บทที่ 27 นางโมโหแล้ว

แม้ว่าการขัดขวางของหลานเยาเยา สำหรับพระราชธิดาจาวหยางที่กำลังอยู่ในความปลื้มปีติยินดีนั้นอาจเหมือนกับการถูกตีแสกหน้า

แต่บนหน้านางเผยรอยยิ้มบาง ๆ ส่ายหน้าให้กับพระราชธิดาจาวหยางก่อนกล่าวขึ้นว่า

“มิใช่เช่นนั้น!”

คำตอบเช่นนี้ทำให้แววตาอันหมองหม่นของพระราชธิดาจาวหยางเปล่งประกายขึ้นอีกหน จากนั้นมองนางอย่างไม่เข้าใจ รอคอยให้นางกล่าวต่อไป

“วันนี้เป็นวันแรกของการรักษา แสงสว่างในห้องนี้หม่นกว่าแสงข้างนอกมาก แสงสว่างที่แรงกล้าเกินไปมิสามารถสัมผัสได้โดยตรงเป็นการชั่วคราว เพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น”

กล่าวจบ ก็หันศีรษะไปทางจื่อซี

“ของที่ข้าให้เจ้าไปเตรียมไว้ล่ะ”

“คาดว่าน่าจะใกล้เสร็จแล้วขอรับ!” มีชุดคลุมที่ทำไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่จำเป็นต้องปรับให้ดีขึ้นอีกสักหน่อย ช่วงเวลายามนี้น่าจะใกล้เสร็จสมบูรณ์เต็มทีแล้ว

เพิ่งจะพูดจบ ซิ่วเหนียง นางหนึ่งก็ถือเสื้อเข้ามาอย่างเร่งรีบ

ขณะพระราชธิดาจาวหยางสวมชุดคลุม ใส่ถุงมือหนัง รวมถึงสวมหมวกคลุมศีรษะเดินออกไปจากห้องด้วยความระมัดระวังนั้น ครู่ต่อมาก็มีเสียงอันปีติของนางลอยมาจากกลางสวนดอกไม้

หลานเยาเยายืนมองนางจากริมทางเดินหิน ที่มุมปากมีรอยยิ้มจาง ๆ

เห็นได้ชัดว่าวัยพอ ๆ กันกับนาง ครั้งแรกที่พบนางนั้น มีความเป็นผู้ใหญ่สุขุมมากเสียจนดูไม่มีชีวิตชีวา ทว่ายามนี้ดูเหมือนกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวเด็กน้อยก็มิปาน เต็มไปด้วยความกระฉับกระเฉงแจ่มใส

“นางจะเป็นเช่นนี้ได้นานสักเพียงใด”

เสียงทุ้มกังวานพลันดังขึ้น อีกทั้งเสียงนั้นยังอยู่ใกล้นางมากอีกด้วย ทำให้นางขนลุกซู่ทั้งตัว หันศีรษะมองดูในทันใด มิรู้ว่าเย่แจ๋หยิ่งมายืนอยู่ข้างกายนางตั้งแต่ยามใดกัน

“ฮึ! ข้ากับท่านสนิทกันมากหรือ”

กล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปด้วยท่วงท่าสง่างามเป็นที่สุด

เย่แจ๋หยิ่งยืนมองนางเดินจากไปไกล สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่ที่มุมปากนั้นกลับยกขึ้นเล็กน้อย

จื่อซีก้าวเท้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“เจ้านาย จะปล่อยให้หลานเยาเยาจากไปเช่นนี้เลยหรือ”

“เฮอะ นางหนีไม่พ้นเงื้อมมือข้าหรอก” เย่แจ๋หยิ่งหรี่ตาลงเล็กน้อย น้ำเสียงทุ้มต่ำเสียยิ่งกว่าเดิม จากนั้นพลันกล่าวขึ้นอีกหนว่า “นับตั้งแต่วันรุ่งขึ้นให้เคลื่อนย้ายองครักษ์ลับมายัง ลานน่อนซิน ทุกวันให้วางตั๋วเงินจำนวนห้าร้อยตำลึงไว้บนโต๊ะ แล้วเขียนสองคำบนนั้นว่า เบี้ยรักษา จนกระทั่งจาวหยางฟื้นจากอาการป่วย”

ความหลงใหลในทรัพย์เป็นจุดอ่อนของนาง ไม่เชื่อหรอกว่านางจะไม่ติดกับ

ยามที่หลานเยาเยาออกไป นางไม่ได้ปีนกำแพงออก แต่เดินกร่างผ่านประตูหน้าออกไปเลย

ระหว่างทางได้พบเจอกับองครักษ์ลาดตระเวน เดิมทีพวกเขาลาดตระเวนกันอย่างตั้งอกตั้งใจ ทว่าหลังจากเห็นนางแล้ว แต่ละคนล้วนมองมาที่นางด้วยสายตาอันร้อนแรง กระตือรือร้นจนนางละลายไปท่ามกลางสายตาของพวกเขา จึงได้หลบหลีกออกมา

เมื่อเริ่มแรกนางรู้สึกยินดี นึกว่าเหล่าองครักษ์หลงใหลไปกับหน้าตาอันสะสวยของนาง!

