บทที่ 17 ปริศนาเบื้องหลังชาติกำเนิด
นางไม่คิดว่าเรื่องจะกลับกลายเป็นเช่นนี้ได้ นางหันไปมองเยี่ยนซู่ด้วยสีหน้ามึนงง ทว่าเป็นไปดังคาด สีหน้าเยี่ยนซู่ไม่เป็นมิตรแม้แต่น้อย กลับเป็นใบหน้าดำทมิฬ
นางรีบผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วรีบคุกเข่าลงในทันที “ท่านอ๋อง ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจ ขอท่านอ๋องโปรดให้อภัยด้วย”
นางคุกเข่า รีบคลานเข่าเข้าไปหาเยี่ยนซู่ ใช้หน้าอกเนื้อหนั่นแน่นถูกับขาเขา ดูท่าทางยั่วยวนใจนัก
ทว่าเยี่ยนซู่ไม่มีอารมณ์มาสนใจท่าทางยั่วยวนของนาง ผลักนางออกไปให้พ้นตัว “เมื่อคิดว่าอ๋องผู้นี้อยู่กับสตรีไร้สมองมานานหลายปี เรื่องเช่นนี้ทำให้ข้าสะอิดสะเอียนนัก!”
“ท่านอ๋อง…..” ใบหน้านางซีดขาว รับรู้ว่าตนทำผิดมหันต์ลงไป ร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน ร้องสะอื้นออกมาเพื่อขอความเห็นใจ ทว่ากลับได้ยินเยี่ยนซู่เอ่ยขึ้นอย่างหมดความอดทน “พาตัวนางออกไป ข้าไม่อยากเห็นหน้านาง”
ประโยคนั้นของท่านอ๋องราวกับฟ้าผ่าลงมาท่ามกลางฟ้าที่ไร้เมฆฝน นางที่เคยได้รับความโปรดปรานยิ่งถูกผลักลงนรก เหตุเพราะพูดผิดเพียงประโยคเดียว
เมื่อเยี่ยนซู่กล่าวว่าไม่อยากเห็นหน้านางอีกต่อไป สตรีผู้นี้ก็ไม่มีโอกาสได้เชิดหน้าชูตาอีกเป็นครั้งที่สอง
“อย่าทำเช่นนี้เลยนะเจ้าคะ….. ท่านอ๋อง….. ข้าน้อยรับรู้ความผิดแล้ว ขอท่านอ๋องโปรดให้โอกาสข้าน้อยอีกสักครา….. ท่านอ๋อง….. ท่านอ๋อง…..”
นางถูกลากตัวออกไปโดยผู้คุมที่อยู่ด้านนอกประตู
ทั่วทั้งโต๊ะตกอยู่ในความเงียบงัน ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำใด
นัยน์ตาเยี่ยนหนิงลั่วหม่นแสงลง นางไม่เข้าใจ ท่านพี่กำลังคิดอะไรอยู่? อยากจะยื่นมือไปช่วยเหลือเด็กสองคนนั้นหรือ? ท่านพี่ไม่รู้หรือไรว่าท่านแม่เกลียดลูกของสตรีนางนั้นเพียงไหน? เหตุใดถึง…..
เยี่ยนซู่นวดขมับตนเพื่อคลายอาการปวดหัว “เฉิงเอ๋อร์ เหตุใดจู่ ๆ เจ้าถึงสนใจเรื่องภายในจวนเช่นนี้ได้? แล้วเมื่อครู่เจ้าพูดถึงใคร…..”
“พวกเขาอาศัยอยู่ที่เรือนสงบเงียบ เป็นเด็กสองคนที่อนุชิงได้ให้กำเนิด” เยี่ยนซีเฉิงตอบเสียงเบา “ข้าเคยไปพบพวกเขาที่เรือนมาก่อน สภาพความเป็นอยู่ของพวกเขาย่ำแย่มาก ข้ารับใช้ที่มีตำแหน่งสูงหน่อยยังมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่าพวกเขา ข้าไม่ต้องการให้เรื่องเช่นนี้หลุดออกไปจากจวนหย่งอันอ๋อง ผู้คนจะกล่าวหาว่าคนในจวนรังแกลูกอนุที่เสียชีวิตไปแล้วได้”
สีหน้าเยี่ยนซู่กลายเป็นตกใจ
ชิงฟูเหริน….. (1)
สตรีเขลาผู้นั้นที่ยืนยันว่านางจะปกป้องลูกน้อยทั้งสองของนางเอาไว้แม้ต้องแลกด้วยชีวิตน่ะหรือ?
