ตอนที่ 30 รับซื้อมันเทศในหมู่บ้าน

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 30 รับซื้อมันเทศในหมู่บ้าน

หลินม่ายโยนกิ่งไม้เข้าไปในหมู่บ้าน หลังจากเดินไปได้ไม่ไกลนัก ก็เจอกับนิวนิวและโต้วโต้วที่กำลังวิ่งเล่นด้วยกัน

เธอเห็นแล้วก็อดทอดถอนใจไม่ได้ โต้วโต้วเพิ่งจะถูกเธออบรมจนขลาดกลัวได้ไม่นาน ตอนนี้กลับอาจหาญขึ้นไม่น้อย กล้าออกมาเล่นกับนิวนิวข้างนอก

โต้วโต้วเห็นหลินม่ายก็วิ่งเข้ามาหาเธอด้วยความดีใจ วิ่งไปพลางตะโกนเรียกว่าแม่ไปพลาง

กระทั่งมาถึงตัว สายตาได้ชำเลืองมองตะกร้าแวบหนึ่ง พบว่าเป็นก้อนหิน จึงเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ “คุณแม่ คุณแม่เก็บก้อนหินมากมายขนาดนี้กลับมาทำไมคะ?”

“ไว้คั่วเกาลัด”

หลินม่ายตอบคำถามของหล่อน จากนั้นก็เรียกนิวนิวที่ไม่กล้าเข้าใกล้ให้วิ่งเข้ามา แล้วให้หล่อนและโต้วโต้วจูงมือกันกลับบ้านกับเธอ

ระหว่างนั้นก็เอ่ยถามว่า “เมื่อครู่ที่พวกเธอออกไปเล่นข้างนอก มีใครเอาลูกกวาดมาให้พวกเธอกินใช่ไหม”

เด็กทั้งสองคนพากันพยักหน้า

“ต่อไปถ้ามีคนถามอะไรกับพวกเธอ พวกเธอก็บอกคนนั้นหมดเลยสิ?”

เด็กทั้งสองคนพากันพยักหน้าอีกครั้ง

“แล้วถ้าคน ๆ นั้นเป็นคนชั่วขึ้นมาจะทำยังไง?”

นิวนิวรีบปิดปากเล็ก ๆ แน่นสนิทด้วยความหวาดกลัว

โต้วโต้วเอ่ยถามอย่างไร้เดียงสา “คน ๆ นั้นบอกว่าเขาเป็นคนในหมู่บ้าน จะเป็นคนชั่วได้ยังไงคะ?”

“ใครบอกลูกว่าคนในหมู่บ้านไม่มีคนชั่ว? ถ้าเขาจับตัวลูกไปขาย ต่อไปนิวนิวจะไม่ได้เจอพ่อและย่าของหล่อนอีก ส่วนลูกก็จะไม่ได้เจอแม่อีกตลอดกาล”

นิวนิวตกใจกลัวจนจะร้องไห้

โต้วโต้วกลับไม่ค่อยเชื่อ “แล้ววันที่ได้เจอกับคุณแม่ที่สถานีรถไฟ ทำไมถึงไม่เจอคนชั่วที่จะมาจับตัวลูกไปขายเลยล่ะคะ”

“นั่นคือความโชคดีของลูก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีคนชั่วนะ ไม่ได้หมายความว่าลูกจะโชคดีได้ทุกครั้ง ต่อไปถ้าลูกไม่อยากแยกจากแม่ ต้องเชื่อฟังแม่ ห้ามรับของกินจากคนอื่นอีกเด็ดขาด เวลาพวกเขาถามอะไรพวกลูก ห้ามตอบเด็ดขาด และห้ามตามใครไปทั้งนั้น”

โต้วโต้วจึงพยักหน้า

หลินม่ายกลัวว่าหล่อนจะไม่จำฝังใจ จึงเล่าเหตุการณ์ที่มีคนรู้จักฆ่าข่มขืนเด็กผู้หญิงที่เคยอ่านเจอในอินเตอร์เน็ตเมื่ออดีตชาติ เพียงแต่ไม่ได้ลงรายละเอียดอันรุนแรงสยดสยองนองเลือดมากขนาดนั้น

