ตอนที่ 36 ช่างอึดอัดและหน้าด้านเหลือทน (2)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 36 ช่างอึดอัดและหน้าด้านเหลือทน (2)

ในฐานะหัวหน้าหมู่บ้าน เขาก็มีเหตุผลส่วนตัวเช่นกัน ยามนี้แม้หมู่บ้านหวังจยาจะยังไม่ถึงจุดวิกฤต แต่ความเป็นอยู่ของคนในหมู่บ้านก็นับว่าสาหัส เนื่องจากอาศัยเพียงแปลงผักหน้าบ้านและป่าเขาเพื่อดำรงชีวิตและล่าสัตว์เท่านั้น ไม่ได้ทำงานรับจ้างหาเลี้ยงชีพดังเช่นที่ผ่านมา

ทั้งหมดนี้เกิดจากภัยพิบัติเมื่อสิบปีก่อน หัวหน้าหมู่บ้านคนก่อนและเหล่าผู้อาวุโสได้ตัดสินใจขายนาข้าวทั้งหมดในหมู่บ้านให้แก่ตระกูลใหญ่แห่งหมู่บ้านหลี่แลกกับอาหารในช่วงฤดูหนาว

ทำให้หมู่บ้านไม่มีกำลังทรัพย์มากพอในการจ้างหมอหรืออาจารย์ได้อีก หลายคนต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อหารายได้เสริมเพื่อเลี้ยงปากท้อง หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป อนาคตของหมู่บ้านหวังจยาคงเข้าขั้นวิกฤต

ยามนี้หนิงเหนียงจื่อทำอาหารเลิศรสได้เช่นนี้ หากขายดีไปทั่วเมืองเทียนเซียง ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นโอกาสไถ่นาคืนของหมู่บ้านหวังจยาก็ได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ต้องการทำลายชื่อเสียงกิจการเต้าหู้ของนาง

“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านหัวหน้าหมู่บ้านและเหล่าผู้อาวุโสเดินทางมาเป็นธุระให้ในวันนี้ เชียนเสวี่ยยินดีนักที่ได้พบทุกท่าน” มั่วเชียนเสวี่ยหันไปหาท่านหัวหน้าหมู่บ้านและคณะพลางตอบรับอย่างสุภาพ จากนั้นก็หันไปผายมือทางสองสามีภรรยาตระกูลจ้าวพร้อมกับเอ่ยเสียงเย็นชา “แต่สำหรับของสกปรกสองชิ้นนั้น เห็นทีจะไม่ควรปล่อยให้เข้ามาข้างใน เซียนเซิงเขารักความสะอาดเป็นที่สุด หากปล่อยให้พวกเขาเข้ามาและทำให้บ้านสกปรก ข้าเกรงว่าเซียนเชิงจะไม่ชอบใจ”

เมื่อพวกเขากล้าแบกหน้ามา นางก็พร้อมแหก!

ชาวบ้านที่มามุงดูพลันนึกขึ้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อสิบวันก่อน จู่ๆ พวกเขาทั้งหมดก็ร่นถอยด้วยความรังเกียจ ราวกับกลัวว่ากลิ่นเหม็นเน่าจะติดเสื้อ

“เจ้า…” แม้ว่าอาซ้อจ้าวเอ้อร์จะเป็นคนหน้าหนา แต่ในเวลานี้นางกลับอับอายจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี

มั่วเชียนเสวี่ยเหลือบมองใบหน้าสองสามีภรรยาที่กำลังเดือดดาล พลางแช่งด่าในใจ สมน้ำหน้า!

