ตอนที่ 37 สาดโคลน

ละครก็ดำเนินเรื่องได้มาประมาณหนึ่งแล้ว สีหน้าและความคิดของทุกคนก็กระจ่างแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยไม่ต้องการยื้อแย่งอีก กล่าวขึ้นว่า “ท่านหัวหน้าหมู่บ้านและเหล่าผู้อาวุโสทุกท่าน ข้าขอเบิกตัวพยาน! ใครถูกใครผิดหากสอบถามแล้วคงได้รู้ หากท้ายที่สุดพวกท่านยังยืนกรานว่าข้าเป็นคนผิด เชียนเสวี่ยก็จะขอน้อมรับข้อกล่าวหาไม่ว่ากรณีใดๆ!”

หัวหน้าหมู่บ้านล้มเลิกความตั้งใจที่จะควบคุมสถานการณ์ไปนานแล้ว เขาดื่มชาทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวราวกับว่าไม่ได้ยินอะไร

หวังเอ้อร์เหล่มองไปทางจ้าวเอ้อร์ “เช่นนั้น…”

จ้าวเอ้อร์ผู้นี้ดูไม่น่าเชื่อถือนัก หากไพ่ในมือของมั่วเชียนเสวี่ยเหนือกว่าจริงๆ ทิศทางลมก็จะแปรเปลี่ยน จะกลับลำเรือไม่ทันการณ์แล้ว

ครั้นจ้าวเอ้อร์ที่เห็นท่าทีปกป้องเขาอย่างชัดเจนของหวังเอ้อร์ จึงตะโกนขึ้น “สอบถามตอนนี้จะไปมีประโยชน์อะไร ทั้งเรื่องก็ผ่านมาหลายวันแล้วและสิ่งที่กินเข้าไปตอนนั้นก็…”

สีหน้ามั่วเชียนเสวี่ยเย้ยหยัน “อะไรกัน แค่ได้ยินว่าเบิกตัวพยานเพื่อสอบถาม เจ้าก็กลัวแล้ว? หากเจ้าไม่ผิดจะไปกลัวอะไรเล่า”

เมื่อถูกมั่วเชียนเสวี่ยเยาะเย้ย เขาจึงยืดคอตรงพลางเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน “แน่จริงก็เอาพยานมา ข้าไม่กลัวหรอก”

“ท่านผู้อาวุโส เช่นนี้…”

“ในเมื่อจ้าวเอ้อร์ไม่ปฏิเสธและหากเจ้ามีพยานจริงก็เรียกมาเถิด”

“อาซ้อฟาง…”

“ท่านผู้อาวุโส คำพูดของสตรีผู้นี้เชื่อถือไม่ได้!” อาซ้อจ้าวเอ้อร์กำลังนอนคร่ำครวญอยู่บนพื้นเมื่อครู่ จู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นตระหนก “ใครบ้างที่ไม่รู้ว่ายามนี้นางตกเป็นสุนัขรับใช้ของตระกูลหนิงไปแล้ว”

เรื่องที่นางขโมยเนื้อวัวในวันนั้น แม้ดูเหมือนจะไม่มีใครอยู่ในลานบ้าน แต่อาซ้อฟางเป็นเพื่อนบ้านของหนิงเหนียงจื่อ ไม่แน่ว่านางอาจเห็นเหตุการณ์ก็ได้

“ถุย! คนไร้ยางอายเช่นเจ้าน่ะสิที่เป็นสุนัขรับใช้” อาซ้อฟางเดินออกมาพร้อมกับเด็กชายสองคนที่ด้านหลัง ถ้อยคำเย้ยหยันถูกเอ่ยออกมา “เปิดตาสุนัขของเจ้าให้กว้าง ดูให้ชัดว่าพยานคือใคร”

อาซ้อจ้าวเอ้อร์จ้องมองไปที่ลูกชายทั้งสองของตนพลางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้าเด็กสองคนนี้นี่ พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่”

มั่วเชียนเสวี่ยจึงตอบกลับ “แน่นอนว่าต้องมาเป็นพยาน สิ่งที่พวกเจ้ากินเข้าไปในวันนั้น คนอื่นอาจไม่รู้ แต่เด็กสองคนนี้ต้องรู้อย่างแน่นอน ดังนั้นเด็กสองคนนี้จึงเหมาะจะเป็นพยานที่สุด ท่านหวังเอ้อร์เห็นด้วยหรือไม่…”

“แน่นอนว่าพวกเขาเหมาะสม” ครั้นเห็นว่าเป็นเด็กสองนี้ หวังเอ้อร์จึงรู้สึกโล่งอก

ด้านจ้าวเอ้อร์ที่กลัวว่าลูกของตนจะทำเสียเรื่อง จึงหรี่ตาลงพลางเอ่ยย้ำเตือน “เรื่องในวันนั้นก็ผ่านมานานแล้ว ลูกทั้งสองจะจำได้อย่างไรว่าพวกเราทั้งสี่คน ‘กินเต้าหู้’ ด้วยกัน สวรรค์คุ้มครอง โชคดีที่พวกเขากินไปเพียงเล็กน้อยจึงทำให้ไม่เป็นอะไรมาก ไม่เช่นนั้นข้าคงจะเอาเรื่องเจ้าให้หนักกว่านี้”

