บทที่ 31 บุตรแห่งโชคชะตาและเส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์ (ต้น)

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 31 บุตรแห่งโชคชะตาและเส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์ (ต้น)

บทที่ 31 บุตรแห่งโชคชะตาและเส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์ (ต้น)

ลู่หยวนตามไป๋จางไปยังห้องโถงใหญ่ของตระกูลไป๋ ทันใดนั้น… เสียงระบบพลันดังขึ้น

[ระบบแจ้งว่าไป๋อู๋อี บุตรแห่งโชคชะตาปรากฏตัวแล้ว และค่าชะตาปัจจุบันคือ 8,000 แต้ม! สามารถรับค่าชะตาและเมล็ดพันธุ์เทพโกลาหลโดยการสังหาร!]

มุมปากของชายหนุ่มโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม เขาดูแคลนไป๋อู๋อีเป็นอย่างมาก นี่สินะ… บุตรแห่งโชคชะตาที่เขาต้องกำจัด

หลังจากนั้น สายตาของลู่หยวนก็จับจ้องไปยังชายคนหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากด้านข้างของไป๋จาง …เขาแน่ใจมากว่านั่นคือไป๋อู๋อี!

บุคคลผู้นี้มีรูปร่างหน้าตาไม่โดดเด่นนัก แต่มีท่าทีความสุขุมเยือกเย็นที่แตกต่างจากคนรอบข้าง

เมื่อบุตรศักดิ์สิทธิ์ได้พบกับผู้คนมากมายที่เข้ามาทักทาย เขาก็ได้เห็นถึงแววตาที่เปี่ยมด้วยอารมณ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นความชื่นชมหรือความอยากรู้อยากเห็น แตกต่างจากสายตาของไป๋อู๋อีที่ซึ่งแสดงให้เห็นว่า บุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งตระกูลลู่ไม่ได้มีความหมายอะไรสำหรับเขา

หยิ่งยโสนัก…

เมื่อเห็นลู่หยวนมองมาหา ไป๋อู๋อีก็ครุ่นคิดบางอย่างในใจ

ในความทรงจำของไป๋อู๋อี เขาจำได้ชัดเจนว่าก่อนที่ตนจะเกิดใหม่ ไม่มีผู้ใดจากตระกูลลู่เดินทางมายังตระกูลไป๋มาก่อน

นอกจากนี้ เขาจำได้ชัดเจนว่า ลู่หยวน บุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งตระกูลลู่ที่สังหารชายชื่อหมัวเทียน ในเวลานั้น พื้นที่ทางตอนเหนือทั้งหมดแทบจะสั่นสะเทือน หากเขาจำไม่ผิด มันก็ผ่านเวลามานานแล้ว

เป็นไปได้ไหมว่า… การกลับชาติมาเกิดใหม่ของตนทำให้โลกเปลี่ยนไป?

เมื่อเห็นว่ากำลังจะถึงห้องโถงใหญ่ ไป๋อู๋อีจึงทำได้เพียงระงับความสงสัยในใจของตนเอง

หลังเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ลู่หยวนนั่งบนที่แท่นใหญ่ ในขณะที่ไป๋ซีเจ๋อก็นั่งลงเคียงข้างเขา โดยมีเฉาหงยืนอยู่ด้านหลัง และไป๋อู๋อีนั่งตรงข้าม

ไป๋จางสังเกตเห็นว่าดวงตาของคุณชายลู่จับจ้องไปยังคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามไม่วางตา จึงเอ่ยขึ้น “บุตรศักดิ์สิทธิ์ ข้าลืมแนะนำท่านไปเลย ชายผู้นี้มีชื่อว่าไป๋อู๋อี เขาคือนายน้อยในอนาคตของตระกูลไป๋”

ไป๋อู๋อีลุกจากที่นั่งและประสานมือทำความเคารพ “ข้ายินดียิ่งที่ได้พบบุตรศักดิ์สิทธิ์”

ลู่หยวนเผยรอยยิ้มบาง “ข้าได้ยินมาว่าไป๋อู๋อีเคร่งครัดกว่าทุกคนในบรรดาทายาทตระกูลสายหลัก เขาฝึกฝนจนอยู่ในครึ่งก้าวสู่ขั้นจักรพรรดิยุทธ์ ด้วยความแข็งแกร่งระดับนี้ อาจเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มคนรุ่นเยาว์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งแดนเหนือ”

