บทที่ 18 ฝันร้าย
“จากนี้ไปเจ้าใช้สกุลข้าก็แล้วกัน ในเมื่อข้าพบเจ้าในยามค่ำคืน เช่นนั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าเยี่ยหลี!”
“ตัว หลี ในชื่อเจ้าไม่ได้หมายถึงการแยกจาก แต่เป็นการกลับมาพบกันหลังจากเวลาผ่านพ้นไปนานแล้วต่างหาก เป็นเพราะข้าจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้าอีก”
“เจ้าก้อนน้ำเต้าน่าเบื่อก้อนนี้ เหตุใดเจ้าถึงนิ่งเงียบอยู่ตลอดเช่นนี้เล่า? หากข้าไม่รู้คงคิดว่าเจ้าเป็นใบ้ไปแล้ว”
“อย่างไรมนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่เห็นแก่ตัวใช่หรือไม่? เสี่ยวเยี่ย ข้าเคยคิดว่าเรื่องเช่นนั้นไม่มีวันเกิดขึ้นกับข้าได้ ทว่าความสุขเหล่านั้นเป็นเพียงภาพลวงตา”
“เสี่ยวเยี่ย เราคง….. ไม่อาจพบกันได้อีก ข้าจะแต่งงานแล้ว ขอโทษด้วยที่ข้าไม่อาจรักษาสัญญา”
“เสี่ยวเยี่ย ใช้ชีวิตให้ดี อย่าโง่งมเช่นข้า ในโลกใบนี้ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความจริงใจหรอก”
“ขอโทษด้วยเสี่ยวเยี่ย ข้า….. ต้องไปแล้ว”
เลือด เลือดมากมายหลั่งไหลออกมาจากร่างของนาง เปรอะชุดแต่งงานสีขาวบริสุทธิ์ของนางจนชุ่มโชก
นางตัวเล็กเช่นนั้น มีเลือดมากขนาดนี้ได้อย่างไร?
สุดท้ายทุกสิ่งทุกอย่างก็เต็มไปด้วยเลือดที่เจิ่งนอง เลือดเริ่มไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของนาง ทว่าที่ริมฝีปากนางยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่
“สภาพข้าเช่นนี้คงน่าเกลียดมากกระมัง ฮะ ๆ ไม่คิดเลยว่าจะต้องตายในสภาพน่าเกลียดเช่นนี้ แค่ก ๆ…..”
“เจ้า….. ไม่ต้องพูดแล้ว…..” เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้สึกหวาดกลัว เขาปาดเลือดออกจากมุมปากนางอย่างลนลานไม่หยุดมือ ทว่าเลือดกลับไม่มีท่าทีจะหยุดไหลเลย
“ฮะ ๆ เสี่ยวเยี่ย แปลกจริง ข้ากลับรู้สึกได้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้า ไม่ใช่คนไร้อารมณ์เย็นชาเหมือนท่อนไม้อีกต่อไป” ตอนนี้นางอ่อนแรงมากจนไม่อาจขยับเขยื้อนกาย ได้แต่นอนแน่นิ่งอยู่ในอ้อมแขนของเขา หากแต่ปากยังคงเอ่ยหยอกล้อเขาไม่หยุด
“ต้องทำเช่นไรจึงจะสามารถช่วยเจ้าได้? บอกข้าสิ!”
“ไม่มีประโยชน์หรอก ตอนนั้นเป็นเวลาที่ข้าต้องโผบิน โชคไม่ดีที่ข้าทำพลาด กลับถูกตีกลับมา พลังทั้งหมดของข้าแตกสลายไปสิ้น…..” การที่พลังที่คนผู้หนึ่งบำเพ็ญเพียรมาทั้งชีวิตต้องมลายหายไปจนสิ้นเช่นนี้ สำหรับนาง ชะตาเช่นนี้ก็ราวกับขุดหลุมฝังตนเอง
“เจ้าจงใจใช่หรือไม่? เหตุใดจึงต้องทำเช่นนั้น!?” นัยน์ตาชายหนุ่มทั้งแดง มันเต็มไปด้วยเส้นเลือด ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ “เจ้าจงใจทำให้ตนเองเป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่!?”
“เฮ้อ….. ปิดบังเจ้าไม่ได้จริง ๆ” นางเอ่ยขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างหมดหนทาง “เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเจ้ากล้าขึ้นเสียงกับข้าเช่นนี้ เจ้านี่เกินไปจริง ๆ”
นางพยายามอย่างมากเพื่อยกแขนอันอ่อนล้าขึ้นลูบใบหน้านั้นอย่างอ่อนโยน “สัญญากับข้า หลังจากข้าตายไป ฝากเจ้าเอาข้าหลบออกมา จะเอาไปไว้ที่ใดก็ได้ แต่อย่าทิ้งข้าไว้ที่นี่”
“ใช้ชีวิตให้ดีเจ้าตัวโง่งม คนพวกนั้นยังไม่รับรู้ถึงความสามารถของเจ้า มองเจ้าเป็นเพียงคนธรรมดาผู้หนึ่ง ไม่เช่นนั้นแล้วคงทำทุกวิถีทางเพื่อใช้ประโยชน์จากเจ้า หากข้าไม่อยู่แล้วต่อไปไม่มีใครคอยปกป้องเจ้า เจ้าต้องอย่าลืม ต้องหนีออกไปจากที่นี่…..”
