บทที่ 28 มิใช่คนดี

วัชพืชในดง ขึ้นมากมายทว่าไม่สูง ทั้งยังไม่มีทางเดินด้วย บนหญ้านั้นกลับมีรอยเหยียบย่ำให้เห็นชัดเจน ร่องรอยเหล่านั้นลากยาวตรงไปยังทางหลังเขาของวัดโดยตลอด

หลังเขาอย่างนั้นหรือ

พื้นที่หลังเขาเป็นป่าไม้อุดมสมบูรณ์เขียวขจีอันไพศาล มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่าที่นั่นเป็นป่าทึบอันพิศวง ว่ากันว่าที่แห่งนั้นเคยเป็นหลุมฝังศพมาก่อน มีคนตายที่ถูกตัดหัวจำนวนมิน้อย

ขุนนางผู้ดูแลที่ดินเกรงว่าไอแห่งความชั่วร้ายในที่แห่งนี้จะเข้มข้นเกินไป จึงได้สร้างวัดบดบังที่แห่งนี้ เพื่อให้แสงสว่างแห่งพุทธธรรมสะกดไอแห่งความชั่วร้ายเอาไว้

ทว่า!

มีวัดบดบังไว้แล้ว มิหนำซ้ำยังมีภิกษุที่รู้ซึ้งในรสพระธรรมหลายรูปเข้ามาอยู่พักอาศัย เพียงแต่ว่า มิมีผู้ใดกล้าเข้าไปในดงไผ่นั้น เพราะมีคนพบว่าที่นั่นมีวิญญาณสิงสถิตอยู่…..

จึงมิมีผู้ใดกล้าเข้าไปทั้งนั้น ต่อมาเหมือนกับว่ามีผู้เคยเข้าไปในนั้นแล้ว แต่คนที่เข้าไปก็ไม่มีชีวิตรอดกลับมาได้เลยสักราย พอนานวันเข้าที่แห่งนั้นก็กลายเป็นพื้นที่หวงห้าม มิอนุญาตให้ผู้ใดย่างกรายเข้าไปอีก

หลานเฉินมู๋เข้าไปทำอันใดในที่แห่งนั้นกัน

ทุกปีก็มาที่วัดแห่งนี้ หรือว่ามีความลับอันใดที่มิอาจบอกให้ผู้อื่นล่วงรู้ได้

ดังนั้น!

หลานเยาเยาจึงเดินตามทางหญ้าที่ถูกเหยียบย่ำไปยังทางหลังเขาของวัด

ในไม่ช้า นางก็มาถึงเขตหวงห้ามที่ไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับสถานที่เข้าไป รอยเหยียบย่ำนั้นสิ้นสุดอยู่ตรงบริเวณรอยต่อของป่าทึบอันพิศวง

แสงในป่ามืดครึ้ม ต้นไม้ใหญ่สูงตระหง่านบดบังแสงอาทิตย์ไปจนแทบจะหมดสิ้น มีเพียงแสงสว่างที่ลอดผ่านมาตามช่องใบไม้และกิ่งไม้เท่านั้น ทำให้แลดูลึกลับพิศวงเป็นอย่างยิ่ง

หมอกหนาทึบที่เข้าปกคลุมป่าลอยคล้อยไปอย่างไร้รูปแบบ แต่กลับเงียบสงบอย่างแปลกประหลาดนัก ราวกับว่ามิเคยมีสิ่งมีชีวิตใดย่างกรายเข้ามาในที่แห่งนี้มาก่อน

หลานเยาเยายกมุมปากขึ้น

“มีเรื่องเล่าน่าขนหัวลุกถึงเพียงนั้น จะเข้าไปให้ตกใจเล่นเสียหน่อยดีไหมนะ”

นางยืนใคร่ครวญอยู่ตรงนั้น เท้าข้างหนึ่งยกขึ้นมาแล้ว แต่กลับรู้สึกลังเลขึ้นมา

ทันใดนั้น!