ไป๋จางโบกมือ “ในแดนเหนือทั้งหมด มีเพียงบุตรศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่แข็งแกร่งเป็นอันดับหนึ่งท่ามกลางกลุ่มคนรุ่นเยาว์ แม้ไป๋อู๋อีจะถือเป็นผู้มีพรสวรรค์แห่งตระกูลไป๋ แต่เมื่อเทียบกับแดนเหนือทั้งหมดแล้ว เขาก็ยังไม่ใช่อันดับหนึ่ง”

ไป๋ซีเจ๋อที่ได้ยินดังนั้นก็กัดฟันแน่นจนแทบแตก ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังศัตรูคู่อาฆาตราวกับสามารถพุ่งเขาถลกหนังอีกฝ่ายได้ทุกเมื่อ

จนลู่หยวนต้องสื่อสารทางจิต ให้เสียงของเขาดังก้องในหูของมิตรสหาย “เจ้าหนุ่มฟันใหญ่ เจ้าไม่กลัวไป๋จางจะเห็นจิตสังหารที่แผ่ซ่านของเจ้าหรือ?”

ไป๋ซีเจ๋อหยุดเผยท่าทีดุร้ายทันที จากนั้นจึงได้ยินเสียงมิตรสหายดังขึ้นอีกครั้ง “หากเจ้าต้องการจะเป็นนายน้อย เจ้าก็ควรเชื่อฟังข้า”

คู่สนทนานั่งลงอย่างว่าง่าย เขาเชื่อฟังและเคารพลู่หยวนเป็นอย่างมาก นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รู้จักกัน เขาก็เข้าใจความจริงหลายอย่าง หากสิ่งใดที่บุตรศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ออกปากว่าทำได้ เขาก็จะสามารถทำได้อย่างแน่นอน!

ลู่หยวนเคยบอกเขาว่าสำนักหนึ่งกำลังจะถูกกำจัด และในวันถัดไป ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตของสำนักนั้นแม้เพียงตัวเดียวหลงเหลืออยู่ในรัศมีหนึ่งพันลี้

อีกฝ่ายเคยบอกว่าจะส่งหญิงงามหนึ่งในใต้หล้ามาให้ และในตอนกลางคืน สตรีที่ผู้คนชื่นชมนับพันก็นอนอยู่บนเตียงของตน

ครั้งนี้ชายหนุ่มกล่าวว่าเขาจะเป็นนายน้อยของตระกูลไป๋ ดังนั้นมันจะต้องเป็นไปเช่นนั้นอย่างแน่นอน!

“ท่านพ่อ”

เสียงอันเยือกเย็นดังมาจากนอกห้องโถง และสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปยังเสียงนั้น

หญิงงามผู้หนึ่งก้าวเข้ามาในห้องโถง นางสวมอาภรณ์สีเขียว มีท่าทีสง่างามดุจเทพธิดา ด้วยรูปคิ้วโค้งมนนั้นพานเกี่ยวหัวใจของผู้คนให้สั่นไหว

หญิงผู้นั้นก้าวเข้ามาเพียงไม่กี่ก้าวและยืนนิ่งในห้องโถง สง่างามดุจยืนอยู่บนดอกบัว ห้วงอารมณ์ดูซับซ้อนไม่เหมือนบุคคลทั่วไป

เมื่อไป๋จางเห็นนางก็เผยรอยยิ้มบนใบหน้า “ชิวเอ๋อร์มาแล้ว มาได้ทันเวลาพอดี มาทักทายบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งตระกูลลู่ก่อนเถิด”

ไป่ชิวเอ๋อร์โค้งคำนับลู่หยวนก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้ายินดียิ่งที่ได้พบบุตรศักดิ์สิทธิ์”

[ระบบแจ้งเตือน… ไป๋ชิวเอ๋อร์ได้ครอบครองเส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์ระดับสวรรค์!]

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ครุ่นคิดว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นถูกต้อง

เส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์?!

นี่คือเส้นชีพจรวิญญาณระดับสวรรค์หนึ่งในห้าแห่งแผ่นดินหยวนหง!