“ไอ้พวกโง่! หาตัวพวกเขาให้พบเดี๋ยวนี้! ปล่อยให้คลาดสายตาไปได้อย่างไร!?” ด้านนอกพลันมีเสียงฝีเท้ามากมายดังขึ้น คนพวกนั้นมาแล้ว มานำตัวนางกลับไป
นางพลันสำลักเลือดออกมาอึกใหญ่ ชุดแต่งงานหรูหรางดงามบนร่างดูน่ากลัวยิ่งนัก เปรอะไปด้วยเลือดสีแดงฉานผสมกับสีขาวบริสุทธิ์
“เสี่ยวเยี่ย จำคำข้า ใช้ชีวิตของเจ้า….. ให้ดี”
“ข้าเหนื่อยยิ่งนัก”
ทันใดนั้นพลันมีแสงสีทองหลุดออกมาจากร่างของนาง จากนั้นก็ล่องลอยไปบนท้องฟ้า เป็นแสงที่สว่างจนแสบตา ยามเมื่อแสงเหล่านั้นจางหายไป ทุกอย่างก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
คนในอ้อมแขนไม่เอ่ยคำใดอีกต่อไป เปลือกตานางปิดสนิท ร่างนางเย็นเฉียบ
นางตายแล้ว แสงเมื่อครู่คือวิญญาณที่หลุดออกจากร่างของนาง กลายเป็นเพียงเศษฝุ่นจากนั้นล่องลอยหายไปกลายเป็นความว่างเปล่า
เสียงพูดคุยที่เจือความโกรธแค้นดังใกล้เข้ามาทุกที ทว่าตัวเขากลับไม่ได้ยินสิ่งใด เขานั่งอยู่เช่นนั้น นัยน์ตาว่างเปล่าไร้ชีวิต
ภาพวันที่พวกเขาพบกันครั้งแรกยังคงฉายชัดในความทรงจำ
ช่างเป็นใบหน้านวลที่ดูงดงามยิ่งนัก ดวงตารูปจันทร์เสี้ยวเช่นนั้น มือที่ยื่นมาทางเขา ไม่ได้ใส่ใจกับสภาพน่าสังเวชของเขาในตอนนั้นแม้แต่น้อย
“เจ้าเต็มใจมากับข้าหรือไม่?”
ประโยคนั้นไม่ใช่คำถามแต่อย่างใดเมื่อมือน้อยเอื้อมมากุมมือเขาไว้แล้ว นางจับมือเขาไว้แน่น ไม่เปิดโอกาสให้เขาเอ่ยปฏิเสธแต่อย่างใด
ร่างเล็กนั่นอบอุ่นมากแท้ ๆ ทว่ามือนางกลับเย็นเฉียบนัก ยามเมื่อมือเล็กเอื้อมมากุมมืออุ่นของเขาแล้ว เขาพลันรู้สึกเย็นเยียบจนขนลุกไปทั่วร่าง
“ไอ้หยา! ขอโทษด้วย มือข้าเย็นมากใช่หรือไม่? เป็นผลจากวิชาที่ข้าบำเพ็ญเพียรน่ะ ฮ่า ๆ~ เช่นนี้ดีหรือไม่ ข้าจะถูมือสองข้างด้วยกัน เช่นนี้มือข้าก็ไม่เย็นแล้ว” นางถูมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันอย่างขะมักเขม้น เป่าลมหายใจใส่มือตนไม่หยุด เป็นภาพที่ดูซื่อบื้อพอตัว
เขาอาจไม่ทันสังเกต ทว่า ณ ตอนนั้นที่มุมปากเขาปรากฏรอยยิ้มหนึ่งขึ้น
จากนั้นด้วยสาเหตุใดไม่มีผู้ใดล่วงรู้ เขาที่คอยระแวดระวังสิ่งมีชีวิตรอบตัวมาโดยตลอดกลับเป็นฝ่ายยื่นมือออกมาก่อนเอ่ยขึ้นเสียงไร้อารมณ์ “ข้าไม่หนาว”
ได้ยินดังนั้น ร่างเล็กชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็จับมือเขาไว้อย่างมีความสุข ใช้มือเขาเป็นเตาอุ่นให้ตนเอง
และหลายปีหลังจากนั้นมา ยามเมื่อฤดูหนาวมาเยือน นางก็จะชอบมานั่งคุดคู้อยู่กับเขาเพื่อทำให้ตนเองอุ่น
ไม่มีอีกแล้วคนที่ชอบมาอิงแอบซบไออุ่นจากเขา
ไม่มีอีกแล้วคนที่ชอบเอามือเย็นเฉียบของตนมาแตะที่หลังคอเขาเพื่อแกล้งเล่น
ไม่มีอีกแล้วคนที่สามารถทำให้ใจเขารู้สึกอบอุ่นและสดชื่นได้เช่นนาง
นางเคยกล่าวไว้ว่า “เจ้าไม่ใช่ข้ารับใช้ของข้า ไม่ใช่ลูกน้องของข้า ข้าไม่ให้เจ้าเรียกข้าว่าคุณหนู ในเมื่อข้าเรียกเจ้าว่าเสี่ยวเยี่ย ฮี่ ๆ เช่นนั้นเจ้าก็เรียกข้าว่าเสี่ยวอวี่แล้วกัน!”