ทว่าถัดจากนั้น เมื่อเห็นสาวใช้ที่เดินผ่าน สายตาของพวกนางเหมือนกับสายตาของเหล่าองครักษ์โดยสิ้นเชิง นางทำใจให้สงบนิ่งไม่ได้แล้ว

บุรุษมองนางเช่นนั้น นางยังยอมรับได้ ทว่าสตรีมองนางเช่นนั้น นางรู้สึกว่าออกจะเกินไปสักหน่อยแล้ว!

ทว่า!

เมื่อเดินถึงประตูบานใหญ่ นางถึงขั้นทรุดลง

เพราะในยามนี้ นางมองเห็นผู้อาวุโสวัยเกินกว่าห้าสิบปีผู้หนึ่งกลับมาที่จวนอย่างเร่งรีบ ปากรำพึงรำพันว่า “มาทันแล้ว มาทันแล้ว”

จากนั้นก็ใช้สายตาที่ร้อนแรงจับจ้องพลางยิ้มให้นาง แล้วยังทำท่าทีเชื้อเชิญนางอีกด้วย

“ฮ่าฮ่า!”

นางยิ้มตอบเสียงหัวเราะนั้นอย่างฝืน ๆ ในทันใด จากนั้นรีบเร่งฝีเท้า เดินออกไปอย่างรวดเร็ว

พอนางจากไปไกล ผู้อาวุโสก็หุบยิ้มลง ผงกศีรษะอย่างเงียบเชียบ ลูบเคราที่หงอกของตน

ทันใดนั้น ร่างคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นที่ข้างกายเขา ถามอย่างข้องใจว่า

“พ่อบ้านเหมย เหตุใดท่านอ๋องจึงสนใจเจ้าลิงน้อยนั่นนะ” นางรูปร่างไม่ได้ดีอันใด หน้าตาก็ไม่ได้สะสวย แม้กระทั่งสาวใช้ นางยังสู้มิได้เลยสักคน!

ยามที่จื่อซีพูดเขายังมิอยากเชื่อ

เหตุใดเย่แจ๋หยิ่งจึงสนใจสตรีที่ผอมเป็นลิงนางนั้น ทั้งยังใช้กำลังข่มขืนนางอีกด้วย

ประหลาดสิ้นดี!

ทว่า!

ยามที่เขาไปดูพระราชธิดาจาวหยาง กลับเห็นเย่แจ๋หยิ่งยืนอยู่ข้างเจ้าลิงน้อย ทั้งยังอยู่ใกล้กันมาก ใกล้จนไหล่และหลังจวนจะชนกันอยู่แล้ว

อดที่จะไม่เชื่อมิได้ เพียงแต่ในใจนั้นไม่เข้าใจจริง ๆ

“ความคิดของท่านอ๋องกระหม่อมจะไปเข้าใจได้เช่นไร คุณชายเหลียงเฉินเป็นเพื่อนที่เติบโตมาด้วยกันกับท่านอ๋อง หรือว่าตัวท่านเองก็มิอาจเข้าใจได้”

“เฮอะ! เข้าใจเช่นนั้นหรือ เเย่แจ๋หยิ่งที่ข้ารู้จักนั้นใจอำมหิตไร้ปรานี มองทุกสรรพสิ่งบนโลกด้วยความเหยียดแคลน อีกทั้งตั้งแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเข้าใกล้สตรีนางใด”

แลดูในจวนของเขา แม้แต่เหล่าสนมสาวใช้นั้นก็หามีไม่ เป็นพระสงฆ์ผู้ทรงคุณวุฒิดี ๆ นี่เอง!

เหตุใดจึงได้ขืนใจสตรีที่มิงดงามนางหนึ่งขึ้นมาอย่างกะทันหันได้เล่า

ไม่สมควรเป็นเช่นนี้เลย!

พ่อบ้านเหมยพยักหน้า

เขาเองก็คิดเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นเขาจะรีบกลับมาดูว่าสตรีผู้นี้คือใครด้วยความวิตกกังวลหรือ

ทว่า!

แม้ว่าไม่รู้ว่าหลานเยาเยามีดีที่ใด แต่เขาก็ถูกชะตากับนาง ถูกชะตาเป็นอย่างยิ่ง ก็เพียงเท่านั้นเอง

——

อย่างไรก็ตาม หลังหลานเยาเยาจากไปแล้ว ก็ไม่เคยปรากฏตัวขึ้นอีกเลยเป็นเวลาหลายวันติดต่อกัน ทำให้จื่อซีร้อนใจยิ่งนัก

เพราะนับตั้งแต่วันนั้น พระราชธิดาจาวหยางแม้ว่าจะมิได้ล้มป่วย แต่เพียงแค่ออกมาข้างนอกก็จะหมดสติไป แม้ว่าเขาจะจำวิธีการฝังเข็มเงินและลำดับจุดฝังเข็มของหลานเยาเยาได้อย่างแจ่มแจ้ง ทว่ากลับไม่ได้มีผลอันใดมากนัก

อย่างไรก็ดี คนที่เป็นกังวลนั้นมิได้มีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น!