แค่นี้สาวน้อยทั้งสองคนก็ตื่นกลัวขึ้นมา

เมื่อหลินม่ายเห็นว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว จึงหยุดอยู่แค่นั้น

ทั้งสามคนพากันกลับบ้าน เวลานี้แม่เถียหนิวทำอาหารเช้าเสร็จแล้ว

ทันทีที่หลินม่ายเห็น ข้าวโปะด้วยผักใบเขียวและผักดอง ก็รีบเอ่ยกับแม่เถียหนิวว่า “คุณย่าฟางให้ไข่ไก่มาแล้วหนึ่งตะกร้าไม่ใช่เหรอคะ ไว้ต้มให้เด็กสองคนกินคนละฟองในทุกเช้า”

แม่เถียหนิวโบกมือ “กินอิ่มก็พอแล้ว จะกินไข่ทำไม!”

หลินม่ายเอ่ยอย่างอดกลั้น “นิวนิวและโต้วโต้วกำลังเติบโต ต้องการบำรุง ต้องกินของดี ๆ อีกอย่างไข่ไก่พวกนั้นถ้าไม่รีบกินมันก็จะเสียนะคะ”

แม่เถียหนิวจึงตอบรับอย่างไม่เต็มใจนัก

หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ หลินม่ายและเถียหนิวก็เก็บข้าวของเตรียมตัวไปตั้งแผงขายทันที

พวกเขาขายตั้งแต่เก้าโมงเช้า จนถึงห้าโมงเย็นก็ทำการเก็บแผงขาย วันนี้ขายเกาลัดได้ทั้งสิ้นหกร้อยกว่าชั่ง

หลินม่ายวางแผนว่าจะขายเกาลัดวันละสี่ร้อยชั่งก็พอแล้ว คาดไม่ถึงว่ายังไม่ถึงห้าโมงเย็นจะขายเกาลัดได้มากมายก่ายกองขนาดนี้

จากนั้นก็กลับมานับเงินที่บ้าน ได้กำไรสุทธิมากกว่าเจ็ดสิบหยวนเลยทีเดียว

คุณปู่ฟางรับซื้อเกาลัดไว้สามพันชั่งในครั้งที่แล้ว ดูจากความเร็ว คงขายได้มากที่สุดสี่วันก็หมดเกลี้ยง

ครั้นมีเงินอยู่ในมือ หลินม่ายก็ให้แม่เถียหนิวไปสิบหยวน และให้นางไปซื้อเนื้อไม่ก็เนื้อปลา รวมทั้งสินค้าประเภทถั่วเหลืองจากในตลาดมืด จะได้ทำแต่อาหารดี ๆ

เช้าวันต่อมา แม้ว่าแม่เถียหนิวจะจะต้มไข่ต้มให้ตามที่เธอต้องการ แต่ก็ต้มเพียงฟองเดียว

เหตุผลนั้นเพียงพอ เพราะคุณยายฟางให้ไข่ไก่ตะกร้านั้นกับสองแม่ลูกหลินม่าย เดิมทีนิวนิวก็กินอยู่เปล่าๆ แล้ว ไหนเลยจะกล้ากินไข่ไก่ของคุณย่าฟาง!

หลินม่ายบ่นอุบอิบ “นิวนิวอยู่ฟรีกินฟรีแล้วยังไง เด็กอายุไม่กี่ขวบจะกินได้เท่าไหร่กันเชียว?”

จากนั้นก็หยิบมีดหั่นผักมาตัดแบ่งไข่ต้มออกเป็นสองส่วน แล้วแบ่งให้เด็กทั้งสองคน นับแต่นั้นก็ทำให้แม่เถียหนิวต้องต้มไข่ให้เด็กคนละฟองในทุกเช้า

เมื่อแม่เถียหนิวเห็นหลินม่ายใจกว้างแบบนี้ ก็ยิ่งชอบเธอมากขึ้น

ผ่านไปสามวัน เกาลัดในบ้านก็เหลือน้อยลงทุกที แต่คุณปู่ฟางก็ยังไม่มา

แม้จะยืมโทรศัพท์จากในหมู่บ้านซานหยางโทรเข้าเมืองซื่อเหม่ย แล้วให้ทางเมืองซื่อเหม่ยแจ้งข่าวกับคุณปู่ฟาง ให้รีบมาส่งเกาลัดได้ แต่หลินม่ายกลับไม่รู้เบอร์โทรศัพท์ของเมืองซื่อเหม่ย