นางหันไปอีกทางพร้อมกับเอ่ยต่อหัวหน้าหมู่บ้าน “เชิญท่านหัวหน้าหมู่บ้านและเหล่าผู้อาวุโสนั่งลงก่อน เชียนเสวี่ยขอออกไปรับแขกสักครู่”

ขณะพูดคุยกัน อาจ้าวและเสี่ยวฉีจื่อก็ได้เข้ามาภายในบ้าน มั่วเชียนเสวี่ยเพิกเฉยต่อความตื่นตระหนกของหัวหน้าหมู่บ้านและเหล่าผู้อาวุโส จากนั้นก็หันมาทักทายพวกเขาทั้งสอง

“อาจ้าว วันนี้ข้ามีธุระส่วนตัว เห็นทีต้องรบกวนทั้งสองช่วยนำเต้าหู้กลับเข้าเมืองไปก่อน ส่วนเรื่องเงินค่อยตกลงกันในครั้งต่อไป”

“หนิงเหนียงจื่อ หากมีเรื่องต้องการให้ช่วย คุณชายเจ็ดสั่งไว้…” อาจ้าวพูดพลางขมวดคิ้ว

“ไม่จำเป็น!” มั่วเชียนเสวี่ยพูดเด็ดเดี่ยว

“รีบนำเต้าหู้ไปเถิด หากมีเรื่องอันใดค่อยเจรจากันในวันรุ่งขึ้น อาซ้อกุ้ยฮวา…”

จากนั้นมั่วเชียนเสวี่ยจึงกำชับให้อาซ้อกุ้ยฮวาช่วยเหลือทั้งสองขนเต้าหู้ทั้งหมดขึ้นรถในทันที

ท่าทางของนางมุ่งมั่นเอาการเอางานและไม่มีทีท่าอิดออดแม้แต่น้อย

ในขณะนั้น จ้าวเอ้อร์ที่ต้องการก่อความวุ่นวายขึ้นอีกหนก็ต้องหยุดการกระทำลงเมื่อถูกสายตาของหวังเอ้อร์ห้ามปรามเอาไว้

หวังเอ้อร์เป็นผู้อาวุโสของที่นี่มายี่สิบปีแล้ว เขาปกครองคนที่นี่มานานแล้ว

เขารู้ทุกความคิดของหัวหน้าหมู่บ้านและจ้าวเอ้อร์

ต้องหลอกใช้จ้าวเอ้อร์ดู บางทีอาจจะทำให้ได้สูตรเต้าหู้นั่นมาและคงถึงคราวที่หมู่บ้านหวังจยาจะได้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง เขาลูบหนวดที่รุงรังพลางมองดูรถม้าของไป๋อวิ๋นจวีด้วยดวงตาเฉียบแหลมและแข็งกร้าวดั่งหินผา

แท้จริงอาจ้าวต้องการอยู่ซุ่มดูต่อ เพื่อประเมินสถานการณ์และรอโอกาสที่จะช่วยเหลือมั่วเชียนเสวี่ย

มั่วเชียนเสวี่ยรู้ว่าอาจ้าวคิดอะไรอยู่ นางจึงรอจนกว่าเต้าหู้จะถูกบรรจุเข้าไปในรถจนหมดสิ้น นางตบไปที่ก้นม้าทีหนึ่ง ม้าตกใจตะเบ็งเสียงร้องออกตัวไปทันที อาจ้าวจนปัญญา ทำได้เพียงคุมบังเหียนแล้วขับรถม้าจากไป ซึ่งภาพสุดท้ายที่เขาเห็นคือภาพที่มั่วเชียนเสวี่ยกำลังโบกมืออำลา

สตรีผู้นี้ช่างไม่รู้ดีรู้ชั่ว คุณชายเจ็ดมีเมตตาอยากปกป้องนาง เขารู้สึกเสียดายแทนคุณชายเจ็ด นี่มันไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย เขาจึงไม่ลังเลและควบรถม้าจากไป

หลังจากส่งรถออกไปแล้ว อาซ้อฟางที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนโผล่หน้าออกมา แล้วเดินไปอยู่ข้างประตูให้ห่างจากผู้คน พยักหน้าให้มั่วเชียนเสวี่ยเพื่อบอกกลายๆ ว่านางจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว

มั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะเย็นชา ดวงตาอาฆาตหันหลังกลับไปในตัวบ้าน พลางเริ่มชี้แจงเรื่องราว “ท่านหัวหน้าหมู่บ้านและเหล่าผู้อาวุโสทุกท่าน เชียนเสวี่ยเพียงต้องการทราบว่าการสร้างความปั่นป่วนของสองสามีภรรยาในเช้าวันนี้ พวกเขามีจุดประสงค์อะไรกันแน่”