จ้าวต้าเฟยอายุย่างเข้าสิบสองขวบแล้ว รูปร่างไม่สูงใหญ่ กลับเป็นลูกศิษย์ของอันธพาลอย่างหลี่ไคสืออีก เขาเพิกเฉยต่อท่าทีขยิบตาและคำกล่าวเตือนของผู้เป็นพ่อ สองเท้าก้าวไปข้างหน้า “พ่อ ข้ากับน้องได้กินเต้าหู้ในวันนั้นก็จริง แต่พ่อกับแม่กินเนื้อวัวชัดๆ”

เดิมทีจ้าวต้าเฟยไม่พอใจที่พ่อแม่ของเขากินเนื้ออันแสนหอมหวานในวันนั้นโดยไม่ยอมแบ่งให้เขาได้ลิ้มลอง จากนั้นก็เกิดเรื่องน่าอับอายจนเขาไม่กล้าไปสู้หน้าใคร เมื่อใดก็ตามที่ออกจากบ้านก็มีแต่ถูกผู้คนหัวเราะเยาะ เขาเบื่อหน่ายเต็มทีแล้ว เป็นเพราะพวกเขา เขาจึงต้องทนอับอายขายขี้หน้าเช่นนี้

สิ่งที่เด็กทั้งสองเคยถูกพร่ำสอนมาตั้งแต่ยังเล็กคือทำอย่างไรจึงจะได้เปรียบผู้อื่น จะไปรู้จักความกตัญญูได้อย่างไร ยามนี้เขากำลังพูดความจริง จึงไม่ได้รู้สึกว่าตนทำอะไรผิด อาซ้อฟางได้ให้คำสัญญาไว้ว่าหากเขาพูดความจริง เขาย่อมได้ประโยชน์ จ้าวต้าเฟยรู้สึกไม่สบอารมณ์กับพ่อแม่มานานแล้ว อีกอย่างในตอนนี้เขาก็กำลังขาดเงินอยู่ด้วยสิ

“เจ้าเด็กบ้า เจ้าพูดบ้าอะไร” จ้าวเอ้อร์ตะลึงงัน สีหน้าของหวังเอ้อร์ก็เปลี่ยนไป

อาซ้อจ้าวเอ้อร์ที่ได้ยินคำสารภาพของลูกชายก็พลันตัวสั่น “เขายังเด็ก ไม่รู้ความ พูดซี้ซั้วน่ะ…”

มั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะเสียงเย็นขัดขึ้น “ข้าคิดว่าท่านต่างหากที่กำลังพูดซี้ซั้ว”

นางทำงานอยู่ในห้างสรรพสินค้ามาหลายปี จะสู้รบโดยไม่มีแผนออกรบได้อย่างไร

อาซ้อจ้าวเอ้อร์นั้น หากเสียเปรียบเล็กน้อยก็จะโวยวาย แต่ไม่นึกว่าจะโลภและคิดร้ายได้มากถึงเพียงนี้ ถึงขั้นต้องการให้มั่วเชียนเสวี่ยคุกเข่า โขกศีรษะลงบนพื้น ชดใช้ด้วยเงิน เผยสูตรทำเต้าหู้ สูญเสียชื่อเสียง…

มั่วเชียนเสวี่ยได้สืบเรื่องสองสามีภรรยาแซ่จ้าวนี้มาแล้วตั้งแต่ต้น แผนทุกอย่างจึงถูกตระเตรียมไว้เป็นอย่างดี ตอนแรกรู้สึกว่าการให้ลูกชายของพวกเขามาเป็นพยานให้เช่นนี้อาจดูโหดร้ายไปหน่อย แต่ดูเหมือนว่า ยังไม่สาสม!

คงไม่มีอะไรเจ็บปวดไปกว่าการถูกประจานโดยคนที่ตนเลี้ยงดูมา หลังจากที่สองสามีภรรยาตก ตะลึง เมื่อได้สติพวกเขาจึงรุมตีและดุว่าจ้าวต้าเฟยยกใหญ่

จ้าวต้าเฟยที่นึกสนุกในตอนแรก ยิ่งถูกตีและโดนดุด่ามากเท่าใด เขาก็ยิ่งพูดแต่เรื่องดีๆ น้อยลง เท่านั้น อย่างเช่นเรื่องย่องลักขโมยหรือนิสัยใจไม้ไส้ระกำของพ่อแม่ตนเอง หรือไม่ก็เรื่องเหลวแหลกที่เคยเกิดขึ้นในครอบครัว ในวันนี้เขาทุกเรื่องถูกเขาแฉจนหมดเปลือก

ยามใดที่แฉจบไปหนึ่งเรื่อง ก็เกิดเสียงวิจารณ์เซ็งแซ่

“จ้าวเอ้อร์นี่เองที่เป็นคนทำ…”

“เมียจ้าวเอ้อร์นี่ช่างไร้ยางอายจริงๆ นางขโมยสิ่งนั้นไปแท้ๆ ตอนนั้นให้ตายก็ไม่ยอมรับผิด…”

ปลูกฟักได้ฟัก ปลูกถั่วได้ถั่ว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มั่วเชียนเสวี่ยมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าพลางยกยิ้มอย่างเลือดเย็น

หวังเอ้อร์โกรธจนตัวสั่น “หุบปาก!”