หลานเยาเยาที่อยู่ในวัดแห่งหนึ่งที่ห่างไกลนอก เมืองหลวง ออกไป นั่งคุกเข่าอย่างสงบนิ่งบนที่ปูรอง ทว่าในใจนั้นราวกับโดนแมวข่วน ทุกข์ร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง

เพียงเพราะว่าวันนั้นโมโห จึงลืมหยิบเงินค่ารักษาที่เพิ่มอีกเป็นเท่าตัวของนางไปเสียสนิท!

ยามนี้ในใจรำพึงคะนึงถึงตั๋วเงินเหล่านั้น

“เยาเยา คิดอันใดอยู่หรือ ทำไมยังไม่มาจุดธูปอีก”

หลานเฉินมู๋นำธูปสามดอกปักไว้ในกระถางธูป หันศีรษะกลับมาพบว่าหลานเยาเยายังไม่ลุกขึ้น อดรู้สึกไม่พอใจนางมิได้

หากมิใช่เพราะในช่วงหลายวันมานี้นิ่งซื่อต้องกลับไปทำธุระที่บ้านเกิด และชิวหยุนถูกกักตัวทำโทษอยู่แล้วล่ะก็ เขาคงจะไม่พานางมาที่นี่เป็นแน่

“อืม!”

หลานเยาเยาตอบรับเสียงเบา ก่อนลุกขึ้นมา รับธูปที่เจ้าอาวาสยื่นมาให้จากด้านข้าง แล้วเดินไปยังหน้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ปักธูปลงในกระถาง

หลังออกมาข้างนอก หลานเฉินมู๋กล่าวกับนางว่า

“พักอยู่ที่นี่ให้สบาย เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นค่อยกลับไป!”

กล่าวจบ ไม่รอฟังความเห็นนาง ก็สาวเท้ายาวเดินจากไป

ประหลาดจริง

ทุกปีหลานเฉินมู๋จะมายังที่แห่งนี้ และทุกครั้งจะพาครอบครัวมาด้วย บอกกับผู้อื่นว่าภูมิลำเนาเดิมของชาติตระกูลตนนั้นอยู่ไกลเกินไป จึงมาเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่นี่

เพราะการกระทำเช่นนี้ เขาจึงได้รับคำชื่นชมจากเหล่าชาวบ้าน

ทว่า!

ที่จวนนั้น ก่อสร้างศาลบรรพชนไว้อยู่แล้วแท้ ๆ ยิ่งไปกว่านั้น เขาจะไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่ศาลบรรพชนก็เฉพาะแต่ช่วงเทศกาลเช็งเม้งเท่านั้น เหตุใดจึงต้องมายังที่แห่งนี้เพื่อเสแสร้งแกล้งทำเล่า

เห็นแผ่นหลังหลานเฉินมู๋ที่เดินจากไปไกล หลานเยาเยาเดินตามพระภิกษุไปยังห้องหน้ามุขทางฝั่งหนึ่ง

ที่หน้าประตู นางกล่าวกับภิกษุรูปนี้ว่า

“วันนี้เหนื่อยนัก อยากพักผ่อนเสียหน่อย เวลาอาหารเย็นไม่ต้องมาเรียกข้านะ”

“ได้เลยโยม!”

หลังภิกษุเดินจากไป นางชำเลืองตามองดูองครักษ์สองนายที่เฝ้าประตูอยู่ ก่อนจะปิดประตูลง จัดแต่งเตียงนอน จากนั้นเปลี่ยนไปสวมชุดบุรุษ แล้วจึงออกไปข้างนอกทางหน้าต่างบานหลังอย่างไร้สุ้มเสียง

นางมาอยู่บนหินยักษ์ก้อนหนึ่งที่สามารถมองดูทิวทัศน์ตรงเชิงเขาเบื้องล่างได้ คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ทิศที่หลานเฉินมู๋เดินไปเมื่อสักครู่นี้ เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเป็นทางเดินลงเขา!

ทว่า ด้วยทักษะวรยุทธ์เพียงนิด แม้แต่เงาของเขาก็มองไม่เห็นแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น รถม้าที่จอดอยู่ที่เชิงเขาก็ยังคงอยู่ ม้าที่เหล่าองครักษ์ขี่มาก็ยังอยู่ครบดี

แท้จริงแล้ว เขาไม่ได้ลงเขาไปเลย…..

เพียงแต่ว่า เขาไปที่ไหนกันนะ

หลานเยาเยาเร่งฝีเท้าไปยังทางเดินลงเขา พอเดินไปได้ครึ่งทาง นางก็หยุดก้าวเดินในทันใด รีบเข้าไปดูดงไม้ที่อยู่ทางฝั่งขวามือ