บทที่ 39 เศษเสี้ยวความรู้สึกกระหวัดคิดถึงโลกโลกีย์

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 39 เศษเสี้ยวความรู้สึกกระหวัดคิดถึงโลกโลกีย์

หลังจากเงียบไปเพียงชั่วขณะ หัวหน้าฐานมองสวี่ชิงแล้วพลันเอ่ยปาก

“เด็กน้อย เรื่องนี้เลิกราเพียงเท่านี้เป็นอย่างไร หัวหน้าเหลยเจ้าก็ช่วยไปได้แล้ว คนคนนี้ก็ตายไปแล้ว ระหว่างเราไม่จำเป็นต้องสู้ตายกันต่อไป

“อีกทั้งข้ายังเป็นผู้อาวุโสของสำนักวัชระ หากเจ้าสู้ตายกับข้าต่อไปก็เท่ากับเป็นการเปิดศึกกับสำนักวัชระ บรรพจารย์ของสำนักข้าคือผู้แข็งแกร่งระดับสร้างฐาน!”

สวี่ชิงเงียบนิ่ง พลันถ่มเลือดออกมา มือขวายกขึ้นคล้ายจะเช็ดเลือดในขณะที่ร่างเซไปเล็กน้อย

ในตอนนี้เอง หัวหน้าฐานที่เพิ่งบอกว่าจะเลิกสู้ จู่ๆ ในดวงตาก็ฉายประกายวาววาบขึ้นมา

ทั่วทั้งร่างส่งเสียงดังลั่นพุ่งมาทางสวี่ชิงอย่างเร็วรี่ ความเร็วทำให้แสงทองทั้งร่างในขณะนี้ปะทุขึ้นมาอย่างที่ก่อนหน้านี้ไม่เป็นมาก่อน ทั้งร่างราวเปลี่ยนเป็นร่างทอง

“มหาวัชระกระบวนท่าที่สาม!”

มองมาจากที่ไกลๆ แสงทองแผ่ออกมาจากทั่วทั้งร่างหัวหน้าฐาน รัศมีอำนาจทรงพลังน่าครั่นคร้าม จิตสังหารยิ่งแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนสีหน้าสวี่ชิงกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น อาการเซที่มีแต่เดิมก็หายไปจนหมดสิ้น คล้ายว่าทุกอย่างล้วนหลอกลวง มือขวาที่ยกขึ้นไม่ใช่เพื่อเช็ดเลือด แต่ยกขึ้นเหนือศีรษะ ดวงตาที่เต็มไปด้วยสีเลือดปรือหลับลง

ในสมองของเขามีรูปสักการะเทพที่ในศาลเจ้าวันนั้น ดาบยอดเยี่ยมน่าตื่นตะลึงราวกับองค์เทพเดินลงมาที่เงื้อง่าคล้ายแฝงด้วยมหามรรคาบางอย่าง

ดาบนี้เขาเลียนแบบมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคยใช้มาก่อน

ตอนนี้เขาคิดว่าตัวเองใช้ได้แล้ว

แสงสีม่วงสายหนึ่งปะทุออกมาจากในตัวเขาปกคลุมไปทั่วทั้งร่าง แล้วปกคลุมไปยังมือขวาที่ยกขึ้นของเขาด้วยเช่นกัน

ไม่เป็นสีทองเหมือนรูปสักการะเทพ แสงที่สวี่ชิงปล่อยออกมาจากการลอกเลียนแบบเป็นสีม่วง

ในเสี้ยวพริบตาที่หัวหน้าฐานคำรามประชิดมา มือขวาของสวี่ชิงก็ดูเหมือนซัดลงมาช้าๆ สบายๆ ภายใต้แสงสีม่วงนี้

ไม่มีอะไรแปลกประหลาดทั้งนั้น ธรรมดามากๆ เรียบง่ายมากๆ ทว่าในความเรียบง่ายธรรมดาคล้ายแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายไม่ธรรมดาบางอย่างในนั้น

กลิ่นอายไม่ธรรมดานี้ทำให้แสงสีม่วงทั้งหมดมารวมที่มือขวาของสวี่ชิงทันที เสี้ยวพริบตาที่ซัดลงมาก็มี…เงาดาบมหึมาปรากฏขึ้นอยู่ที่เหนือศีรษะของเขา!

เงานี้ยิ่งใหญ่มหึมา ประดุจดาบสวรรค์!

แสงสีม่วงพวยพุ่งส่องกะพริบ เข้าแทนที่แสงอาทิตย์ แทนที่ประกายแสงสีทอง แทนที่ซึ่งทุกสิ่ง แล้วพลัน…ฟันลงมาพร้อมกับมือขวาของสวี่ชิง!