หลังจากหยุดการกระทำของทั้งสามคนได้แล้ว เขาจึงหันหน้าไปเอ่ยย้ำกับบุตรชายคนเล็กของจ้าวเอ้อร์ “เสี่ยวเฟย บอกปู่รองมาตามตรงว่าในวันนั้นพวกเจ้าทั้งสี่คน ‘ได้กินเต้าหู้’ ด้วยกันหรือไม่” น้ำเสียงเน้นย้ำสี่เป็นการตักเตือนอย่างชัดเจน

น่าเสียดายที่จ้าวเสี่ยวเฟยผู้นี้ยังเด็ก ครั้นถูกหวังเอ้อร์ถามเช่นนี้ ตกใจจนพรั่งพรูความจริงออกมาจนหมด…

“ท่านปู่รอง พี่ชายของข้าและข้าได้กินเต้าหู้ในวันนั้นจริงขอรับ แต่พ่อและแม่กินเนื้อวัวต่างหาก…เนื้อนั่น…หอมมากขอรับ” เขาจำได้ชัดเจนว่ากลิ่นของมันเย้ายวนเพียงใด แม้อยากจะลิ้มลองแต่ก็ต้องถูกบิดาตีมือด้วยตะเกียบเสียก่อนและมันก็เจ็บแสบมากด้วย

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เรี่ยวแรงที่มีของหวังเอ้อร์พลันเหือดหายไปในพริบตา

หากมีเพียงจ้าวต้าเฟยที่พูดเช่นนั้น ก็พอมีทางออกบ้าง แต่นี่ลูกชายคนเล็กก็พูดตรงกันกับพี่ชาย พยานให้การตรงกันเช่นนี้ คำให้การจึงหนักแน่นดั่งขุนเขา

“ท่านหัวหน้าหมู่บ้านและเหล่าผู้อาวุโส พวกท่านก็เห็นแล้วว่าโรคโสโครกที่พวกเขาทั้งสองได้รับนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเต้าหู้แต่อย่างใด”

เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป หวังเอ้อร์จึงโบกมือพร้อมกับตะโกนใส่สองสามีภรรยาตระกูลจ้าว “เรื่องราวยังไม่ทันกระจ่างก็มาโวยวายเช่นนี้ ยังไม่รีบขอโทษหนิงเหนี่ยงจื่ออีก แล้วไปให้พ้นหน้าข้าบัดเดี๋ยวนี้…”

อยากจบเรื่องง่ายๆ เช่นนี้หรือ ไม่มีทางเสียหรอก!

มั่วเชียนเสวี่ยส่งสายตาเย็นเฉียบ หยุดคำพูดของหวังเอ้อร์ไว้ “ช้าก่อน เชียนเสวี่ยไม่เข้าใจอยู่เรื่องหนึ่ง ท่านหัวหน้าหมู่บ้านและผู้อาวุโสได้โปรดชี้แนะ”

หวังเอ้อร์เห็นว่าตนไม่สามารถได้ผลประโยชน์จากเรื่องนี้แล้ว ตอบอย่างรำคาญ “เรื่องใดรึ”

มั่วเชียนเสวี่ยเปิดปากพูด “สามีข้าร่างกายไม่แข็งแรงนัก ทุกท่านก็รู้เรื่องดี ในวันนั้น ข้าได้รบกวนคนจากไป๋อวิ๋นจวีให้ซื้อเนื้อวัวกับยาบำรุงมาให้ด้วย เพราะอยากนำมาตุ๋นให้สามีกินบำรุงร่างกาย ปรากฎว่าเนื้อนั่นกลับอันตรธานไม่เหลือร่องรอย คืนนั้นบ้านจ้าวเอ้อร์บังเอิญกินเนื้อวัว…อืม ข้าแปลกใจเหลือเกินว่าเนื้อวัวที่พวกเขากินนั้นมาจากไหนกันนะ…”

น้ำเสียงของนางนั้นเย็นยะเยือก แต่กลับดังชัด ไม่หลงเหลือความอ่อนโยนแบบฉบับหญิงสาว ทำให้ดูมีอำนาจให้ผู้คนตระหนก หวังเอ้อร์ตะลึงงัน ทำตัวไม่ถูกทันที

ทุกคนต่างรู้ดีกว่าวัวถูกใช้ไถนาบังคับเกวียน ค่าตัวแพงดั่งทองคำ ชาวบ้านในชนบทหากไม่ถึงที่สุด คงไม่มีใครนึกฆ่าวัวกินง่ายๆ อีกทั้งทางการยังไม่ให้ฆ่าวัวโดยพลการ ดังนั้นเนื้อวัวในท้องตลาดส่วนใหญ่แล้วมาจากโรงเชือดของทางการทั้งนั้น จะหาซื้อง่ายๆ ได้อย่างไร