บทที่ 32 บุตรแห่งโชคชะตาและเส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์ (ปลาย)

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 32 บุตรแห่งโชคชะตาและเส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์ (ปลาย)

บทที่ 32 บุตรแห่งโชคชะตาและเส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์ (ปลาย)

ลู่หยวนลุกขึ้นและเดินตามประมุขไป๋ไปยังห้องโถงใหญ่ฐานด้านหลัง อีกฝ่ายปิดประตูก่อนโค้งคำนับชายหนุ่มอย่างนอบน้อม

คุณชายลู่ยังคงสงบนิ่งและไม่เร่งรีบที่จะทำสิ่งใด เขาไม่แม้แต่จะเปลี่ยนสีหน้า ไม่ว่าการกระทำหรือคำร้องขอของไป๋จางจะยิ่งใหญ่เพียงใด แต่ในฐานะบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งตระกูลลู่ เขาก็สามารถให้ได้เสมอ

ไป๋จางกล่าวด้วยสีหน้าและแววตาแห่งการอ้อนวอน “บุตรศักดิ์สิทธิ์ ข้าหวังว่าท่านจะช่วยชิวเอ๋อร์ได้!”

หลังฟังบิดาของนางเล่าอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้ความว่าไป๋ชิวเอ๋อร์พิการตั้งแต่กำเนิด และป่วยมานานหลายปี โชคดีที่ได้พบกับลั่วเหวิน ราชาแห่งการกลั่นโอสถ ทำให้นางมีอาการดีขึ้น แม้ตอนนี้นางจะดูแข็งแรงไม่ต่างจากคนทั่วไป แต่ลั่วเหวินก็เตือนไป๋จางว่า หากไม่สามารถหาทางรักษานางได้ภายในสามปี จำเป็นต้องส่งนางให้กับยมทูต ไม่อาจรักษาชีวิตไว้ได้

เมื่อได้เห็นลู่หยวนในวันนี้ ประมุขไป๋ก็มีความคิดบางอย่างในใจ ตระกูลลู่นั้นเก่าแก่ สืบสายเลือดกันมาหลายหมื่นปี และภูมิหลังก็อาจกล่าวได้ว่ายอดเยี่ยมยิ่งกว่าตระกูลใดในแดนเหนือ ตลอดจนประวัติศาสตร์มากมายถึงความสามารถเยียวยารักษา!

คุณชายลู่ไม่ตอบกลับไป๋จาง เขานั่งบนเก้าอี้ของผู้อาวุโสพร้อมเผยรอยยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้า “ท่านประมุขไป๋ ท่านคงรู้ดีว่าการรักษาโรคของไป๋ชิวเอ๋อร์ที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิดใหม่ไม่อาจหายขาดได้โดยง่าย …หากจะรักษาชีวิตของนางไว้เรียกได้ว่าเป็นเรื่องยาก”

ดวงตาของไป๋จางเป็นประกาย ลู่หยวนไม่ได้บอกว่าไม่อาจรักษาได้ เขาเพียงบอกว่าเป็นเรื่องยาก ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่ายังพอมีวิธี!

“ด้วยเหตุนี้ข้าจึงร้องขอบุตรศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยเหลือชิวเอ๋อร์!”

“ข้าสามารถช่วยนางได้ แต่ไม่อาจรู้ได้ว่าข้าจะได้ประโยชน์อะไรในเรื่องนี้”

คู่สนทนาเข้าใจในทันที “ตราบใดที่บุตรศักดิ์สิทธิ์สามารถช่วยชิวเอ๋อร์ได้ ตระกูลไป๋จะตอบแทนท่านด้วยรางวัลชิ้นงาม”

ลู่หยวนเผยรอยยิ้ม “รางวัลชิ้นงามอย่างนั้นหรือ? ไป๋จาง ท่านจะมอบรางวัลแบบใดให้ข้าเล่า คัมภีร์แห่งตระกูลไป๋หรือ? ไม่กลัวตระกูลไป๋ของท่านจะขาดแคลนและตกต่ำใช่หรือไม่?”