อสุนีบาตฟาดเปรี้ยงบนท้องฟ้า ผืนดินของฐานที่มั่นส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ลมกรรโชกพร้อมแสงเจิดจ้า หอบม้วนระเบิดตูมๆ มาทั่วทุกสารทิศราวคลื่น

คนเก็บกวาดทุกคนต่างพากันถอยหลังไปอย่างหยุดไม่อยู่ ร่างของหัวหน้าฐานจากที่เร็วจี๋เมื่อครู่ก็เปลี่ยนมาช้าเนิบ แล้วก็หยุดนิ่งไปในบริเวณที่ห่างจากสวี่ชิงหนึ่งจั้ง

เขามองสวี่ชิงที่อยู่ข้างหน้าอย่างตื่นตะลึง ก้มหน้ามองพื้นดินใต้เท้าช้าๆ

ที่ใต้เท้าของเขา แผ่นดินเกิดรอยแยกเป็นเส้นตรงทางหนึ่ง…รอยแยกนี้ยาวถึงเจ็ดแปดจั้ง แผ่ลามจากใต้ร่างของเขาไปข้างหลัง

“ดาบนี้…” หัวหน้าฐานพึมพำ ที่หน้าผากพลันมีรอยเลือดปรากฏขึ้น รอยเลือดทางนี้พลันแยกไปถึงคาง แล้วลากผ่านหน้าอก จวบจนจุดตันเถียน เลือดสดๆ พวยพุ่งกระฉูดออกมา ร่างของเขาแยกเป็นสองซีกแล้วล้มลงไป ณ ที่ตรงนั้น

รอบๆ เงียบสงัด มีเพียงลมหายใจถี่กระชั้นแสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัวในใจที่ไม่อยากจะเชื่อ

ใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น แสงสาดส่องมายังพื้นที่เต็มไปด้วยรอยเลือด สะท้อนใบหน้าเด็ดเดี่ยวของเด็กหนุ่มออกมา เลือดแต่ละหยดที่ไหลลงมาตามนิ้วของเขาหยดลงไปในแอ่งเลือดบนพื้น เกิดวงคลื่นเป็นชั้นๆ

ร่างที่อยู่ท่ามกลางวงคลื่นในแอ่งเลือดค่อนข้างรางเลือนมองไม่ชัด แต่ความเย็นชาและเย็นเยียบในดวงตากลับฉายออกมาอย่างชัดเจน

สวี่ชิงเก็บกริชที่เต็มไปด้วยรอยเลือดและเหล็กแหลมดำสนิทลงไป หลังจากหยิบเอาของวิเศษเวทที่ตัวอักษรรางเลือนไป ก็หมุนตัวเดินไปทางกางเขนและเขี้ยวหงส์ที่อยู่ท่ามกลางฝูงคน

กางเขนและเขี้ยวหงส์สีหน้าแฝงด้วยความเคารพยำเกรง มองสวี่ชิงเดินมา พลางมองเขารับหัวหน้าเหลยที่สลบไสล ชีวิตใกล้มอดดับแบกเดินจากไปไกล

แล้วจึงก้มหน้าเดินตามเขาจากไปไกลด้วยเช่นกัน

ใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น เงาของสวี่ชิงถูกดึงออกไปยาวมาก เงาปกคลุมไปที่เลือดบนพื้น แผ่กระจายความโศกเศร้าที่ยากบรรยายออกมา

คนเก็บกวาดรอบๆ ต่างมองร่างของเขา มองเลือดที่เจิ่งนองบนถนนและซากร่างอย่างอดไม่ได้

เลือดพวกนี้อยู่ข้างหลังสวี่ชิงก็คล้ายว่าเชื่อมเป็นรอยเลือดที่น่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงทางหนึ่ง

มีคนนึกถึงรอยเลือดที่สวี่ชิงลากงูเหลือมเขายักษ์ในลานประลองสัตว์ตอนที่ทดสอบเข้าฐานที่มั่นตอนนั้นขึ้นมาได้

ภาพสองภาพ รอยเลือดสองทางคล้ายว่าซ้อนทับกันในเสี้ยวขณะนี้

“เด็กน้อย!” ไม่รู้ว่าใครตะโกนออกมาเป็นคนแรก ไม่นานนัก คนเก็บกวาดที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่ก็พากันตะโกนออกมา

“เด็กน้อย!!”

“เด็กน้อย!!”

เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ในนั้นมีคนแก่ มีเด็ก มีชายฉกรรจ์ มีเด็กสาวที่ศีรษะประดับด้วยขนนก

ในดวงตาของพวกเขาทุกคนค่อยๆ ฉายความบ้าคลั่งออกมา เสียงตะโกนค่อยๆ ดังกึกก้อง

นี่คือ…การแสดงความเคารพอันเป็นเอกลักษณ์ของคนเก็บกวาด!

……

ย่ำค่ำอาทิตย์ลาลับ หน้าประตูฐานที่มั่น

สวี่ชิงแบกหัวหน้าเหลย ในตอนที่เดินมาถึงที่นี่เขาก็หันกลับไปมองกางเขนและเขี้ยวหงส์

ทั้งสองคนก็มองสวี่ชิงเช่นกัน ในดวงตามีความเคารพยำเกรงและความซับซ้อนอยู่ด้วยเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าคาดเดาอะไรได้แล้ว

“จะไปแล้วหรือ” กางเขนเอ่ยเสียงเบา

“ข้าจะไปส่งการเดินทางสุดท้ายของหัวหน้าเหลย จากนั้น…ก็จะไปแล้ว” สวี่ชิงพยักหน้า

กางเขนและเขี้ยวหงส์นิ่งเงียบ

ในใจของสวี่ชิงเกิดอาลัยอาวรณ์ขึ้นมา มองพวกเขาอย่างลึกล้ำแวบหนึ่ง จากนั้นสายตาก็มองข้ามไปทางฐานที่มั่นที่พักอาศัยอยู่เกือบครึ่งปีแห่งนี้

“รักษาตัวด้วย” เขี้ยวหงส์จ้องมองสวี่ชิง ก้าวขึ้นมาหา ช่วยจัดผมที่หลุดรุ่ยให้ แล้วกอดเบาๆ อย่างไม่รังเกียจเลือดบนตัวเขาแม้แต่น้อย

“แล้วพวกเจ้าเล่า” สวี่ชิงไม่ปฏิเสธกอดของเขี้ยวหงส์ เอ่ยถามเสียงเบา

“พวกเราก็จะไปจากที่นี่เหมือนกัน เจ้าวางใจเถอะ ข้ากับกางเขนมีมือมีเท้า พลังความสามารถก็นับว่าใช้ได้ ไปฐานที่มั่นใดก็ได้ทั้งนั้น” เขี้ยวหงส์ยิ้มพลางตอบ

กางเขนก็ยังคงไม่พูดเหมือนเดิม แต่ก้าวขึ้นมากอดสวี่ชิงแน่นๆ

สวี่ชิงสูดลมหายใจเข้าลึก โบกมือให้พวกเขา หมุนตัวก้าวเดินไปจากประตูฐานที่มั่นอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปทางพื้นที่ต้องห้าม ยิ่งเดินก็ยิ่งไกลออกไป

กางเขนและเขี้ยวหงส์ยืนอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเย็นเงียบๆ ข้างหลังของเขา มองเขาเดินจากไปไกล จวบจนเงาร่างสวี่ชิงหายลับไปยังสุดปลาบขอบฟ้า เขี้ยวหงส์พึมพำ

“กางเขน ในอนาคตพวกเราจะยังได้เจอเขาอีกหรือไม่ น่าเสียดาย พวกเรายังไม่รู้ชื่อของเขาเลย”

“คงจะกระมัง…ชื่อ ไม่สำคัญ” กางเขนพูดเสียงเบา จับมือของเขี้ยวหงส์เอาไว้

สวี่ชิงไปแล้ว ไปจากฐานที่มั่น เดินไปทางพื้นที่ต้องห้าม

เขาแบกหัวหน้าเหลย เดินไปข้างหน้าเงียบๆ แบกเอาไว้เหมือนอย่างตอนนั้นที่หัวหน้าเหลยบาดเจ็บสาหัส แบกเอาไว้เหมือนอย่างตอนนั้นที่มาส่งลาจากกัน เส้นทางเดิม คนเดิม

แต่เขาสัมผัสได้ถึงหัวหน้าเหลยที่เบาขึ้นเรื่อยๆ พลังชีวิตในร่างก็น้อยลงเรื่อยๆ ความตายลอยอวลอย่างไม่อาจขัดขวาง

ความเศร้าโศกในใจสวี่ชิงหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ

ก้าวไปในป่าเงียบๆ เดินอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามเงียบๆ มุ่งหน้าไปทางหนึ่งเงียบๆ เดินไปไม่หยุด เวลาไหลผ่านไปช้าๆ ดวงอาทิตย์ในยามเย็นลาลับฟ้าไปแล้ว ราตรีมาเยือน