ช่างเป็นชื่อ ที่เรียกแล้วพลันทำให้จิตใจอบอุ่นยิ่งนัก น่าเสียดายที่เขาไม่กล้าเอ่ยคำนั้นออกมาโดยง่าย ไม่เช่นนั้นนางอาจจะมีปัญหาได้
ดังนั้น แม้นางจะทำสีหน้าผิดหวังเช่นไร ชื่อของนางก็ไม่เคยหลุดออกจากปากเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
หลังจากนั้นทั้งสองคนต่างเติบใหญ่ขึ้น นางจึงไม่เซ้าซี้เรื่องชื่ออีก
จากนั้นชายหนุ่มรูปงามจึงค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ แววตากลับคืนมาอีกครั้ง ริมฝีปากแห้งผาก ค่อย ๆ เผยอออกจากกัน จากนั้นน้ำเสียงที่เบาจนไม่มีผู้ใดได้ยินก็หลุดออกมาจากริมฝีปากนั้น “เสี่ยว….. อวี่…..”
น่าขำนางไม่อาจได้ยินคำเหล่านั้นอีกต่อไปแล้ว!
ไม่อาจได้ยินอีกตลอดกาล…..
เขาลืมตาตื่นขึ้นมาน้ำตาไหลนองหน้าอีกครา อารมณ์ของเขายังคงติดอยู่ในห้วงแห่งความฝัน
ความเจ็บปวดราวกับจะหายใจไม่ออกกระจายอยู่ทั่วอก หัวใจเต้นแรง ทว่าทั่วทั้งร่างกลับเย็นเฉียบ กลางฤดูร้อนเช่นนี้เขากลับรู้สึกว่าร่างตนมีน้ำแข็งเย็นเฉียบห่อหุ้มเอาไว้
ฝันร้ายอันแสนน่ากลัวนี้ ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาเขาก็ไม่อาจหลบหนีจากมันไปได้
เขากุมอกตนแน่น อ้าปากหอบหายใจอย่างหนักหน่วง
“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องเป็นอะไรหรือไม่ขอรับ? ฝันร้ายอีกแล้วหรือขอรับ?” ทันใดนั้นประตูก็ถูกผลักเปิดออก ชายหนุ่มผู้หนึ่งแหวกม่านผ้าไหมบางออกก่อนจะยื่นมือเข้ามาก่อนจะช่วยตบอกบุรุษบนเตียงด้วยความกังวล “ดีขึ้นไหมขอรับ? ท่านอ๋องรู้สึกดีขึ้นหรือยัง?”
นัยน์ตาชิงเยี่ยหลีพลันส่องประกายเย็นเยียบ จากนั้นมือใหญ่ก็ปัดออกไป ร่างของชายหนุ่มผู้นั้นปลิวออกไปราวกับว่าวที่เชือกขาด ก่อนจะกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง
“ท่านอ๋องโปรดระงับความโกรธ บ่าวเพียงเป็นกังวลจึงละเมิดข้อห้ามไป ขอท่านอ๋องโปรดลงโทษ!” ชายหนุ่มผู้นั้นราวกับไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่นิด เขานั่งคุกเข่า ศีรษะแนบลงกับพื้น
เทพแห่งการฆ่าสังหารผู้นี้เกลียดยามคนอื่นแตะต้องตัวเขาที่สุด ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี หากเข้าใกล้เขามากเกินควรจะต้องตาย ไม่เคยมีใครได้รับการยกเว้นมาก่อน
“ไสหัวออกไป!” น้ำเสียงเย็นชาราวกับปีศาจที่มาจากขุมนรกดังขึ้น ส่งผลให้ร่างของชายหนุ่มที่นั่งคุกเข่าอยู่สั่นสะท้าน ดูท่าจะไม่คิดว่าตนจะสามารถรอดชีวิตออกไปได้
หลังจากตกใจจนได้สติ เขาก็รีบถอยออกไปในทันที
ชิงเยี่ยหลีลุกขึ้นจากเตียง ในตอนที่กำลังเดินออกไปนั่นเอง ก็มีละอองสีขาวละอองหนึ่งร่วงลงมาบนหัวไหล่
สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนเป็นความประหลาดใจ