“จะ เจ้า! เราสองผัวเมียก็มาร้องขอความเป็นธรรมอย่างไรล่ะ ไม่ได้มีจุดประสงค์แอบแฝงอย่างที่เจ้าคิด”

“จริงหรือ ความยุติธรรม? อาซ้อยังมีคำว่ายุติธรรมอยู่ในใจอีกหรือ แล้วเรื่องนี้จะแก้ปัญหาอย่างไร พวกเจ้าถึงจะคิดว่ามันยุติธรรมเล่า”

เมื่อเห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยอ่อนข้อให้ง่ายเช่นนี้ จ้าวเอ้อร์เดาทางไม่ถูก แต่หากเนื้อกำลังจะเข้าปากอยู่แล้ว จะปล่อยไปเช่นนี้ได้อย่างไร “เจ้าต้อง…ต้องคุกเข่า โขกศีรษะขอโทษพวกเราต่อหน้าคนทั้งหมู่บ้าน พร้อมกับชดเชยค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินสิบสองตำลึง เพื่อให้พวกข้าบำรุงร่างกาย เจ้ายังต้องนำวิธีลับในการทำเต้าหู้ออกมาเปิดเผยว่าแท้จริงแล้วมีสิ่งแปลกปลอมหรือไม่ ถือเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับทุกคนในหมู่บ้านด้วย”

คุกเข่า? โขกศีรษะขอโทษ? ไหนจะชดใช้ค่าเสียหายแล้วนี่ยังต้องเปิดเผยสูตรอีก

สติเลอะเลือนนัก พูดจาเช่นนี้ไม่กลัวลิ้นจุกคอหรือไง!

ใบหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยพลันเย็นชา “นี่เป็นความเห็นของหัวหน้าหมู่บ้านและเหล่าผู้อาวุโสหรือ”

จะบีบหนองเน่าทิ้งก็ต้องขจัดให้สิ้นซาก! วันนี้นางจะตอกหน้าความผิดของพวกเขาให้หน้าหงายกันไปข้าง

ครั้นเห็นทีท่าของมั่วเชียนเสวี่ย หัวหน้าหมู่บ้านจึงชั่งใจในคำถามเมื่อครู่ พลันเปลี่ยนความคิด ไม่ได้ตอบนางแม้แต่คำเดียว

เมื่อหวังเอ้อร์เห็นว่าเขาไม่พูดอะไร เหล่าผู้อาวุโสคนอื่นๆ จึงมองมาที่เขาเพื่อขอความเห็น มือข้างหนึ่งลดปล้องยาสูบลงพลางพูดขึ้น “ที่จ้าวเอ้อร์กล่าวมาก็เพื่อขจัดความสงสัยในตัวของหนิงเหนียงจื่อ ข้าว่า เรื่องคุกเข่าโขกศีรษะขอโทษนั้นคงไม่ต้อง ในเมื่ออาจารย์หนิงนั้นยังสอนอยู่ที่โรงเรียน ก็ต้องไว้หน้ากันบ้าง เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน เพื่อเป็นการขอโทษชาวบ้านที่นี่ ขอให้หนิงเหนียงจื่อชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ส่วนสูตรทำเต้าหู้นั้น ข้าว่าเอาออกมาให้พวกข้าได้ดูด้วยก็ดี จะได้รู้ว่ามีอะไรที่ไม่ควรมีหรือไม่”

เขาไม่ได้ให้โอกาสนางได้พิสูจน์ความจริง มิหนำซ้ำยังกล่าวหาและชี้โทษในสิ่งที่ไม่เป็นความจริงอีกด้วย ว่าตามตรงท่านหวังเอ้อร์ผู้นี้แท้จริงก็อยากได้สูตรทำเต้าหู้ของนางนี่เอง!

เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยเห็นข้อเท็จจริงประจักษ์แล้ว ไม่ได้ร้องเต้นหาความเป็นธรรมแต่กลับคอยตะล่อมอย่างระมัดระวัง “เช่นนั้น ท่านจะบอกว่าพวกท่านเชื่อคำพูดของจ้าวเอ้อร์อย่างนั้นหรือ ท่านคิดว่าเต้าหู้ที่ข้าทำนั้นมีปัญหาจริงๆ?”

หลี่ปากล่าวตอบ “ทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ หากยืนกรานว่าตนบริสุทธิ์ ก็นำออกมาพิสูจน์ หึ นี่ก็แค่สูตรทำเต้าหู้…”

ไร้ยางอายไปหน่อยล่ะมั้ง บรรดาบุรุษผู้มากบารมีรวมหัวกันบีบบังคับเด็กสาวตัวเล็กอายุอานามเพียงสิบสี่สิบห้า

“ท่านหัวหน้าหมู่บ้านก็มีความคิดเห็นเช่นนั้นหรือ” สายตาของมั่วเชียนเสวี่ยสะกดให้คนถูกถามไม่อาจหลีกหนีได้

หัวหน้าหมู่บ้านกระแอมไออย่างเก้อเขิน เขามักจะให้ความเป็นธรรมกับทุกคนเสมอและคำพูดของเขาก็ถือเป็นอำนาจสูงสุดในหมู่บ้าน เหตุใดบัดนี้กลับต้องพบเจอภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้

ภรรยาของเขาเคยพูดไว้ว่า กริยาท่าทางของอาจารย์หนิงและความคิดอ่านของหนิงเหนียงจื่อนั้นไม่เหมือนคนทั่วไป ให้เขาโอนเอียงมาฝั่งตระกูลหนิงบ้าง แต่ตอนนี้ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงอนาคตของหมู่บ้าน ยังมีเหล่าผู้อาวุโสทั้งสี่ที่ละโมบโลภมากล้อมอยู่ด้วย เขาจโอนเอียงได้อย่างไร

หลังจากกระแอมไอออกมา เขาก็จิบน้ำตามแต่อาการไอกลับดูมีท่าทีรุนแรงขึ้น ฟางอู่ที่นั่งถัดจากเขาจึงเอ่ยขึ้นพลางชี้ไปที่มั่วเชียนเสวี่ย “นางคนโง่เขลา กล้าดีอย่างไรถึงเสียมารยาทกับหัวหน้าหมู่บ้านเช่นนั้น ดูเจ้าทำให้เขาโกรธจนไอหนัก”

หวังเอ้อร์หน้านิ่วคิ้วขมวด ดูเหมือนว่าหลานชายผู้นี้จะต้องการผดุงความยุติธรรมจนเกินเหตุ ในยามนี้จะถามหาความยุติธรรมก็คงจะยาก เขายังเด็กอ่อนประสบการณ์นัก เห็นทีหากจะต้องให้ตัดสินใจคงจะไม่ได้ เช่นนั้นเขาที่ถือเป็นผู้ใหญ่กว่าต้องคงออกโรงแทนเสียแล้ว “หนิงเหนียงจื่อ อย่าน้อยใจไปเลย อันที่จริงพวกข้าก็ทำเพื่อตัวเจ้าเองเช่นกัน ขอเพียงเจ้านำสูตรเต้าหู้ออกมาเปิดเผยให้เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายได้พิจารณาก็นับว่าเพียงพอแล้ว”

“หากข้าไม่ยินยอมเปิดเผยเล่า”

“เจ้ากล้าหรือ!” จ้าวเอ้อร์ครั้นเห็นว่าหัวหน้าหมู่บ้านนิ่งเงียบ ทั้งเหล่าผู้อาวุโสก็เห็นดีเห็นงามสนับสนุนเขาจึงได้ใจยิ่งนัก

มั่วเชียนเสวี่ยจ้องมองที่จ้าวเอ้อร์อีกครั้ง “คนไร้ยางอาย เจ้าไม่คู่ควรจะมาพูดกับข้าเสียด้วยซ้ำ!”