ตลอดทางมานี้ไม่มีอสูรกลายพันธุ์ตัวใดมาปรากฏต่อหน้าเขา คล้ายว่าสัมผัสได้ถึงเลือดลมและจิตสังหารที่ยังหลงเหลืออยู่บนร่างของสวี่ชิง ปล่อยให้สวี่ชิงเดินไปข้างหน้าอย่างโศกเศร้าอยู่ที่นี่

จวบจนหลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม เสียงอ่อนระโหยก็ดังขึ้นอย่างแหบแห้งมาจากข้างหลังของเขา

“เด็กน้อย เมื่อครู่ข้าฝัน”

หัวหน้าเหลยตื่นแล้ว สีหน้ามีความเหม่อลอย เอ่ยพึมพำ

เขาไม่ถามว่าเหตุใดตนเองจึงมาอยู่ที่นี่ และไม่ถามว่าเหตุใดสวี่ชิงถึงอยู่ที่นี่ ยิ่งไม่พูดถึงสิ่งที่ตนประสบมา

“ข้าฝันเห็นเถาหง แล้วก็ฝันเห็นเจ้าด้วย”

ตาของสวี่ชิงแดงเล็กน้อย ความเศร้าโศกในใจยิ่งหนักหน่วง ก็ยิ่งเร่งความเร็วขึ้น แต่ก็พยายามรักษาความนิ่มนวล เคลื่อนเข้าไปใกล้จุดหมายปลายทางมาเรื่อยๆ

“ในฝันเจ้าเรียบร้อยเชื่อฟังมาก ในชั้นเรียนก็เป็นที่หนึ่งทุกครั้งเลย”

หัวหน้าเหลยอยากหัวเราะ แต่เหมือนว่าคำพูดสามสี่ประโยคนี้จะใช้แรงของเขาไปกว่าครึ่ง เสียงค่อยๆ อ่อนแรงลง ก่อนจะสลบไสลก็เอ่ยพึมพำเสียงเบา

“เป็นฝันที่ดีเหลือเกิน

“เด็กน้อย ข้าฝืนไม่ไหวแล้ว”

สวี่ชิงก้มหน้า วิ่งตะบึงสุดกำลัง ระหว่างทางเขาได้ลองใช้ผลึกสีม่วงของตัวเองแล้ว แต่ก็ไม่เป็นผลใดๆ รั้งพลังชีวิตของหัวหน้าเหลยเอาไว้ไม่ได้เลย

ในที่สุด หลังจากนั้นครึ่งชั่วยามเขาก็มาถึงสถานที่ที่เขาได้พบกับเสียงเพลงในตอนนั้น ยังคงเป็นพื้นที่บริเวณนั้น ต้นไม้ต้นใหญ่ต้นนั้น

มาถึงตรงนี้ สวี่ชิงก็วางหัวหน้าเหลยลงเบาๆ พยุงเขาให้พิงต้นไม้ พลางมองชายชราที่ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย ลมหายใจรวยรินคนนี้ด้วยดวงตาแดงก่ำ จมูกแสบร้อน

“หัวหน้าเหลย” สวี่ชิงเอ่ยเสียงเบา

ชายชราพิงต้นไม้ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ

ในดวงตาขุ่นมัว มองโลกเบื้องหน้าอย่างสับสนงุนงง นานหลังจากนั้นเขาเหมือนมองออกว่าเป็นที่ใด ก็ค่อยๆ ยิ้มออกมา ในดวงตามีประกายแสงขึ้นมาบ้าง

“เด็กน้อย มีเหล้าหรือไม่”

สวี่ชิงพยักหน้าเงียบๆ หยิบเอาเหล้ากาหนึ่งออกมาจากถุงหนัง แตะไปที่ปากของชายชรา ป้อนให้เขาดื่มลงไปอึกใหญ่

เหล้าอึกนี้ทำให้ ณ เสี้ยวพริบตานี้แสงประกายในดวงตาของชายชราเป็นประกายยิ่งขึ้น เหมือนแสงสว่างครั้งสุดท้ายของเทียน

เหมือนว่าตอนนี้เขาจะมองเห็นดวงตาที่แดงก่ำของสวี่ชิงได้อย่างชัดเจนจึงหัวเราะขึ้นมา

“จะร้องไห้ด้วยเหตุอันใด”

