ตอนที่ 46 แผนช่วยเหลือทหารอเมริกันในสถานีคิซารากิ

[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง

ความเจ็บปวดหายไปทันทีเลย สติที่เลือนรางของฉันก็กลับมาแล้ว เข่าข้างนึงของฉันทรุดลงไปแตะที่พื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แล้วฉันก็กำลังคอตกก้มมองพื้นอยู่ด้วย พอฉันสะบัดหน้าขึ้นมาด้วยเสียงคำรามของเครื่องยนต์กับแสงสว่างจ้าของไฟหน้าของมัน กอร์กอนก็วิ่งทะยานเข้ามาในพื้นที่โล่งนี่แล้ว

แขนกลที่แขนพับเอาไว้ก่อนหน้านี้ก็ถูกกางออก ยื่นไปข้างหน้า ตรงปลายแขนนั้นติดคันไถ 9 ใบมีดที่เอาไว้ใช้สำหรับการกำจัดอาวุธยุทโธปกรณ์อยู่ด้วย เสียงแตรรถดังลั่นขึ้นอีกครั้ง แล้วพวกทหารก็แตกกระเจิงหลบทางออกไปกัน กอร์กอนพ่นควันสีดำออกมาราวกับลมหายใจจากกระทิงที่เดือดจัด ก่อนจะพุ่งตัวออกไปอย่างรุนแรง

ตัวรถที่ใหญ่โตสูงเกินกว่า 8 เมตรนั่นวิ่งตัดผ่านพื้นที่เปิดโล่งนั่นด้วยความเร็วสูงจนน่าเหลือเชื่อ เฉียดกล่องรับบริจาคตรงกลางนั่น ก่อนที่เจ้ารถ MRAP ดัดแปลงหน้าตาประหลาดนี่จะพุ่งเข้าชนกับตัวของคันคันดาระอย่างจังต่อหน้าต่อตาฉันเลย

ใบมีด 9 ใบตรงหน้าแขนกลนั่นเสียบลึกเข้าไปในท่อนไม้สีขาว และโมเมนตัมนั้นก็ไม่ได้ลดลงเลยซักนิด มันยังคงดันตัวคันคันดาระต่อจนเข้าไปอัดกระแทกเข้ากับต้นไม้ลำต้นหนาต้นนึงที่ขอบของพื้นที่โล่งนี่อีกต่อนึงด้วย

เสียงกระดิ่งที่ดังออกมาจากคันคันดาระที่ถูกอัดใส่ไปทั่วถูกกลบด้วยเสียงคำรามของเครื่องยนต์แล้วเสียงเป่าของแตรจนหมด แขนกลข้างนั้นยังคงเจาะเข้าไปลึกขึ้นอีก เสียงกระดิ่งก็ยิ่งดังขึ้นราวกับเสียงร้องโหยหวญในวาระสุดท้าย และในที่สุด *แครก* ท่อนไม้สีขาวนั่นก็หักออก เกิดเป็นเสียงที่สุดยอดไปเลย

คันคันดาระเด้งตัวยืดตรงทั้งตัว ก่อนที่จู่ๆ ก็จะนิ่งไม่ไหวติง ราวกับถ่านหมดไปซะเฉยๆ

เสียงของเครื่องยนต์ค่อยๆ เบาลง แล้วก็หยุดไป ไฟหน้าเองก็ดับไปแล้วเหมือนกัน พื้นที่เปิดโล่งนี้จู่ๆ ก็มืดสนิท แล้วก็เงียบกริบไปเลย เหล่าทหารที่ทรมานอยู่ ตอนนี้ก็กลับมาลุกขึ้นยืน ส่งเสียงพูดพึมพำกันแล้ว

“โซราโอะ! ไม่เป็นไรนะ?”