ใช่แล้ว ตั้งแต่นางจากไปก็น่าจะผ่านไปสิบปีได้แล้ว นานจนเขาเกือบจะลืมเลือนว่านางเคยมีตัวตนอยู่
หากแต่เขาอาจไม่ได้ลืมเลือนนาง ทว่าก็ไม่ต้องการจดจำอดีตที่เจ็บปวดนั้นอีกเช่นเดียวกัน
“ท่านมีจิตใจงดงาม ทว่าข้าเป็นภรรยาของผู้อื่นไปแล้ว ทั้งยังอยู่ระหว่างการหลบหนี ข้าไม่อยากให้ท่านต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไปด้วย”
“ข้าไม่สน ข้าไม่กลัวว่าจะต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้ ข้าเพียงแต่อยากปกป้องเจ้า!”
“เยี่ยนซู่ ข้ากำลังตั้งครรภ์อยู่” ใบหน้างามที่เคยเย็นชามาโดยตลอด ในตอนนี้กลับอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ ช่างสวยงามและเป็นภาพที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ถึงจะทำได้เพียงปกป้องรอยยิ้มนี้ไว้เพียงชั่ววินาทีเดียว แต่เขาก็เต็มใจที่จะทำ
“เช่นนั้นก็ให้ข้าเป็นบิดาของเด็กคนนี้ ให้ข้าได้ปกป้องพวกเจ้าทั้งสองคนเถอะ!”
ถึงเขาจะมีภรรยาและลูก ๆ อยู่แล้ว แต่ไม่ทราบด้วยสาเหตุใดจึงไม่อาจควบคุมหัวใจไม่ให้รู้สึกดีกับนางได้
ราวกับแมลงเม่าที่โผเข้าหากองไฟโชติช่วง ถึงจะต้องแลกมาด้วยชีวิต ก็นับว่าเป็นการแลกชีวิตที่หวานฉ่ำสำหรับเขานัก
สตรีผู้นั้นถือครองเสน่ห์ที่ทำให้ผู้คนหลงใหลเช่นนั้น!
ทว่าเขากลับมีความรู้สึกอิจฉาริษยาต่อบุรุษผู้นั้น ผู้ที่ครอบครองนาง ผู้ที่นางเต็มใจอุ้มท้องลูกของเขา
ตอนนี้ตัวเขาก็เลยกลับคำงั้นหรือ?
เขาสัญญาว่าจะปกป้องลูกของนาง ทว่าเขาไม่เคยใส่ใจดูแลเด็กสองคนนั้นเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหน้าตาของเด็กสองคนนั้นเป็นอย่างไร
เป็นเพราะความหึงหวงที่บดบังนัยน์ตาทั้งสองข้างจนมืดบอด ทำให้ใจเขาเย็นชาและแข็งกร้าวราวกับเหล็กก้อนหนึ่ง!
เยี่ยนซู่พลันรู้สึกว่าตนเหนื่อยล้ายิ่งนักยามที่ลุกขึ้นจากที่นั่ง เขาค่อย ๆ เดินจากไปโดยไม่พูดอะไร
คนที่เหลือต่างพากันตกอยู่ในภวังค์ความคิด ต่างคนต่างคาดเดาสถานการณ์ไปต่าง ๆ นานา
เยี่ยนหนิงลั่วไม่มีอารมณ์ร่วมโต๊ะกับสตรีเหล่านี้อีกต่อไป นางเลื่อนเก้าอี้ออกส่งเสียงบาดหูก่อนจะลุกขึ้น “ท่านพี่ ออกไปกับข้าหน่อย”
จากนั้นพี่น้องสองคนจึงเดินตามกันออกไป
ภายใต้ศาลาอันเงียบสงบภายในจวนหย่งอันอ๋อง เยี่ยนหนิงลั่วมีสีหน้าเย็นชา เอ่ยคำพูดขึ้นเสียงเย็น “เหตุใดท่านพี่จึงต้องพูดปกป้องเด็กสองคนนั้นจากเรือนสงบเงียบด้วย?”