หัวหน้าเหลยเหมือนมีแรงอยู่บ้าง พยายามลุกขึ้นนั่งด้วยการช่วยพยุงจากสวี่ชิง

พิงกับต้นไม้ เขาอยากยกมือไปลูบศีรษะของสวี่ชิง แต่กลับทำไม่ได้ แต่ในเสี้ยวขณะที่เขาจะล้มเลิก สวี่ชิงก็จับมือของเขาวางไปที่ศีรษะของตัวเองช้าๆ

ชายชรายิ้มออกมา

“อันที่จริงข้ายังค่อนข้างโชคดี อย่างน้อยๆ ในเวลาแบบนี้ก็มีคนอยู่เคียงข้าง มีเหล้าดื่ม หลังจากที่ตายไปแล้วก็ยังมีคนฝังศพให้อีกด้วย

“และในโลกใบนี้ ผู้คนมากมาย มีคนตายไปอย่างโดดเดี่ยวเปล่าเปลี่ยวอีกไม่รู้เท่าไร ตายจากไปในที่รกร้างเงียบๆ เพียงลำพัง

“ความจริงแล้วความตายไม่ได้น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวคือก่อนตายไม่มีคนรู้จักคุ้นเคยกันอยู่ข้างหน้าแม้แต่คนเดียว…”

พูดถึงตรงนี้ แสงประกายที่หลงเหลือในดวงตาหัวหน้าเหลยก็ค่อยๆ หม่นแสงลง จู่ๆ เขาก็เอ่ยปากขึ้นมา

“เด็กน้อย ข้าอยากดื่มอีกสักอึก”

ความเศร้าโศกในใจสวี่ชิงตลบอวล แตะกาสุราที่ปากหัวหน้าเหลยเบาๆ ขณะที่เหล้าไหลออกมา หัวหน้าเหลยก็มองไปที่ข้างหลังเขา สีหน้าเหม่อลอย พึมพำเสียงเบา

“เถาหง เจ้ามารับข้าแล้วหรือ…”

เหล้ารินรดบนเสื้อของชายชรา ไหลลงบนดิน เขาไม่ได้ดื่มมันลงไป แสงในดวงตามอดดับไปพร้อมกับไฟแห่งชีวิต

สวี่ชิงตัวสั่นสะท้าน ก้มหน้า ความเศร้าโศกในใจไม่อาจควบคุมเอาไว้ได้อีกต่อไป มันแผ่ซ่านออกมาจากก้นบึ้งหัวใจปกคลุมไปทั่วทั้งกาย

เขากำกาเหล้าแน่น ต่อให้กาเหล้าเปลี่ยนรูปไปในมือเขาก็ไม่รู้สึก

นานหลังจากนั้น สวี่ชิงกัดริมฝีปาก วางกาเหล้าไว้ข้างๆ เงียบๆ เงยหน้ามองชายชราที่ไม่อาจฟื้นตื่นขึ้นมาได้อีกตลอดกาล

ในหัวของเขามีเงาร่างของอีกฝ่ายที่จู่ๆ ก็หันกลับมามองเขาที่เมืองร้างผุดขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้

“เด็กน้อย เจ้าจะไปจากที่นี่กับข้าหรือไม่”

น้ำตาแต่ละหยดๆ ไหลรินมาตามหางตาของสวี่ชิง

ชะคราบเลือดบนหน้า ไหลเป็นรอยชัดเจนสองทางรินหลั่งลงบนเสื้อ

เขาที่เติบโตจากถ้ำยาจกก็ไม่ร้องไห้มาตั้งนานแล้ว

แต่วันนี้เขาเก็บกลั้นไม่ไหว มองร่างของชายชราจวบจนฟ้าเริ่มสว่างอีกครั้ง เขาจึงฝังชายชราและกาเหล้าที่ใต้ต้นไม้เงียบๆ

คนเก็บกวาดไม่จำเป็นต้องมีป้าย เพราะไม่มีใครมาเซ่นไหว้

แต่ชายชรามีป้าย

สวี่ชิงยืนมองหน้าป้ายหลุมศพอย่างเหม่อลอย

จนนานแล้ว เขาถึงได้หยิบเอาผ้าป่านในถุงหนังแล้วหยิบลูกกวาดที่มีเพียงอยู่แค่เม็ดเดียวในนั้นออกมา

เอาใส่ปากเงียบๆ พิงต้นไม้ใหญ่แล้วหลับตาลง

ลูกกวาดช่างหวานนัก

มีคนเคยบอกสวี่ชิงว่า ในยามที่เศร้าใจเมื่อกินมันจะทำให้รู้สึกดีขึ้นบ้าง