หัวใจของไป๋จางเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

ใช่แล้ว ตระกูลลู่ที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้ขาดแคลนสิ่งใดเลย สิ่งเล็กน้อยจากตระกูลไป๋จะชักจูงใจให้เข้าช่วยเหลือชิวเอ๋อร์ได้อย่างไร?

ไป๋จางหลับตาลง ตอนนี้มีเพียงฐานการบ่มเพาะขั้นเซียนยุทธ์ของเขาเท่านั้นที่ใช้ประโยชน์ได้ ตราบใดที่ทำให้ชิวเอ๋อร์มีชีวิตรอดต่อไปได้ เขาก็จะยอมแลก

ชายชราลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า เผยให้เห็นความมุ่งมั่นในดวงตาคู่นั้น “ตราบใดที่บุตรศักดิ์สิทธิ์สามารถช่วยชิวเอ๋อร์ได้ ข้ายินดีที่จะยอมจำนนต่อท่าน ถวายชีวิตเป็นทาสรับใช้โดยไม่พร่ำบ่น!”

ประมุขแห่งตระกูลเต็มใจที่จะกลายเป็นทาสรับใช้และถูกผู้อื่นกดขี่ ยอมละทิ้งความเย่อหยิ่งทั้งหมดของตัวเองไป

ลู่หยวนเอนกายลงบนเก้าอี้ พร้อมแววตาดูถูกเหยียดหยาม ความแข็งแกร่งระดับเซียนยุทธ์อย่างนั้นหรือ?

ระดับความแข็งแกร่งนี้เทียบได้ว่าไร้ค่าสำหรับตระกูลลู่ เพราะในตระกูลลู่มีหลายสิบคนที่เป็นยอดฝีมือขั้นเซียนยุทธ์ และมีหลายคนที่แข็งแกร่งกว่านั้น

แม้แต่เฉาหง องครักษ์ของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดหลังจากที่อีกฝ่ายได้รับม้วนคัมภีร์ และก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาก่อนที่เขาจะก้าวพ้นขั้นเทียมเทพ

ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดที่เขาต้องการในตระกูลไป๋ ทรัพยากรที่พวกเขามีก็ไม่คุ้มค่าต่อการฝึกฝน

ไป๋จางรู้ดีว่า แม้เขาจะก้าวสู่ขั้นเซียนยุทธ์ไปแล้ว แต่ก็ยังไร้ค่าในสายตาของลู่หยวน ดังนั้นเขาจึงรู้สึกโกรธตนเองไม่น้อย

“ท่านไม่จำเป็นต้องกลายเป็นทาส ตระกูลของข้าไม่ได้ขาดแคลนในเรื่องนั้น”

ทันทีที่ได้ยินชายหนุ่มกล่าวดังนั้น หัวใจของประมุขไป๋ก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แม้เขาจะเอ่ยปากว่าพร้อมที่จะเป็นทาสรับใช้ของตระกูลลู่ แต่ก็ไม่ใช่ด้วยความเต็มใจ

“อย่างไรก็ตาม ข้ามีเงื่อนไข”

“ขอบุตรศักดิ์สิทธิ์โปรดเอ่ยมาเถิด”

ลู่หยวนลุกขึ้นพลางเอามือไพล่หลัง “ข้าต้องการเข้าสู่เขตแดนลับสัตว์อสูรแห่งตระกูลไป๋”

ไป๋จางกล่าวขึ้นทันที “ไม่อาจทำเช่นนั้นได้!”

ชายหนุ่มจ้องมองอย่างเย็นชา “ข้ามีเงื่อนไขเพียงข้อเดียว หากท่านไม่เห็นด้วย ข้อตกลงระหว่างเราก็ถือเป็นโมฆะ”

หลังกล่าวจบ ชายหนุ่มก็ยกเท้าขึ้นและกำลังจะจากไป

“เดี๋ยว!”

ไป๋จางหยุดอีกฝ่ายพร้อมครุ่นคิดบางอย่างในใจ

เขารู้ดีว่าลู่หยวนต้องการเข้าสู่ค่ายกลสัตว์อสูรเพื่อสัตว์อสูรไป๋เจ๋อ และหากไป๋เจ๋อถูกผู้อื่นแย่งชิงไป มรดกสัตว์อสูรของตระกูลไป๋จะถูกทำลาย

แต่หากเขาไม่เห็นด้วย แล้วจะหาวิธีรักษาเส้นชีพจรวิญญาณของไป๋ชิวเอ๋อร์ได้อย่างไร?