ลมแรงหอบหนึ่งพัดมาอย่างรวดเร็ว นางหรี่ตาลง ในขณะที่กำลังจะเหวี่ยงตัวหลบ นึกไม่ถึงว่ากำลังลมนั้นจะรุนแรงถึงเพียงนี้ หอบนางเข้ามาอยู่กลางป่าพิศวง

“ตุ้บ…..”

“โอย ก้นข้า!”

หลานเยาเยาที่มึนงงจากแรงกระแทก ลูบก้นที่กระแทกจนบอบช้ำของตน พลางมองไปทางนอกป่าทึบอย่างรวดเร็ว

เอ

ไม่มีอันใดเลยจริง ๆ นี่…..

“ใครกัน กล้าลอบทำร้าย ข้า แล้วยังไม่รีบปรากฏตัวออกมาอีก ผู้ที่ไม่ออกมานั้นเป็นคนต่ำช้า เลวทราม โง่เง่าแล้วยังใจเสาะอีก”

เสียงอันกระหืดกระหอบของนางดังสะท้อนกลับ อีกทั้งเสียงที่สะท้อนนั้นยาวนาน ลึกล้ำและนิ่งสงบ

รู้สึกว่าน่าพิศวงและชวนตื่นตกใจอยู่มิน้อย

“วิ้ววิ้ว……”

ยามนี้ มีพายุลูกหนึ่งพัดขึ้นมาพอดี พัดใบไม้บนพื้นลอยปลิวว่อน ลอยขึ้นลงอย่างไร้แบบแผน

ขับเน้นบรรยากาศแห่งความพิศวงเต็มพิกัด!

ที่นี่คงมิได้มีภูตผีวิญญาณจริง ๆ หรอกนะ

พอคิดขึ้นเช่นนั้น หลานเยาเยาก็อดขนลุกซู่มิได้ จากนั้นกลืนน้ำลายไปหลายอึก มองไปรอบทิศครู่หนึ่ง ในใจหนักอึ้ง รีบเดินไปยังตอนลึกของป่าทึบอย่างรวดเร็ว

หลังหลานเยาเยาเดินไปแล้ว!

ก็มีร่างคนสองคนสะดุดล้มลง ผู้หนึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่สวมใส่ชุดจอมยุทธ์

อีกผู้หนึ่งเป็นบุรุษรูปหล่อหน้าตาเย็นชา ทั้งร่างนั้นมีรังสีเย็นยะเยือกแผ่ออกมา เขาสวมเสื้อคลุมยาวกรอมเท้าแซมสีขาวดำ ปักขอบด้วยด้ายสีทองโดยรอบ วางอำนาจบาตรใหญ่ สูงส่งเหนือผู้คนทั้งมวล

“นางเข้าไปแล้ว!” ผู้ใต้บังคับบัญชาขมวดคิ้วเล็กน้อย

ที่นี่เป็นเขตหวงห้ามของวัด คนธรรมดานั้นมิกล้ามายังที่แห่งนี้

เห็นได้ชัดว่า หลานเยาเยากลัวเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ยังคงเดินไปยังตอนลึกของป่าทึบอยู่ดี นี่กลัวจนเสียสติไปแล้วหรือ

“ไปกัน!”

เมื่อเสียงเยือกเย็นที่น่าดึงดูดส่งเสียง “อืม” ขึ้นแล้ว ก็ย่ำเท้าเข้าไปในป่าทึบ

ฝั่งของหลานเยาเยา เพิ่งเข้าไปในป่าทึบได้เพียงไม่นาน ภายในก็เกิดละอองหมอกขึ้น เมื่อแรกเริ่มหมอกนั้นยังจาง ๆ ลอยไปมาในป่าทึบอย่างไร้สุ้มเสียง ทว่าหลังจากนั้นละอองหมอกก็เริ่มแน่นหนาขึ้น ประดุจม่านหมอกหนาทึบสีเทาดำ

อารมณ์และเหตุการณ์ในยามนี้ หลานเยาเยาส่ายศีรษะ

“ท่าไม่ดีเสียแล้ว!”