โทริโกะรีบวิ่งเข้ามาจากนอกพื้นที่เปิดโล่งนี่ แล้วก็มาช่วยพยุงตัวฉันลุกขึ้นยืนด้วย เพราะฉันทรุดลงไปกับพื้นอยู่

คนขับกับทหารลงมาจากกอร์กอนกัน พอพวกเขามองดูที่ร่างของคันคันดาระ―เศษซากที่เหลืออยู่ของเจ้านั่น―พวกเขาก็อุทานลั่นกันเป็นภาษาอังกฤษกันอย่างตื่นเต้นเลย Unbelievable, What a huge snake bitch… Holy shit. (ไม่อยากจะเชื่อ เป็นยัยงูตัวใหญ่อะไรขนาดนี้ฟะเนี่ย… ให้ตายสิพับผ่า)

อย่างน้อย ฉันก็เห็นด้วยกับตรงที่เขาว่า Unbelievable (ไม่อยากจะเชื่อเลย) อยู่นะ

ฉันรับแขนของโทริโกะที่มาช่วยดึงตัวฉันขึ้น ก่อนจะส่ายหน้าด้วยอารมณ์ที่ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

“ฉันว่าฉันบอกให้เธอไปเอาอะไรซักอย่างใหญ่ๆ มาไม่ใช่เหรอ…”

“นี่ก็ใหญ่สุดเท่าที่เรามีแล้วนะ”

โทริโกะตอบมาโดยไม่ปิดบังความยืดอกภูมิใจในน้ำเสียงของเธอเลย

แล้วร้อยโทก็วิ่งเข้ามาหาพวกเรา พร้อมกับส่องไฟมาหาด้วย

“โอ้! พวกเธอไม่เป็นไรนะ!?”

“ไม่เป็นไรค่ะ… พวกเราจัดการมันได้แล้วสินะ”

ฉันคิดว่าตัวเองพยายามจะยิ้มอย่างสบายใจให้นะ แต่พอทั้งคู่เห็นฉันในแสงสว่างแล้ว ทั้งโทริโกะทั้งร้อยโทก็ตกใจ ผงะไปข้างหลังกันเลย

“เอ๋? มีอะไร―”

ฉันพูดยังไม่ทันจบ โทริโกะก็ยื่นมือทั้ง 2 ข้างออกมาประกบที่หน้าฉันเหมือนแซนด์วิช แล้วก็บี้หน้าฉันคลึงไปมาทั่วทุกทิศเลย

“บ- ด- หยุ-”

จนในที่สุด พอสลัดมือของโทริโกะออกไปได้ ฉันก็ตะโกนใส่เลย

“หยุดซักที! ทำอะไรของเธอเนี่ย!?”

ฉันโมโหนะ แต่ฝั่งโทริโกะกลับดูโล่งใจซะงั้น

“เมื่อกี้เธอน่าจะเห็นหน้าตัวเองนะ โซราโอะ สีหน้าแบบเดียวกับผู้หญิงคนนั้นเลยน่ะ”

“…จริงอะ?”

ตอนที่ฉันเอามือขึ้นมาจับหน้าตัวเองอย่างอึ้งๆ ทหารคนอื่นๆ กับรถคันที่เหลือก็เข้ามาในพื้นที่เปิดโล่งนี่แล้ว พันตรีมองไปรอบบริเวณด้วยท่าทางงงๆ

“ที่นี่แน่ ที่แรกที่พวกเราเข้ามาที่ออเธอร์ไซด์น่ะ แล้วทำไมพวกเราถึงลืมไปได้กันล่ะเนี่ย?”

“ฉันเคยได้ยินมาว่าคนที่เจอกับประสบการณ์กระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง บางครั้งก็สามารถทำให้สูญเสียความทรงจำบางส่วนไปได้นะคะ บางที พวกคุณทุกคนอาจจะเจอตัวประหลาดนั่นเข้าตั้งแต่แรกเลย แล้วก็แตกกระเจิงกันไปเพราะความหวาดกลัวก็ได้นะคะ”

ที่ฉันพูดมานี่ดูสมเหตุสมผลอย่างสมบูรณ์เลยนะ แต่ความรู้เรื่องจิตวิทยาของมนุษย์ทั้งหมดที่ฉันมีเนี่ยมาจากการรวบรวมเรื่องผีที่มีการพบเห็นจริงล้วนๆ เลย ถึงยังงั้น ร้อยโทกับพันตรีที่ไม่รู้เรื่องนั้นก็พยักหน้าหงึกๆ รับกันนะ

“เพราะเจ้านั่น ทำให้เราต้องสูญเสียชีวิตไปมากจริงๆ”

ร้อยโทพูดขึ้นอย่างหงุกหงิด

“พวกเรารีบพาพวกคุณกลับบ้านกันก่อนจะมีอะไรที่มันน่ากลัวกว่านี้โผล่ออกมาดีกว่าค่ะ”

ฉันเดินไปที่จุดกึ่งกลางพื้นที่เปิดโล่งนี่ แล้วก็หยุดอยู่ตรงหน้ากล่องรับบริจาค ฉันชี้ไปที่แสงสีเงินระยิบระยับที่อยู่รอบๆ ด้านนอกของกล่องนั่น แล้วก็หันไปพูดกับโทริโกะ

“เธอจับตรงนี้ไว้หน่อยได้หรือเปล่า?”