ด้านหนึ่งคือลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน และอีกทางหนึ่งคือมรดกของตระกูลที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น

ไป๋จางรู้สึกสับสน ดวงตาของเขาพลันแดงก่ำ

เมื่อเห็นดังนั้น ลู่หยวนก็คิดแผนการบางอย่างขึ้นในใจ หากเขากดดันหรือร้องขออีกครั้งในเวลานี้ คู่สนทนาอาจไม่เห็นด้วย ดังนั้นชายหนุ่มจึงตัดสินใจที่จะรอคอยคำตอบ

“ประมุขตระกูลไป๋ ขอท่านอย่าเพิ่งเป็นกังวล ข้าจะให้เวลาท่านในการตัดสินใจ สามวันในการไตร่ตรองให้รอบคอบ ข้าจะรอคอยคำตอบ”

หลังจากพูดจบ ลู่หยวนก็จากไปโดยเอามือไพล่หลัง

ในห้องโถงขนาดใหญ่ มีเพียงชายร่างท้วมคนเดียวที่ยืนนิ่ง พลางถอนหายใจราวกับแบกภาระอันหนักอึ้งไว้

เมื่อยามราตรีมาเยือน ลู่หยวนกำลังนั่งขัดสมาธิในโถงฝึกยุทธ์ ทันใดนั้นร่างสีดำพลันปรากฏขึ้นในห้องและโค้งคำนับเขา

บุตรศักดิ์สิทธิ์ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า “ลุงเฉา ไม่จำเป็นต้องสุภาพถึงเพียงนั้น เป็นอย่างไรบ้าง?”

เฉาหงลุกขึ้นและตอบกลับด้วยความเคารพ “ขอคุณชายอย่าเป็นกังวล ข้าผู้นี้ได้ใส่ยันต์พลังวิญญาณลงไปในร่างกายของไป๋ชิวเอ๋อร์แล้ว จะไม่มีผู้ใดสามารถตรวจจับได้”

คนฟังพึมพำอย่างแผ่วเบา ขณะนั้นเอง แผ่นยันต์สีน้ำเงินที่ถูกเขียนด้วยอักขระสีขาวพลันปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ก่อนลอยขึ้นสู่อากาศ

ยันต์พลังวิญญาณสามารถแบ่งออกได้เป็นสองประเภท คือ ยันต์แม่และยันต์ลูก หลังจากใส่ยันต์ลูกเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะสามารถตรวจพบความแปรผันของกลิ่นอายพลังวิญญาณในร่างกายได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะไปปรากฏผลลัพธ์บนยันต์แม่

และอักขระสีขาวที่ลอยอยู่บนยันต์สีน้ำเงินเบื้องหน้าลู่หยวนแสดงให้เห็นถึงพลังวิญญาณที่ผันผวนในร่างกายของไป๋ชิวเอ๋อร์ขณะนี้

ก่อนหน้านี้ ระบบเคยแจ้งเตือนเขาว่า พลังวิญญาณของไป๋เอ๋อร์มีความผันผวนอย่างมากเมื่อไม่นานมานี้ และอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต ดังนั้นชายหนุ่มจึงใช้ยันต์พลังวิญญาณเป็นเครื่องมือเฝ้าระวัง หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับนาง เขาจะสามารถรับรู้ได้ทันท่วงที

ชายหนุ่มไม่ต้องการให้นางตาย เพราะหากหญิงสาวผู้ครอบครองเส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์จากไป เขาอาจไม่สามารถค้นหาผู้ใดได้อีก

บุตรศักดิ์สิทธิ์โบกมือให้เฉาหงออกไป ก่อนจะฝึกฝนต่อ

ในช่วงกลางดึก เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นกับเขา จากนั้นก็มีแรงสั่นสะเทือนจากด้านข้าง