ยุคสมัยนี้ยังไม่มีอินเตอร์เน็ต เลยค้นหาไม่ได้

ช่วยไม่ได้ หลินม่ายจึงทำได้เพียงฝากร้านไว้กับเถียหนิว ส่วนเธอก็รีบนั่งรถไฟกลับเมืองซื่อเหม่ยตั้งแต่เช้าตรู่

เมื่อถึงเมืองซื่อเหม่ยก็เป็นเวลาแปดโมงเช้าแล้ว แต่ดันมาเจอกับคุณป้าอู๋

หลินม่ายฉงนเล็กน้อย ทำไมหญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนี้ถึงไม่ไปขายเกาลัดในเมือง หรือมีแค่ลูกชายและลูกสะใภ้ของหล่อน แล้วหล่อนไม่ไปเหรอ?

เมื่อหญิงหน้าไหว้หลังหลอกเห็นเธอ ก็พาลถลึงตาใส่เธอแวบหนึ่ง สายตาเต็มไปด้วยความโกรธเกลียดราวกับเธอไปเผาบ้านของหล่อน แล้วโยนหลานชายเพียงคนเดียวของหล่อนลงบ่อน้ำอย่างไรอย่างนั้น

หลินม่ายไม่สนใจ ตรงกลับบ้านคุณย่าฟางทันที

คุณปู่ฟางเห็นเธอก็รีบเอ่ยว่า “ฉันกำลังคิดอยู่เลยว่าจะไปหาเธอในเมืองดีไหม เธอก็ดันกลับมาเสียก่อน”

หลินม่ายรีบเอ่ยถาม “ทำไมเหรอคะ?”

คุณตาฟางโบกมือ “ไม่มีอะไร เธออย่ากังวลเลย ฉันแค่อยากบอกเธอว่าเกาลัดขึ้นราคาแล้วนะ หนึ่งเหมาห้าเฟินต่อหนึ่งชั่ง แถมรับซื้อก็ยาก ฉันนั่งรับซื้อมาหลายวันแล้ว ยังรับซื้อได้แค่สองพันชั่ง”

หลินม่ายประหลาดใจมาก “ทำไมถึงเพิ่มราคาละคะ?”

“คนรับซื้อมีเยอะ ต่างก็อยากเพิ่มราคาทั้งนั้น” คุณปู่ฟางเอ่ยอย่างกลุ้มใจ “ถ้ารับซื้อเกาลัดไม่ได้จะทำยังไง เธอยังรอขายเกาลัดหาเงินซื้อบ้านอยู่”

แม้ว่าตอนนี้จะอยู่ในยุค 80 แล้ว แต่ยังต้องวางแผนด้านเศรษฐกิจให้ดี จะซื้ออะไรต้องมีคูปอง

อีกไม่นานก็จะถึงเทศกาลปีใหม่แล้ว พวกชาวบ้านต่างต้องการสินค้าฉลองปีใหม่ แค่ใช้คูปองซื้อของก็ได้กลับมาไม่มากก็น้อยแล้ว

ถ้าตัวเองระดมสินค้าเกษตรไปขายในเมือง อาจจะได้รับการต้อนรับจากแม่บ้านที่กำลังต้องการสินค้าวันปีใหม่เหล่านั้นก็ได้

หลินม่ายมีแผนการในใจ “รับซื้อเกาลัดไม่ได้ก็ไม่ต้องรับค่ะ คุณปู่ช่วยรับซื้อถั่วลิสง ถั่วปากอ้า ถั่วลันเตา และมันเทศมาคั่วขายแทนแล้วกัน”

คนชนบทในตอนนี้กินบะหมี่คุณภาพดีกว่าในเมืองเสียอีก อย่างน้อยสถานการณ์นี้ก็เกิดขึ้นในมณฑลหู

เพราะทุกครัวเรือนต่างมีที่ดินเป็นของตัวเอง ดังนั้นจึงมีการรับซื้อพวกถั่วลิสง ถั่วปากอ้า มันเทศอะไรไม่น้อย การซื้อขายก็ไม่มีปัญหา

