมือขวาของเขาออกไปสัมผัสมัน เขารู้สึกถึงพลังเวทของอันเคลจากภายในต้นไม้
ต้นไม้ตรงหน้าเรืองแสงสีเขียว ก่อนจะคลี่คลายบานออกราวกับดอกบัว นั่นทำให้อินกองพบว่าตรงหน้าเขาไม่ใช่ต้นไม้ขนาดใหญ่ แต่เป็นต้นไม้หลายต้นรวมตัวติดกัน
อินกองสูดหายใจอย่างตื่นเต้น ทุกครั้งที่ต้นไม้หนึ่งต้นบานออกราวกลีบดอก พลังเวทของอันเคลที่เขาสัมผัสได้ก็เพิ่มมากขึ้น พสุธากัมปนาทก็เรืองแสงสว่างยิ่งขึ้น
เมื่อทั้งหมดบานออก สิ่งที่อยู่ใจกลางดอกบัวต้นไม้นี้ก็เผยโฉม ศิลาสีเขียวขนาดเท่ากำปั้นส่องแสงระยิบระยับราวกับอัญมณี ชื่อของมันผุดขึ้นมาในหัวโดยไม่รอช้า
‘แก่นมังกร!’
มันคือแกนพลังเวทที่มีอยู่ในมังกรทุกตน สัญลักษณ์อันแสดงถึงพลังอำนาจ
แต่รูปร่างของมันไม่สมบูรณ์ กรีนวินด์บอกกับเขาว่ามันเป็นเพียงเศษเสี้ยว หากทว่านี่ไม่ใช่เศษแก่นของมังกรทั่วไป นี่เป็นเศษแก่นของพญามังกรอันเคล หนึ่งในหกมังกรบรรพกาล
มีสายลมพัด ก่อนแสงสีเขียวโดยรอบจะรวมตัวกันขึ้นเป็นกรีนวินด์ นางปรากฏตัวขึ้นพร้อมกล่าวออกมาอย่างรีบเร่ง
“เมื่อนานมาแล้ว พยานอันเคลได้ใช้เวทมนตร์แปรสภาพทะเลทรายแห่งนี้ให้กลายเป็นทุ่งหญ้า ซึ่งวัดแห่งนี้ก็คือจุดศูนย์กลางของอาคมเวทนั้น”
สมกับที่เป็นถึงพญามังกร กรีนวินด์จับมือของอินกองไว้ก่อนจะกล่าวต่อ
“ข้าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเศษเสี้ยวดวงวิญญาณแห่งพยานอันเคล นางได้ทิ้งพลังเวทไว้ส่วนหนึ่งในวัดแห่งนี้เพื่อดูแลเหล่าบุตรธิดาแห่งที่ราบ เจ้าจงกระตุ้นพลังเวทที่หลับไหลอยู่ในวัดแห่งนี้ให้ตื่นขึ้นเถิด”
อินกองมองเห็นสถานการณ์ทุกอย่างภายนอกในทันทีที่กรีนวินด์จับมือของเขา ม่านพลังของนางใกล้จะถูกทำลายเต็มที และการสู้รบของเหล่าเซนทอร์เผ่ากูณฑ์กับทัพสัตว์อสูรก็ยังคงดำเนินอยู๋
อินกองเตรียมใจให้พร้อมเมื่อเขานึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสัมผัสทั่งวัชรกร
ในครั้งนี่ไม่มีเคทลินหรือเฟลิซีอยู่ช่วยเขา เขาอยู่เพียงตัวคนเดียว
อินกองยื่นมือออกไปสัมผัสแก่นมังกรเพื่อรับการทดสอบ
&
เมื่อนานมาแล้วมีมังกรบรรพกาลอยู่บนโลกนี้หกตน
หนึ่งในนั้น…
นางถือกำเนิดขึ้นจากการรวมตัวของสายลมทั้งหมดบนโลกใบนี้
ชื่อของนางคือพยานอันเคล นางเฝ้ามองทุกชีวิตบนโลกใบนี้อย่างห่วงใย ต่างออกไปจากทรราชเอนคิดูผู้หยิ่งผยอง
ภาพมังกรขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา นางมีเกล็ดสีเขียวสวยงาม และให้ความรู้สึกอันอ่อนโยนเป็นธรรมชาติ ผิดกับความกดดันที่เอนคิดูมอบให้อย่างสิ้นเชิง นางล่องลอยราวกับเมฆในท้องฟ้าที่เฝ้ามองดูผืนพิภพ บางทีนางก็ลงมานอนเป็นเกาะให้สิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรได้อาศัย