เยี่ยนซีเฉิงขมวดคิ้ว “เช่นนั้นมีปัญหาอันใดหรือ?”
“มีปัญหาอันใดน่ะหรือ?” ริมฝีปากเยี่ยนหนิงลั่วพลันแข็งค้าง นางตวัดสายตาหันมามองเขา “ท่านพี่ไม่รู้หรือว่าสตรีจากเรือนสงบเงียบผู้นั้นคือต้นเหตุที่ทำให้ท่านแม่เก็บตัวเงียบอยู่แต่ในเรือนมานานหลายปี? ที่ท่านแม่ปล่อยให้เมล็ดพันธุ์ของสตรีผู้นั้นอาศัยอยู่ในจวนก็นับว่ามีเมตตาเกินพอแล้ว ตอนนี้ท่านพี่ยังจะช่วยพูดแทนเด็กสองคนนั้นอีกหรือ?”
เยี่ยนซีเฉิงมองสตรีตรงหน้าที่มักจะมีความงดงามประดับอยู่โดยตลอด ทว่าในตอนนี้สีหน้าของนางกลับเย็นชาและดุร้ายยิ่งนัก ภาพเช่นนั้นทำให้จิตใจเขาเหน็บหนาวยิ่ง
เรื่องเช่นนี้ ท่านแม่ต้องคอยพร่ำสอนให้หนิงเอ๋อร์เกลียดชังเด็กสองคนนั้นตั้งแต่นางยังเล็กแน่!
การรับมือและอดทนกับเด็กเพียงสองคนนั้นยากเกินกำลังเลยงั้นหรือ?
ถึงอย่างไรสตรีนางนั้นก็จากไปนานหลายปี นางเข้าสู่การพักผ่อนตลอดกาลไปแล้ว ยังมีเหตุผลใดให้ตั้งแง่กับเด็กสองคนนั้นอีกหรือ?
เขาพลันรู้สึกผิดหวังในตัวมารดาตนยิ่งนัก
“หนิงเอ๋อร์ เจ้าไม่เข้าใจ” เยี่ยนซีเฉิงส่ายหัว “ความเจ็บปวดที่ท่านแม่ได้รับเพราะนาง เด็กสองคนนั้นได้ชดใช้คืนเป็นสองเท่าแล้ว”
“มารดาก่อบาปไว้ ลูกหลานจำต้องชดใช้ ตอนนี้ยังไม่เพียงพอด้วยซ้ำ นางเป็นคนที่ทำให้ครอบครัวเราแตกแยกนะท่านพี่!” เยี่ยนหนิงลั่วแผดเสียงแหลม
“เจ้าช่างใสซื่อนัก เช่นนั้นเจ้าจะอธิบายเหล่าสตรีที่อยู่หลังจวนเหล่านั้นว่าอย่างไร? ก็คือท่านพ่อที่เป็นต้นเหตุทั้งนั้น!” เยี่ยนซีเฉิงพลันรู้สึกอยากจบบทสนทนากับน้องสาวหัวดื้อของตนเสียตอนนี้ วันนี้อารมณ์เขาไม่มั่นคงนัก สมควรไปบำเพ็ญเพียรเพื่อทำให้จิตใจสงบเสีย!