โทริโกะถอดถุงมือของเธอออก แล้วก็ทิ่มนิ้วโปร่งแสงของเธอทะลุเข้าไปตรงแสงระยิบระยับนั่น

“ตรงนี้เหรอ?”

“แถวๆ นั่นแหละ ครั้งนี้ จับเอาไว้ระหว่างที่เดินไปด้วยนะ”

พอโทริโกะขยับตัว มันก็ดูเหมือนกับว่ากล่องรับบริจาคนั่นถูกบี้ไป จนดูเหมือนกับรูปสี่เหลี่ยมด้านขนานที่ตัดออกจากพื้นที่ตรงนั้น เกทนี่นา ตรงอีกฝั่งนั่น ฉันเห็นของที่เป็นเหมือนลานหินที่มีหญ้าขึ้นรก กับที่ว่างๆ ที่ปกคลุมไปด้วยใบของต้นปาล์มในตอนกลางคืน อากาศอุ่นชื้นลอยโชยมาจากอีกฝั่งของเกทด้วย กลิ่นของอากาศกึ่งเขตร้อน ผสมผสานกับตัวตนของสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่มากมาย เสียงตะโกนดีใจของเหล่าทหารนาวิกก็ร้องลั่นกันสุดปอดเลย นั่นคือโอกินาว่าของโลกเบื้องหน้านั่นเอง

“พวกคุณกลับบ้านกันได้ทางนี้เลยค่ะ เร็วเข้า”

ร้อยโทกับพันตรีหันไปทำท่าทางบอกกับลูกน้องของเขา พร้อมกับออกคำสั่ง

“All right, boys! (เอาล่ะ! ทุกนาย!) Let’s go home! (กลับบ้านกันเถอะ!)”

“““Hurrah!! (ไชโย!!)”””

สีหน้ามอมแมมและเหนื่อยล้าของพวกทหารนาวิกพวกนี้ยิ้มกว้างกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่พวกเราได้เจอกับพวกเขาเลย พวกเขายกนิ้วโป้งให้ฉันกับโทริโกะที่ยืนกันอยู่ข้างเกท แล้วก็มีขอแปะมือหรือชนหมัดระหว่างเดินผ่านไปด้วย พวกเขาค่อยๆ หายเข้าไปในโลกเบื้องหน้ากันทีละคนๆ ฉันรู้สึกว่าตัวเองได้ยินคำขอบคุณที่จะได้ตลอดทั้งชีวิตอัดมารวมกันในทีเดียวเลยนะเนี่ยตอนนี้

อ้อ แล้วก็เรื่อง [เดอะ เกิร์ลส์] นี่ก็อีก ขอบคุณมากนะ เดอะ เกิร์ลส์, เพราะได้พวกเธอช่วยเอาไว้แท้ๆ เลยนะ เดอะ เกิร์ลส์, พวกเธอเองก็รีบออกไปจากที่นี่กันด้วยล่ะ เดอะ เกิร์ลส์…

ก่อนหน้านี้ก็ว่าจะแค่เมินๆ ไปนะ แต่ชื่อเล่นที่พวกเขาใช้นั่นมันอะไรเนี่ย? พวกเราเป็นพวกเกิร์ลกรุ๊ปที่มีอยู่เกลื่อนตลาดงั้นเหรอ?

ตอนที่ฉันยิ้มจนเริ่มจะเจ็บแก้ม เหนื่อยที่ต้องยิ้มรับแบบที่ไม่คุ้นเคยนี่เต็มที ทหารนายสุดท้ายก็ลอดผ่านเกทไป เหลืออยู่แค่ร้อยโทกับพันตรีแล้ว

“ขอบคุณพวกเธอจริงๆ เพราะได้พวกเธอแท้ๆ―”