นางหยิบยาเม็ดหนึ่งออกมาจากช่องกระเป๋าก่อนกินเข้าไปโดยพลัน จากนั้นมองดูรอบทิศ ขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อย ๆ

หมอกหนาในป่าทึบแห่งนี่มิใช่หมอก ทว่าเป็นไอพิษ อีกทั้งยังแพร่กระจายอยู่ในป่าทึบนี้อย่างไม่สม่ำเสมอ ในบางบริเวณนั้นจางเหมือนละอองหมอก ในบางบริเวณนั้นหนาแน่นเหมือนหมึกดำ

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้สามารถหลงทางอยู่ในป่านี้ได้โดยไม่ยาก

ยามนี้ หากนึกจะออกไป จำต้องรอให้ไอพิษจางลงไปก่อน ตอนนี้ทำได้เพียงเดินตรงไปยังทางข้างหน้าต่อไป

ทว่า!

เมื่อเดินไปเดินมา หลานเยาเยาพบว่านางย้อนกลับมายังที่แห่งเดิมอีกครั้ง เพียงแต่ว่าพอลองใคร่ครวญดูสักหน่อยก็เข้าใจแล้วว่าเป็นเพราะเหตุใด

บางคราวเมื่อได้รับผลกระทบจากบางสิ่งบางอย่าง ภาพที่เห็นก็อาจจะมิใช่ความเป็นจริงก็เป็นได้

นางแม้จะดูเหมือนว่าเดินไปข้างหน้าเป็นเส้นตรง แต่แท้จริงแล้ว กลับเดินวนเป็นวงกลม ท้ายที่สุดจึงกลับมายังจุดเดิม

ถ้าเช่นนั้น หากยามนี้นางเดินวนเป็นวงกลมวงใหญ่ จะต้องไปโผล่ในพื้นที่อื่นเป็นแน่

เหมือนดังที่คิดไว้!

นางเดินวนเป็นวงกลมเป็นเวลานานแต่ไม่ได้วกกลับไปยังที่เดิมเลย ยิ่งไปกว่านั้น ไอพิษรอบด้านนั้นหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ เห็นได้ชัดว่า นางยิ่งเดินก็ยิ่งเข้าไปยังช่วงตอนลึกของป่าทึบ

“โครม!”

ทันใดนั้น มีเสียงดังสนั่นขึ้น หลานเยาเยาพลันหยุดฝีเท้า รีบหลบไปอยู่ด้านหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ทางด้านข้างอย่างรวดเร็ว แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะชนเข้ากับสิ่งที่มืดสนิท

“จะบ้าตาย สิ่งอันใดกัน”

หลานเยาเยาใจหายใจคว่ำ

พอกำลังจะหันศีรษะไป รู้สึกเย็นยะเยือกที่ลำคอ ดาบสั้นเล่มหนึ่งลอบจู่โจมเข้ามาในทันใด

นางหลบหลีกโดยพลัน จากนั้นปล่อยหมัดหนักไปหาผู้ลอบโจมตีนาง บริเวณที่มือสัมผัสไปโดนนั้นกลับนุ่มนิ่ม ทว่าใช้แรงเยอะเกินไป คนผู้นั้นจึงถูกนางต่อยเข้าไปอยู่ท่ามกลางหมอกพิษ

เอ……

คนชุดดำหรือ เป็นสตรีหรือเปล่านะ

วินาทีถัดมา!

“ไปตายซะ!”

สตรีนางหนึ่งตะโกนเสียงดุร้าย จากนั้นจึงพุ่งตัวออกมาจากกลางหมอกพิษอันหนาแน่น พุ่งตรงใส่ยังหน้าอกของนาง

หลานเยาเยารีบหลบการโจมตีที่ถึงชีวิตในทันใด

“ช้าก่อน แม่นางเข้าใจผิดแล้ว ข้ามิรู้ว่าท่านหลบอยู่หลังต้นไม้ แล้วก็มิได้ตั้งใจคลำหน้าอกของท่านด้วย” หลานเยาเยากล่าวขึ้นอย่างจริงจังเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับไปยั่วโทสะนางเสียยิ่งกว่าเดิม

“ข้าจะฆ่าเจ้าทิ้งเสีย!”