——————–
เยี่ยนซู่ไม่ได้กลับไปเรือนของตน ทว่าสองเท้าของเขากลับพาเขาก้าวมาที่เรือนสงบเงียบที่เขาเคยเดินมานับครั้งไม่ถ้วนเมื่อกาลก่อน
เขายังจำได้ดีว่านางชอบชิงช้ามาก ทุกครั้งที่เขามาหานาง ก็จะเห็นนางนั่งอยู่บนชิงช้า ลูบท้องตนอย่างอ่อนโยนและพูดคุยกับเด็กในท้องของนางเสียงแผ่วเบา เป็นภาพที่สวยงามและน่าประทับใจยิ่ง
เวลาสิบปีผ่านพ้นไป ทุกอย่างที่นี่ก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน
ไม่มีอีกแล้วชิงช้าที่คุ้นตา มีเพียงต้นไม้รกร้างขึ้นอยู่ทั่วบริเวณ ในสวนทั้งสองฝั่งซ้ายขวามีพืชพันธุ์สีสันสดใสถูกปลูกไว้ ล้อมรอบไปด้วยผักและพุ่มไม้เตี้ยต่าง ๆ ทำให้สถานที่นี้ราวกับอยู่ในป่าลึกแห่งหนึ่ง
ในขณะที่เยี่ยนซู่กำลังตกอยู่ในภวังค์กับภาพรอบกายตนนั่นเอง ประตูที่ปิดแน่นพลันถูกเปิดออกพร้อมเสียงไม้เอี๊ยดอ๊าด
ร่างสูงและผอมบางร่างหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน
ผมยาวสลวยบนศีรษะของนางถูกผูกไว้หลวม ๆ ส่วนที่ทิ้งตัวลงมามองดูแล้วราวกับน้ำตกสายหนึ่ง ชุดสีขาวเรียบง่ายบนร่างปลดปล่อยความงดงามบริสุทธิ์ที่ไม่อาจอธิบายได้ออกมา มองเพียงด้านหลังก็ทำให้ใจคนเต้นแรงและจิตใจถูกล่อลวงได้แล้ว
ในมือนางถือถังไม้ถังหนึ่ง กำลังพรมของเหลวสีเขียวด้านในใส่ต้นไม้ใบหญ้า ท่วงท่านั้นงดงามแพรวพราว งดงามหาสิ่งใดเทียม
เยี่ยนซู่ตกตะลึงไปชั่วขณะ ในตอนนั้นเองพลันได้ยินเสียงกิ่งไม้ใต้เท้าหักดังขึ้น
“หืม?” สตรีผู้นั้นได้ยินเสียง นางหันมามองต้นเสียงด้วยสีหน้าประหลาดใจ
เยี่ยนซู่เบิกตากว้างเมื่อเห็นใบหน้าของนาง
นัยน์ตาน่าหลงใหลคู่นั้นเต็มไปด้วยประกายสุกใส จมูกงามดูโดดเด่นยิ่งนัก ที่มุมปากสีชมพูอ่อนยกขึ้นเล็กน้อย ก่อให้เกิดรอยโค้งที่ยากเกินต้านทานได้ ผิวพรรณนางขาวผ่อง ยิ่งยืนอยู่ใต้แสงแดดเช่นนี้ยิ่งดูราวกับจะส่องแสงได้ ใบหน้างามไร้ที่ติใด
คนสองคนยืนจ้องหน้ากันอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่นางจะกะพริบตา รอยโค้งที่ริมฝีปากยิ่งลึกมากขึ้น กลายเป็นรอยยิ้มบาง
ชิงเฟย…..
ไม่ เรื่องเช่นนี้เป็นไปไม่ได้
คนสองคนจะเหมือนกันไม่มีผิดเช่นนี้ได้อย่างไร?
กระทั่งรอยยิ้มโค้งที่ริมปากนางเมื่อครู่ยามเมื่อสบตากันครั้งแรกยังเหมือนกันไม่มีผิด!
เยี่ยนซู่ตกใจสุดขีด ไม่หลงเหลือความกล้าหาญใดที่จะยืนอยู่ตรงนั้นอีกต่อไป เขารีบก้าวเท้ายาวออกจากสถานที่นั้นในทันที
“ฮะ ๆ น่าสนใจยิ่งนัก…..”
เชิงอรรถ
ฟูเหริน คำใช้เรียกภรรยา