เมื่อลู่หยวนเงยหน้าขึ้น เขาพบว่าอักขระสีขาวบนยันต์สีน้ำเงินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง สิ่งนี้แสดงให้เห็นได้ชัดว่าพลังวิญญาณในร่างกายของไป๋ชิวเอ๋อร์นั้นผันผวนและโกลาหลอย่างมาก ชวนให้รู้สึกเป็นกังวลต่อความปลอดภัยของชีวิตนาง

ชายหนุ่มไม่ลังเลอีกต่อไป เขาถือยันต์ไว้ในมือและก้าวออกจากห้อง ก่อนจะปกปิดกลิ่นอายพลังในร่างกายด้วยวิธีลับ เขาเดินไปตามทางที่ยันต์พลังวิญญาณนำทางและเข้าไปในห้องของไป๋ชิวเอ๋อร์อย่างรวดเร็ว

ก่อนจะเข้าไปในห้องของนาง ลู่หยวนสัมผัสได้ถึงพลังงานทางจิตวิญญาณที่รั่วไหลออกมา ตามมาด้วยเสียงโอดครวญดังขึ้นในห้อง… เจ้าของเสียงก็ดูเหมือนจะพยายามอดทนต่อความเจ็บปวดอย่างมาก

เขาก้าวเท้าเข้าไปในห้องนั้น ก่อนจะพบไป๋ชิวเอ๋อร์นอนขดตัวอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดเซียว เหงื่อไหลท่วมร่าง พลางกัดริมฝีปากสีแดงไว้แน่น และพยายามอดทนต่อความเจ็บปวด

ลู่หยวนเข้าไปช่วยพยุงไป๋ชิวเอ๋อร์ให้ลุกขึ้น กลิ่นอายพลังที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของเขา ปกคลุมพลังวิญญาณที่รั่วไหลออกมาจากร่างกายของนาง ก่อนชายหนุ่มจะรวบรวมพลังที่รั่วไหลกลับเข้ามาในร่างกาย

ด้วยการกลับมาของพลังวิญญาณ ไป๋ชิวเอ๋อร์ก็ฟื้นคืนสติอย่างเชื่องช้า

นางรู้สึกได้ว่ากำลังอยู่ในอ้อมแขนของใครบางคน กลิ่นอายอันทรงพลังโอบล้อมรอบตัว และความเจ็บปวดในร่างกายของตนก็ทุเลาลงมากเช่นกัน

ลู่หยวนรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังวิญญาณของไป๋ชิวเอ๋อร์นั้นโกลาหลยิ่งกว่าที่เคย ราวกับว่าพลังเหล่านี้ไม่ต้องการอยู่ในร่างกายของนางอีกต่อไป เศษเสี้ยวแห่งพลังวิญญาณก็พยายามเล็ดลอดออกมา

พลังวิญญาณส่วนใหญ่ที่หลุดรอดออกมาในค่ำคืนนี้คือพลังวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งหยั่งรากลึกในร่างกายของไป๋ชิวเอ๋อร์ หากพลังวิญญาณบริสุทธิ์นี้รั่วไหลออกไปจนหมด นางจะต้องตาย!

บุตรศักดิ์สิทธิ์เอ่ยถามระบบ “คืนนี้พลังวิญญาณจะรั่วไหลออกจากร่างกายของไป๋ชิวเอ๋อร์บ่อยเพียงใด?”

ระบบแจ้งว่า [สามารถคาดเดาความถี่ในการกระจายตัวของพลังวิญญาณได้! เมื่อไม่นานมานี้พลังวิญญาณในร่างกายของไป๋ชิวเอ๋อร์มีความผันผวนอย่างมาก จึงมีความเป็นไปได้ที่พลังวิญญาณจะกระจายออกเป็นระยะ!]

คนฟังขมวดคิ้ว สิ่งที่กำลังกระจายตัวออกจากร่างกายของหญิงผู้นี้คือพลังวิญญาณบริสุทธิ์ หากกระจายออกไปจนหมดในค่ำคืนนี้ ชีวิตนางคงไม่เหลือถึงวันพรุ่งนี้เป็นแน่

จากนั้นเขาจึงเอ่ยถาม “มีสิ่งใดที่จะช่วยรักษานางได้บ้าง?”

ระบบเรียกดูสิ่งของจากคลังทันที…