ตอนที่พันตรีจะพูดขอบคุณฉันด้วยอีกคน ฉันก็ยกมือขึ้นมาหยุดเข้าเอาไว้ก่อน

“อ่า เอาไว้ก่อนแล้วกันนะคะ รีบไปกันต่อก่อนดีกว่า ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเราจะเปิดมันเอาไว้ได้อีกนานแค่ไหน ไว้เดี๋ยวค่อยคุยกันต่อก็ได้ค่ะ”

“งั้นเหรอ? ถ้างั้น เจอกันที่อีกฝั่งนึงนะ”

พันตรีพูดทิ้งท้ายไว้แบบนั้น

“ถ้างั้น พวกเราขอล่วงหน้าไปก่อนแล้วกันนะครับ”

ร้อยโทหันมายิ้มให้เรา แล้วก็เดินลอดไปที่โลกเบื้องหน้า

ตอนที่พันตรีกำลังจะก้าวผ่านเกทไปเป็นคนสุดท้าย ฉันก็หยุดเขาไว้ก่อน แล้วก็ถามคำถามที่ฉันพยายามเลี่ยงมาตลอดจนถึงตอนนี้

“ขอฉันถามแค่อย่างนึงหน่อยได้มั้ยคะ…? ระหว่างทางจากค่ายมาถึงที่นี่ มีผู้สูญเสียไปกี่คนงั้นเหรอคะ?”

พันตรีหันกลับมา แล้วก็ก้มลงมามองที่ฉัน ก่อนจะเปิดปากพูดอย่างขึงขัง

“…0 นาย ปฏิบัติการช่วยเหลือของพวกเธอสำเร็จอย่างสวยงาม เป็นแผนการที่น่าอัศจรรย์ทีเดียวล่ะ”

ความโล่งอกที่พุ่งเข้าหาฉันมันเหมือนกับดึงเอาแรงทั้งหมดออกไปจากตัวเลย พันตรียิ้มให้พวกเรา ก้าวไปข้างหน้า แล้วก็ยื่นมือกวักให้พวกเราลอดผ่านเกทไปด้วย

“พวกเธอเป็นกลุ่มสุดท้ายแล้วนะ มาเร็ว―”

“อ๊ะ ขอโทษนะคะ พวกเรามาส่งแค่นี้ล่ะค่ะ”

“ว่าไงนะ?”

“พอแล้วล่ะ โทริโกะ”

พอโทริโกะปล่อยมือจากพื้นที่ที่เธอจับเอาไว้ เกทก็ปิดลง สีหน้างุนงงของพันตรีก็เลือนหายไปด้วยเหมือนกัน

ความเงียบงันกลับมาปกคลุมในป่าอีกครั้ง ภาพเงาของรถทหารที่ถูกทิ้งเอาไว้ในที่ว่างๆ ปรากฏเป็นเหมือนโขดหินขนาดมหึมาในความมืดนี่

ฉันปรึกษาแผนเรื่องจะอาศัยความวุ่นวายนี่แยกตัวจากกองกำลังสหรัฐกับโทริโกะเอาไว้ก่อนแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นมิตรกับเราแค่ไหน หรือเขาอาจจะรู้สึกเป็นหนี้กับพวกเราเท่าไหร่ การข้องแวะกันมากกว่านี้ก็มีแต่จะสร้างปัญหาให้ยุ่งเหยิงมากกว่าเดิมซะอีก

“เขาว่าไม่มีใครตายเลยนะ พวกเราสุดยอดเลยเนอะ ว่ามั้ย?”

“นั่นสิ ดีใจจัง…”

โทริโกะพูดกระซิบออกมาอย่างโล่งอก

“เพราะพวกเขาเองก็มีครอบครัวรอคอยให้กลับไปหาอยู่เหมือนกันนี่นา? ดีใจจริงๆ”

“จริงด้วยสิ เหนื่อยหน่อยนะ โทริโกะ”

“เธอก็เหมือนกัน เหนื่อยหน่อยนะ โซราโอะ-… โหว! เป็นอะไรหรือเปล่า?”