สตรีชุดดำโกรธจนนัยน์ตาของนางเป็นดุจดังเปลวไฟที่กำลังจะปะทุ เมื่อโจมตีไม่โดนก็โจมตีเข้าไปใหม่อีกหนหนึ่ง แล้วทั้งสองก็โจมตีกันพัวพันจนร่างแทบรวมกัน

ยิ่งโจมตีหลานเยาเยาก็ยิ่งประหลาดใจ สตรีชุดดำฝีมือมิเท่าใด แต่กำลังภายในกลับมีเหลือล้น

“นี่ นี่ นี่ หยุดโจมตีได้แล้ว ท่านโดนพิษอยู่นะ ทั้งยังบาดเจ็บภายในอยู่ด้วย ท่านมิใช่คู่ปรับของข้าเลย ข้าน่ะโจมตีโดยไม่ออมมือให้ท่านหรอกนะ!” นางกล่าวเตือนด้วยความหวังดี

ทว่านางกลับพูดจาเหน็บแนมขึ้นว่า

“ผู้ไม่มีแม้แต่กำลังภายในอย่างเจ้า ก็คิดจะเอาชนะข้าน่ะรึ เฮอะ!”

“ให้แล้วกันไปเถิด บุรุษไม่ควรปะทะกับสตรี ข้าเองก็ยังมีธุระที่ต้องสะสาง อีกทั้งยังไม่อยากจะสังหารใครด้วย ข้าไปล่ะนะ!” มิใช่ว่าสู้ไม่ได้ แต่ไม่อยากจะสู้

เพราะเป้าหมายของนางคือหลานเฉินมู๋ มิใช่พวกที่ไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดเช่นนี้

กล่าวจบ พอคิดจะปลีกตัวไป กลับพบเงาคนสั่นไหวอยู่รอบด้านในทันใด มิหนำซ้ำยังดูชัดเจนขึ้นทุกขณะ แต่งกายราวกับศพน่าสยดสยองที่ไม่เน่าเปื่อย ดูจากท่าทีแล้ว คาดว่าต้องการล้อมพวกนางเอาไว้!

“ไปอย่างนั้นหรือ ไปที่ใดเล่า ชาของยมราชเย็นหมดแล้วนะ ฮ่า ๆๆ…..”

หลังจากเสียงแหบแห้งที่ไม่น่าฟังและเขย่าขวัญนั้นดังขึ้นมาอย่างช้า ๆ

ก็มียายเฒ่าคนหนึ่งเดินกะโผลกกะเผลกออกมาจากท่ามกลางหมอกหนา หลังของยายเฒ่าโค้งงอมาก ศีรษะก้มไปถึงบริเวณเอว ผมหงอกขาวยุ่งเหยิงสกปรกทั้งศีรษะนั้น ถูกมัดไว้อย่างลวก ๆ

ตาสองข้างหรี่ลงจนตรงเป็นเส้นด้าย สายตาที่ส่งออกมา กลับชวนให้ขนหัวลุก ในมือถือไม้เท้าหัวอสรพิษ แลดูน่าสยองขวัญเสียยิ่งกว่าเดิม!

แม้เห็นได้ชัดว่าดูคล้ายกับพวกยาจก ทว่าหลานเยาเยาอดขมวดคิ้วแน่นไม่ได้ ค่อย ๆ ก้าวเท้าถอยไปอย่างช้า ๆ

ยายเฒ่าผู้นี้ วรยุทธ์สูงล้ำเหลือประมาณ แววตาอันกระหายและดุร้ายนั้น ดูปราดเดียวก็รู้ว่ามิใช่คนดีอันใด

คนที่ค่อย ๆ ก้าวเท้าถอยหลังไป มิได้มีแค่นางเพียงคนเดียวเท่านั้น!

สตรีชุดดำที่ถือดาบสั้นอยู่ทางด้านข้างหวาดกลัวจนถอยหลังไปทีละก้าว ในแววตานั้นหวาดผวาอย่างยิ่ง ทั้งร่างสั่นสะท้าน…..