ผู้ที่มีเส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์ จะสามารถดูดซับพลังวิญญาณโดยรอบได้ด้วยตัวเอง และจะไม่มีอุปสรรคใดในการฝึกฝน ยิ่งไปกว่านั้นความเร็วในการฝึกฝนก็จะมากกว่าคนธรรมดาหลายหมื่นเท่า

นับตั้งแต่เริ่มจารึกประวัติศาสตร์แผ่นดินหยวนหง มีเพียงคนเดียวที่ได้ครอบครองเส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์เช่นนี้ นั่นคือจักรพรรดินีอมตะผู้สังหารเทพเจ้าด้วยกระบี่เล่มเดียวเมื่อหนึ่งล้านปีก่อน

ซึ่งจักรพรรดินีอมตะมีอายุเพียงหนึ่งร้อยปีเมื่อทะยานขึ้นสู่การเป็นอมตะ

หากได้คนเช่นนี้มาเป็นผู้ติดตาม ก็จะกลายเป็นที่พึ่งอันทรงพลังสำหรับเขาในอนาคต!

ลู่หยวนจ้องมองไป๋ชิวเอ๋อร์ด้วยความรู้สึกสงสัยเล็กน้อย

หากนางสามารถครอบครองเส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ยังเยาว์วัยเช่นนี้ นางสมควรอยู่ในขั้นเทียมเซียนไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงอยู่ในขั้นยอดยุทธ์เท่านั้น?

“ระบบ …จงตรวจสอบรายละเอียดเส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์ของไป๋ชิวเอ๋อร์”

[ระบบทำการทดสอบ]

ทันใดนั้นเอง ลู่หยวนพลันรู้สึกถึงสายตามุ่งร้ายที่จับจ้องมายังเขา จึงหันไปมองข้างหลังทันที

สายตาที่ทอดไปเห็นเพียงไป๋อู๋อีที่นิ่งเฉย ใบหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความสงบนิ่ง พร้อมแววตาไร้ซึ่งอารมณ์ใด ระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังครุ่นคิดถึงการรับรู้ผิดปกติของตนอยู่นั้นเอง ประมุขไป๋ก็พลันเอ่ยขึ้นในทันใด “มีสิ่งใดหรือบุตรศักดิ์สิทธิ์?”

คุณชายลู่ละสายตา “ไม่มีอะไร เชิญพวกท่านสนทนากันต่อเถิด”

ไป๋ชิวเอ๋อร์เหลือบมองลู่หยวนที่จ้องมองนางอยู่เป็นเวลานานพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย ความไม่พอใจปรากฏในใจ ก่อนหันไปกล่าวต่อไป๋จาง “ท่านพ่อ หากท่านไม่ว่าอะไร ข้าขอตัวไปกับไป๋อู๋อีเพื่อเตรียมตัวสำหรับการแข่งขันในอีกสามวันข้างหน้า”

ผู้เป็นบิดายังคงนิ่งเฉยและไม่เอ่ยสิ่งใด จากนั้นจึงพยักหน้าและปล่อยให้ทั้งสองจากไป

ร่างของไป๋ชิวเอ๋อร์ค่อย ๆ หายไป จากนั้นเสียงแจ้งเตือนของระบบก็ดังขึ้น

[ระบบแจ้งเตือน เส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์ของไป๋ชิวเอ๋อร์เสียหายอย่างหนัก!]

[เมื่อไม่นานมานี้ เส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์ของไป๋ชิวเอ๋อร์มีความผันผวนอย่างมาก ซึ่งอาจส่งผลให้พลังวิญญาณของนางรั่วไหลออกมาและนำไปสู่ความตายได้ ขอท่านโปรดสังเกตอย่างระมัดระวัง!]

เมื่อเห็นว่าลู่หยวนยังคงจ้องมองไปยังแผ่นหลังของไป๋ชิวเอ๋อร์ ไป๋จางก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แน่นอนว่าเขาไม่ชินกับการที่มีบุรุษจ้องมองบุตรสาวตนเช่นนี้

“บุตรศักดิ์สิทธิ์กำลังมองสิ่งใดหรือ?”

ลู่หยวนละสายตาและกล่าวโดยตรง “ชิวเอ๋อร์เกิดมาพร้อมกับร่างกายที่ไม่แข็งแรงหรือ?”

ความโกรธในดวงตาของประมุขไป๋หายไปทันที ก่อนจะแทนที่ด้วยความโศกเศร้าเล็กน้อยบนใบหน้า “บุตรศักดิ์สิทธิ์มองออกด้วยหรือ?”

ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างช้า ๆ

ไป๋จางหายใจเข้าลึกก่อนจะยืนขึ้นและเดินไปที่คู่สนทนา “บุตรศักดิ์สิทธิ์ ข้าขอคุยกับท่านเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่?”