คุณปู่ฟางจึงเอ่ยถาม “แล้วเธออยากได้เท่าไหร่ ฉันจะได้ช่วยรับซื้อไว้ให้”

หลินม่ายนำเงินจำนวนสามร้อยหยวนจากการขายเกาลัดในครั้งนี้จ่ายออกไป เหลือไว้ติดตัวเพียงสี่ร้อยหยวน

เธอถามราคาถั่วลิสงและพวกสินค้าเกษตร

คุณปู่ฟางเอ่ยว่า “ถั่วลิสงสามเหมาต่อหนึ่งชั่ง ถั่วปากอ้าและถั่วลันเตาสองเหมาต่อหนึ่งชั่ง มันเทศไม่มีคนซื้อ ไม่มีราคาในตลาดด้วย แต่ฉันรู้ราคามันเทศดี ขายกันอยู่ห้าเฟินต่อหนึ่งชั่ง”

หลินม่ายนึกถึงขนมฉาวเมี่ยนวอ*ขนมกินเล่นในเมืองเจียงเฉิง คือนำมันเทศมาหั่นเป็นชิ้นแล้วชุบแป้งทอด

ขนมฉาวเมี่ยนวอทอดน้ำมันส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายหก กรอบนอกนุ่มใน หนึบหนับกำลังดี ถ้าจะขายขนมฉาวเมี่ยนวอก็ขายได้ หนึ่งเหมาต่อหนึ่งชิ้นนับว่าสมราคา

หลินม่ายครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ซื้อมันเทศสักสองพันชั่ง น้ำมันพืชสิบชั่งและแป้งหมี่ห้าสิบชั่งก็พอค่ะ”

คุณปู่ฟางถามว่า “ถั่วลิสงอะไรพวกนั้นจะเอาอีกไหม?”

“ไม่เอาแล้วค่ะ” หลินม่ายบอกสองปู่ย่าถึงแผนการของตัวเอง “ฉันจะทอดขนมฉาวเมี่ยวอขาย”

คุณย่าฟางเอ่ยอย่างเป็นกังวล “เธอกับเถียหนิวจะขายทั้งเกาลัดขายทั้งขนมฉาวเมี่ยนวอเนี่ยนะ จะไม่ยุ่งตายเหรอ?”

หลินม่ายพยักหน้า “ยุ่งแน่นอนค่ะ”

เธอวางแผนไว้แล้ว ว่าจะเริ่มขายเกาลัดจั้งแต่เก้าโมงเช้าในทุกวัน ช่วงหกโมงเช้าถึงเก้าโมงเธอจะขายขนมฉาวเมี่ยนวอ แค่นี้เธอพอดูแลได้

คุณปู่ฟางรีบออกไปรับซื้อมันเทศ น้ำมันพืชและแป้งหมี่ให้หลินม่าย

หลินม่ายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฉันยังไม้ได้ให้เงินคุณปู่เลย”

มันเทศสองพันชั่งคิดเป็นเงินหนึ่งร้อยหยวน น้ำมันพืชหนึ่งชั่งหนึ่งหยวน สิบชั่งก็สิบหยวน แป้งหมี่สองเหมาต่อหนึ่งชั่ง ห้าสิบชั่งก็หนึ่งร้อยหยวน

คุณปู่ฟางรับเงินแล้วออกไป

………………………………………………………………………………………………………………………

*ขนมฉาวเมี่ยนวอ เป็นขนมที่เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองอู่ฮั่น เกิดจากการนำมันเทศหั่นเต๋าคลุกแป้งแล้วหยอดลงทอดน้ำมันท่วมให้เป็นแผ่น (ภาพจาก https://baike.baidu.com/item/%E8%8B%95%E9%9D%A2%E7%AA%9D/1217016)

สารจากผู้แปล

เกาลัดขึ้นราคาแล้ว ป้าอู๋อะไรนั่นขายไม่ออกล่ะสิ ขณะที่ม่ายจื่อชิลๆ ขายเกาลัดไม่ได้เหรอ ไม่เป็นไร ขายอย่างอื่นก็ได้

ไหหม่า(海馬)