ขาของฉันมันสั่นไปหมด จนมันก็ทรุดลงตรงนั้นเลย โทริโกะก็รีบพุ่งตัวเข้ามาช่วยพยุงตัวฉันเอาไว้

“ฟิ่ว… เหนื่อยชะมัดเลยเนี่ย”

ฉันพูดคำนั้นออกมาจากก้มบึ้งของหัวใจเลย

“มีแต่ปัญหาวุ่นวายเต็มไปหมด แต่สุดท้าย ก็พาทุกคน… กลับ…”

คำพูดของฉันสะดุดไประหว่างที่ยังยิ้มค้างอยู่แบบนั้น ภาพตรงหน้าก็เบลอขึ้นมาแบบที่ไม่ได้ตั้งใจ

อ๊า! ชักท่าไม่ดีแล้ว ฉันคิดแบบนั้น แต่ก็ไม่ทันแล้ว น้ำตามันเอ่อล้นออกมา ไหลรินมาตามใบหน้าที่เกร็งไปหมดของฉัน

“หวา แป๊บนะ แป๊บนึง ฉันขอโทษ”

พอเห็นฉันลนลานแบบนั้น โทริโกะก็โน้มตัวเข้ามากอด ฉันก็กอดเธอกลับไป หรือพูดให้ถูกกว่าคือ ไปเกาะตัวเธอเอาไว้มากกว่า โทริโกะเองก็เหงื่อโชกไม่ต่างจากฉันเลยนะ แต่กลิ่นตัวของเธอก็ยังดีจนน่าตกใจเลย

“พยายามได้ดีมากเลยนะ โซราโอะ”

โทริโกะพูดแบบนั้น พลางค่อยๆ ลูบหัวฉันอย่างเบามือ

หยุดเถอะ… ถ้าทำแบบนั้น มันก็มีแต่จะทำให้ฉันร้องไห้มากกว่าเดิมเท่านั้นแหละ

“ก็ เธอบอกว่าอยากจะช่วยพวกเขาทุกคนนี่ ฉันก็…”

ฉันพูดออกมาในระหว่างที่ยังสะอึกสะอื้น

แขนของโทริโกะที่โอบอยู่รอบตัวฉันก็รัดแน่นขึ้น

“เธอฟังคำขอที่เอาแต่ใจของฉันด้วย”

“ก็ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่ ฉันแค่อยากได้ปืนใหม่เท่านั้นเอง”

ได้ยินแบบนั้น โทริโกะก็ขำออกมานิดหน่อย

“ทั้งที่ไม่ได้ยิงปืนใหม่ที่อุตส่าห์ได้มาซักนัดเลยเนี่ยนะ?”

ฉันส่ายหัวทั้งที่หน้าก็ยังซบอกของเธออยู่ พลางพูดแก้ตัวให้ตัวเองต่อ

“ที่จริง ฉันไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำ ฉันลืมเรื่องพวกเขาไปแล้วล่ะจนตอนที่เธอหยิบเรื่องนี้มาพูดอีกรอบนึง เห็นมั้ย ฉันมันก็แค่ผู้หญิงใจดำที่ไม่สนใจอะไรนอกจากเรื่องของตัวเองใช่มั้ยล่ะ?”

ระหว่างที่ฉันพยายามเค้นคำพูดพวกนี้ออกมาช้าๆ ผ่านการสะอื้นของตัวเอง โทริโกะก็ส่ายหน้า

“ไม่ใช่ยังงั้นซักหน่อย โซราโอะเป็นคนดีจริงๆ นะ เธอใจดีออกนี่นา”

“ใจดีเท่าคุณโคซากุระหรือเปล่า?”

พอฉันถามออกไปเงียบๆ แบบนั้น โทริโกะก็นิ่งเงียบไปพักนึงเลย

“…เก็บไปคิดด้วยเหรอเนี่ย?”

ก่อนที่เธอจะถามออกมาแบบนั้น

“…!”

จู่ๆ หน้าฉันมันก็ร้อนผ่าวขึ้นมาเลย แถมก็มาเริ่มรู้สึกว่าที่กอดโทริโกะอยู่แบบนี้มันน่าอายขึ้นมาด้วย ก่อนที่ฉันจะผละตัวเองออกมา

“ขอโทษที อารมณ์มันแปรปรวนนิดหน่อยน่ะ ก็เลย―”

ตอนที่ฉันพยายามจะขอโทษ โทริโกะก็ยื่นมือออกมา เริ่มบี้หน้าของฉันอีก

“ย- หยุดนะ! ทำอะไรของเธอเนี่ย!?”

ฉันตบมือของเธอออกไปแล้วหันขวับไปจ้องหน้าของโทริโกะ แต่เธอก็ยิ้มอย่างดีใจซะงั้น

“ฉันชอบดูตอนที่โซราโอะกำลังพยายามเต็มที่นี่นา”

“…ทำไมล่ะ?”