ดวงตาเขียวมรกตของนางให้ความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยน เขาหลับตาลงด้วยความอิ่มเอิบจากแววตานั้น
[คุณได้เรียนรู้ อักขระมังกร ขั้น1]
เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นในหัวของเขา นั่นทำให้อินกองเข้าใจถึงความหมายบางอย่างที่แฝงอยู่ในพลังเวทของอันเคล
อินกองลืมตาตื่นขึ้น เขาได้ยินถ้อยคำที่ล่องลอยอยู่ในสายลม เวทมนตร์บางอย่างในวัดแห่งนี้ได้ตื่นขึ้นจากการหลับไหล
พลังเวทของอันเคลได้จางหายไปมากหลังจากเวลาล่วงเลยมานาน สิ่งที่เกิดขึ้นจึงทำให้กรีนวินด์กอดไหล่ทั้งสองของนางอย่างยินดี
นางมองที่ราบอินคาทั้งหมดจากฟากฟ้า มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นทำลายความสิ้นหวังของนาง รากไม้จำนวนมากผุดขึ้นมาจากผืนดินรอบวัด ก่อนมันจะดึงตัวเองขึ้นมาจากไต้ดิน เหล่าทหารของอันเคลได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
ทรีเอนท์
เริ่มจากหนึ่งตนก่อนจำนวนจะเพิ่มขึ้น แม้ทั้งหมดจะยังไม่ลุกขึ้นจากจุดที่มันหยั่งราก แต่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
การตื่นขึ้นของทรีเอนท์สร้างความสับสนให้คาเซียและเดรคโอเกอร์ พวกมันหันไปมองทางวัดก่อนจะพบว่าเหล่าทรีเอนท์เริ่มที่จะลุกขึ้นมาแล้ว
แม้จะทันอย่างหวุดหวิดแต่ก็เป็นการดีที่ความเสียหายยังไม่ลุกลามไปมาก เหล่าผู้พิทักษ์แห่งที่ราบอินคาได้ตื่นจากการหลับไหลอีกครั้ง
กรีนวินด์ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นางก้มคำนับขอบคุณให้กับอินกอง
แต่แล้ว นางก็ต้องร้องออกมาอย่างประหลาดใจกับสิ่งที่เห็น
แม้ผู้พิทักษ์จะถูกปลุกขึ้นมาแล้ว แต่มือของอินกองยังคงสัมผัสกับแก่นมังกรของอันเคลอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นพลังเวทของอันเคลก็ไหลเข้าตัวเขามากขึ้นเรื่อยเรื่อยราวกับถูกดูด
ทำไม? มันเกิดอะไรขึ้น?
ซึ่งคำตอบก็มีเพียงอย่างเดียว
อาณัติ
เสียงของนางดังขึ้นในหัวอินกองอีกครั้ง
ดูเหมือนอาการตกใจของกรีนวินด์จะสร้างความพึงพอใจให้นางเป็นอย่างมาก เสียงกระซิบของนางฟังดูร้ายกาจขึ้น
‘บัญชา
ให้พวกมันยอมจำนน
กระทั่งมังกรบรรพกาลก็ต้องคุกเข่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้า
เจ้า อาชาของข้า’
ราวกับดื่มด่ำในพลังอำนาจ อินกองดูดกลืนพลังเวทที่หลงเหลือทั้งหมดในแก่นมังกรของอัลเคล