“ก็ ขนาดเรื่องที่ฉันคิดว่าไม่มีทางทำเองคนเดียวได้ เวลาอยู่กับเธอ มันก็รู้สึกว่าฉันน่าจะทำมันได้ขึ้นมาน่ะ”

เธอพูดออกมาง่ายๆ แบบนั้น ทำเอาฉันอึ้งจนพูดอะไรไม่ออกเลย น้ำตาที่เพิ่งจะสงบลงไปมันก็เริ่มจะเอ่อขึ้นมาอีกแล้วเนี่ย

นั่นมันคำพูดของฉันต่างหาก โทริโกะ

ฉันกำลังจะพูดแบบนั้น แต่จู่ๆ ก็มีเรื่องนึงรั้งฉันเอาไว้ก่อน

เอ๊ะ? ทำไมฉันรู้สึกเหมือนเพิ่งได้ยินอะไรแบบนี้มาเมื่อไม่นานนี้เอง…

ฉันหรี่ตาลงมองเธอ ก่อนจะถามออกไป

“…เพราะแบบนี้น่ะเหรอ เธอถึงได้สั่งอาหารมาเยอะกว่าที่เธอจะกินไหวทุกทีเลยน่ะ? เพราะต่อให้เธอกินเองไม่หมด ฉันก็จะพยายามเต็มที่ช่วยกินให้หมดงั้นสินะ?”

“โอ๊ะ…! เออ อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้นะ”

โทริโกะพูดพลางทำตาลอกแลก

เฮ้อ เธอนี่นะ…

เรื่องพวกนี้มันชักจะบ้าบอไปหมดแล้ว ฉันก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา

“เราเองก็… กลับกันได้แล้วล่ะ”

“อื้อ กลับกันเถอะ จะกลับทางไหนดีล่ะ?”

“พวกเราไม่ทันได้คิดเรื่องขากลับเอาไว้ซะด้วยสิ อย่างแย่ที่สุด จะใช้เกทตรงนี้ก็ได้นะ แต่เราก็คงจะต้องไปเจอกับกองกำลังสหรัฐอีกรอบนั่นแหละ มันก็…”

“คงจะอึดอัดสุดๆ ไปเลยล่ะนะ”

“นั่นสิ ลองสำรวจดูรอบๆ นี่ดูหน่อยแล้วกัน”

พวกเราเดินผ่านซากของคันคันดาระ ลึกเข้าไปในป่า

“นี่ เธออยากกินอะไรเลี้ยงฉลองหลังจบงานดีล่ะ?”

“ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะกินเลี้ยงไปเมื่อวานนี้เองเหรอ?”

“ก็นั่นมันสำหรับครั้งก่อนนี่นา แถมมันก็ไม่ใช่งานเลี้ยงหลังจบการเดินทางด้วย จำได้มั้ยล่ะ? นั่นมันการมาเจอตัวกันเพื่อทบทวนและสำนึกผิดต่างหาก”

“เอาเถอะ จะยังไงก็ช่าง… แต่ฉันไม่ได้มีเงินเหลือขนาดนั้นแล้วนะ กลับไปเมื่อไหร่ ต้องให้คุณโคซากุระซื้อหมวกใบนี้ไปจากฉันให้ได้เลย”

เราเดินอยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆ ช่วยกันหาเกทในป่ามืดทึบนี่ พลางพูดเล่นกันไปเรื่อยๆ ตามทาง

โดดมาที่บทสรุปเลยแล้วกัน พวกเรากลับมาที่บ้านได้อย่างปลอดภัย

พวกเราเจอเกทอีกอันนึงในป่าก่อนที่จะโดนตัวประหลาดจากโลกเบื้องหลังในตอนกลางคืนไล่กวด มันอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่จากตรงนั้นเท่าไหร่ แล้วพวกเราก็แอบกลับมาที่โลกเบื้องหน้าได้โดยที่ไม่ต้องไปเจอกับกองพันเพลฮอร์สอีกรอบด้วย

แต่ ถึงจุดๆ นี้เนี่ย ฉันก็ไม่เคยคิดเลยนะว่าฉันจะมาเพลิดเพลินกับชายหาดกลางแดดเปรี้ยงของรีสอร์ทในโอกินาว่าด้วยกันกับโทริโกะแบบนี้น่ะ